บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 417 กู่ชางหนิงผู้ไม่รู้จักประมาณตน
ตอนที่ 417: กู่ชางหนิงผู้ไม่รู้จักประมาณตน
ตอนที่ 417: กู่ชางหนิงผู้ไม่รู้จักประมาณตน
เสียงดังสนั่นก้องไปทั่วผืนฟ้าในแถบนี้อย่างรวดเร็ว
ฉับพลันปรากฏร่างสูงตระหง่านประดุจต้นสนสูงใหญ่ เท้าเหยียบดาบวิถีสีแดงประดุจเพลิงไฟแผดเผา แหวกอากาศลงมาแต่ไกล
เสียงดังกึกก้องนั้นเป็นเสียงที่ดังออกมาจากดาบวิถีเล่มนั้น
คน ๆ นี้สวมชุดคลุมยาวสีหยก สวมหมวกทรงสูง รูปงามหล่อเหลา เวลาที่ขี่ดาบแหวกอากาศ ชุดคลุมยาวสะบัดดังพรึบ ๆ งามสง่ายิ่งนัก
หลิงอวิ๋นเหอหรี่ตามอง
ท่าทางของชายหนุ่มคนนี้ดูอ่อนวัยมาก ทว่ากลับมีระดับการฝึกตนอยู่ในขอบเขตเปิดทวาร หากเพียงเท่านี้ก็ยังไม่แปลก
ที่สำคัญคือลักษณะของชายหนุ่มคนนี้ทำให้หลิงอวิ๋นเหอผู้อยู่ในขอบเขตรวบรวมดารารู้สึกได้ถึงแรงกดดันบางอย่างปะทะเข้าหา
คน ๆ นี้จะต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
หลิงอวิ๋นเหอแอบคิดในใจ
สวบ!
ชั่วครู่เดียว ชายหนุ่มชุดหยกหยุดยืนอยู่กลางอากาศห่างออกไปหลายสิบจั้ง ดวงตาใสสว่างประดุจดวงดาวกวาดมองยอดเขาบริเวณใกล้ ๆ จากนั้นมองไปที่พวกของซูอี้พลางยิ้ม
“พวกของฮูหยินเมี่ยวหัวตายแล้ว… คิดว่า ทั้งหมดนี้คงจะเกี่ยวข้องกับสหายเต๋าทุกท่านกระมัง?”
ซูอี้ชายตามองดูฝ่ายตรงข้ามแล้วกล่าว “เกี่ยวอะไรกับเจ้า?”
น้ำเสียงไม่มีความเกรงใจ
ทว่าชายหนุ่มชุดหยกหาได้ใส่ใจไม่ กลับหัวเราะพลางกล่าว “พูดขึ้นมา เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับผู้น้อยจริง ๆ คืนนี้พวกของฮูหยินเมี่ยวหัวล่องเรือท่องเที่ยวไปบนแม่น้ำเทียนหลาน เดิมทีก็เพื่อจะต่อกรกับผู้น้อย แต่ไม่นึกเลยว่า พวกเขากลับตายกันไปเสียก่อนแล้ว…”
เขาแสดงสีหน้าคิดไม่ถึงออกมา “เรื่องใด ๆ ในโลกล้วนไม่เที่ยง”
หลิงอวิ๋นเหอสะดุ้งในใจ กล่าว “ขอเรียนถามสหายเต๋ามีชื่อเสียงเรียงนามว่าอันใด?”
ชิงหยาก็แสดงความอยากรู้ออกมาเช่นกัน
ก่อนหน้านี้ นางมองเห็นอย่างชัดเจนว่า ฮูหยินเมี่ยวหัวพาผู้ฝึกตนมายี่สิบกว่าคน ใหญ่โตอลังการเช่นนั้น หากว่าอยู่ในอาณาจักรต้าฉู่รับรองได้ว่าสุดยอดแล้ว
เพียงแต่ ใครกันจะคาดคิดว่า เป้าหมายที่พวกฮูหยินเมี่ยวหัวต้องต่อสู้ด้วยอย่างแท้จริง จะเป็นคนหนุ่มในขอบเขตเปิดทวาร?
กู่ชางหนิงประสานมือคารวะ กล่าวอย่างถ่อมตน “ผู้น้อยกู่ชางหนิง เพียงแค่คนไร้ชื่อเสียงคนหนึ่งเท่านั้น เพียงแต่ว่าก่อนหน้านี้ไม่นาน เคยกระทำผิดต่อฮูหยินเมี่ยวหัวโดยไม่เจตนา จึงเป็นเหตุให้ถูกนางมองเป็นศัตรู จึงนัดออกมาต่อสู้กันบนแม่น้ำเทียนหลานแห่งนี้”
กู่ชางหนิง?
หลิงอวิ๋นเหอตะลึง นี่คือชื่อที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน
ทว่ายิ่งเป็นเช่นนี้ ก็ยิ่งทำให้หลิงอวิ๋นเหอไม่กล้าชะล่าใจ พลังลมปราณที่ฝ่ายตรงข้ามแสดงออกมานั้นไม่ใช่บุคคลในขอบเขตเปิดทวารจะต่อกรด้วยได้!
เห็นว่าฝ่ายตรงข้ามไม่ได้มาเพื่อช่วยออกหน้าแทนพวกของฮูหยินเมี่ยวหัว ซูอี้จึงหมดความสนใจจะพูดด้วย และหันไปกล่าวกับหยวนเหิง “ไปกันเถิด”
พูดจบก็ก้าวเดินมุ่งตรงไปยังใต้แม่น้ำเทียนหลาน
หยวนเหิงตามติด
หนุ่มน้อยในชุดหยกกู่ชางหนิงนิ่งตะลึงราวกับคาดไม่ถึงว่าซูอี้จะจากไปอย่างง่าย ๆ ทั้งยังทำทีเกียจคร้านจะสนใจตนเองอีกด้วย
หลิงอวิ๋นเหอก็ตะลึงไปชั่วครู่เช่นกัน แล้วจึงรีบกล่าว “สหายเต๋า ข้อเสนอที่หลิงผู้นี้กล่าวไปเมื่อสักครู่ เจ้ามีความคิดเช่นใด?”
ซูอี้ตอบโดยไม่หันมามอง “ได้”
หลิงอวิ๋นเหอหัวเราะขึ้นมา จากนั้นเขากับชิงหยาก็ไล่ตามไป
จนถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่รู้ฐานะของซูอี้กับหยวนเหิง ทว่าสามารถมองออกว่านายบ่าวคู่นี้ไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
กู่ชางหนิงถูกทิ้งให้อยู่ตรงนั้นเพียงลำพัง เขาทั้งไม่เข้าใจและรู้สึกขายหน้า
ครู่ใหญ่ ๆ เขาก็เอื้อมมือหยิกแก้มพลางกล่าวกับตัวเอง “ไม่คิดเลยว่า ถึงแม้คืนนี้จะไม่สามารถจัดการกับฮูหยินเมี่ยวหัว แต่กลับต้องมาเจอกับคนประหลาดกลุ่มนี้… ไม่ได้การ จะต้องทำความรู้จักกับพวกเขาให้ได้”
พูดจบ ดาบวิถีสีแดงดังไฟใต้ฝ่าเท้าของกู่ชางหนิงก็ส่งเสียงดังกึกก้องออกมา พาเขาไล่ตามพวกของซูอี้
บนแม่น้ำเทียนหลาน
พวกของซูอี้เพิ่งกลับถึงเรือ กู่ชางหนิงก็ขี่ดาบมาถึง
ชายหนุ่มชุดหยกยิ้มพลางประสานมือคารวะ “ไม่ทราบว่าผู้น้อยสามารถเดินทางพร้อมกับทุกท่านได้หรือไม่? ทุกท่านโปรดวางใจ ผู้น้อยไม่ได้มีความคิดเป็นอื่น เพียงแต่ในเวลาดึกดื่นเช่นนี้ ได้พบกับสหายเต๋าทุกท่านแล้วต้องการอยากจะพูดคุยกับทุกท่าน หากว่าได้เป็นสหายด้วยก็จะยิ่งเป็นเรื่องดี”
ขณะที่พูด เขาเบนสายตามองไปที่ซูอี้
เขามองออกว่าซูอี้เป็นผู้ที่มีอำนาจตัดสินใจ
ซูอี้ย่นคิ้วเล็กน้อย พลางกล่าว “ดูไม่ออกหรือว่าที่นี่ไม่ต้อนรับเจ้า?”
กู่ชางหนิงอึ้งไปชั่วครู่ ทว่าไม่ได้รู้สึกโกรธ กลับหัวเราะฝืด ๆ ขึ้นมา “ตอนนี้มองออกแล้ว ไม่เป็นไร ผู้น้อยจะลาจากไปเดี๋ยวนี้ แต่ว่า ก่อนที่จะจากไปอยากจะขอคำชี้แนะได้หรือไม่ สหายเต๋ามีชื่อเสียงเรียงนามว่าอันใด?”
ซูอี้กล่าวน้ำเสียงราบเรียบ “ต้องการรู้ชื่อของข้าเช่นนั้นหรือ? ได้ ขอเพียงเจ้าสามารถรับดาบของข้าได้หนึ่งกระบวนท่า จะบอกให้เจ้าได้รู้”
กู่ชางหนิงร้องอ้อ นวดแก้มแล้วนวดแก้มอีก จากนั้นจึงกล่าวขึ้นมาเบา ๆ “ช่างเถิด ผู้น้อยขอไม่รู้จักประมาณตนสักครั้ง รบกวนสหายเต๋าชี้แนะด้วย”
ถึงแม้จะกล่าวเช่นนี้ ทว่าบนใบหน้าของเขาก็ยังคงมีความมั่นใจยิ่งนัก นั่นเป็นความทะนงตนที่ถูกเก็บไว้อย่างเต็มที่
หลิงอวิ๋นเหอกับชิงหยาศิษย์อาจารย์สองคนต่างสบตากันด้วยสายตาประหลาด
หากกู่ชางหนิงรู้ว่า คนหนุ่มขอบเขตไร้เบญจธัญผู้อยู่ต่อหน้าเขาคนนี้ ที่แท้แล้วมีพลังที่สามารถจะฆ่าผู้ทรงพลังแห่งขอบเขตรวบรวมดาราได้ล่ะก็ ยังจะกล้ารับปากง่าย ๆ เช่นนี้หรือไม่?
หยวนเหิงหัวเราะขึ้นมาด้วยเช่นกัน คน ๆ นี้ช่างเข้าใจตัวเองเสียจริง ๆ เช่นนี้ไม่เรียกว่าไม่รู้จักประมาณตนจะเรียกว่าอะไร?
กู่ชางหนิงมองเห็นสายตาสีหน้าที่เปลี่ยนไปของพวกเขา จึงรู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง ทว่าไม่ได้เก็บมาคิดมาก
เขามีหลักที่พึ่งของตัวเอง
สวบ!
ซูอี้ลงมือแล้ว พอชี้นิ้วออกไป ปราณดาบสีใสก็ผุดขึ้นกลางอากาศอย่างง่ายดาย
ทว่าเมื่อพลังดาบนั้นปรากฏขึ้น รอยยิ้มที่มุมปากของกู่ชางหนิงก็ชะงัก ภายในดวงตาสว่างสดใสมีประกายแสงสีทองบาดตา
เขาเดิมทีก็มั่นใจในตัวเองอย่างเต็มที่อยู่แล้ว ตอนนี้ราวกับได้รับแรงกระตุ้น ชายหนุ่มยืนตัวตรงประดุจต้นสนอันคงมั่น คลื่นพลังอันน่ากลัวผุดขึ้นมา เสื้อผ้าพองลม
“โดน!”
กู่ชางหนิงชี้นิ้ว
ชิ้ง!
ท่ามกลางเสียงดาบที่ดังรุนแรง ดาบวิถีสีแดงดุจเพลิงไฟที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าเล่มนั้นก็ผุดขึ้น ราวกับดวงไฟผุดขึ้นกลางอากาศ แสงไฟสูงพันจั้ง ดาบระเบิดพลัง กำลังดาบสะท้านพสุธา
ครืน!!
อากาศโดยรอบถูกแสงไฟคลุมครอบ ผิวน้ำเทียนหลานอันกว้างใหญ่ถูกกดให้จมลงไปสามศอกในชั่วพริบตา ไอน้ำเดือดพุ่งขึ้น
อานุภาพของดาบ ๆ นี้รุนแรงนัก ทำให้หลิงอวิ๋นเหอถึงกับสูดปาก
เดิมที แม้ว่าเขาจะมองออกว่ากู่ชางหนิงไม่ธรรมดา ทว่าไม่เคยคิดมาก่อนกว่าชายหนุ่มจะสามารถต่อกรกับซูอี้ได้
แต่ตอนนี้หลิงอวิ๋นเหอพบว่า ตนเองคิดผิดไปเสียแล้ว
เห็นได้ชัดว่ากู่ชางหนิงคนนี้เป็นคนดุที่ไม่แสดงตนคนหนึ่งเช่นกัน!
เพิ่งเปลี่ยนความคิด ดาบวิถีสีแดงดั่งไฟของกู่ชางหนิงชักพาภาวะดาบอันยิ่งใหญ่สู้รบกับดาบที่ซูอี้ชักออกมาเล่มนั้น
ชิ้ง!!!
ราวกับภูเขาไฟสองลูกปะทะกันบนแม่น้ำเทียนหลาน คลื่นพลังดาบอันน่ากลัวปะทะเข้าหากัน จากนั้นก็แยกย้ายกระจายออกไปไกลถึงร้อยจั้ง เกิดเป็นคลื่นลูกใหญ่มหึมา
ท่ามกลางควันไฟอันรุ่มร้อน ดาบวิถีสีแดงเพลิงสั่นสะท้านอย่างแรงส่งเสียงร้องไม่หยุด
ส่วนร่างของกู่ชางหนิงราวกับได้รับแรงกระแทกอย่างรุนแรง โอนเอนขึ้นมาในทันใดกลางอากาศ ราวกับเมาสุรา
สุดท้าย ในที่สุดเขาก็ทนไม่ไหวถอยไปข้างหลังหนึ่งก้าว
เพียงแค่ถอยไปก้าวเดียวเท่านั้น ทว่าเขากลับมีสีหน้าเปลี่ยนไป ราวกับเจอแรงกระแทกอย่างใหญ่หลวง บนใบหน้าเต็มไปด้วยอาการตื่นตะลึงทำอะไรไม่ถูก ยากนักจะกลบเกลื่อน
ราวกับไม่อยากจะเชื่อว่าตนเองจะถูกบีบให้ถอยได้ภายในดาบเดียว
“คน ๆ นี้แข็งแกร่งมาก!”
บนเรือ ชิงหยาร้องอุทาน
หลิงอวิ๋นเหอพยักหน้าเห็นด้วย จิตใจรู้สึกเคว้งคว้าง กู่ชางหนิงคนนี้แข็งแกร่งมากจริง ๆ เป็นเพียงคนหนุ่มขอบเขตเปิดทวารเท่านั้น ทว่าอานุภาพดาบวิถีที่แสดงออกมานั้นกลับแข็งแกร่งกว่าผู้ทรงพลังในขอบเขตรวบรวมดาราอย่างฮูหยินเมี่ยวหัวเสียอีก!
ลองถามใจตัวเองดู หากตัวเองต้องเจอกับดาบเล่มนี้
หลิงอวิ๋นเหอเองก็ยังต้องออกพลังเต็มที่จึงจะสามารถแก้กระบวนท่าได้…
เห็นได้ชัดว่าหยวนเหิงก็มองจุดนี้ออกเช่นกัน เขาจึงเก็บจิตใจลำพองตนกลับมา และลอบคิดว่าสามารถรับดาบ ๆ นี้ของนายท่านได้ ชายผู้นี้ไม่ธรรมดาเลยจริง ๆ
เพียงแต่ว่า ความตื่นตะลึงของคนทั้งสาม กลับทำให้กู่ชางหนิงยิ่งรับไม่ได้
เดิมที เขามั่นใจนักหนาว่าสามารถรับดาบ ๆ นี้ได้อย่างง่ายดาย ทว่าไหนเลยจะคาดคิด… ฝ่ายตรงข้ามเพียงแค่วาดพลังดาบ ก็สามารถบีบให้เขาถอยไปได้หนึ่งก้าว!
เวลานี้ ซูอี้ก็รู้สึกคาดไม่ถึงเช่นกัน ราวกับมองอะไรบางอย่างออก เมื่อเบนสายตามองไปที่กู่ชางหนิงที่อยู่ไกลออกไป ซูอี้ก็แสดงสีหน้าประหลาดใจขึ้นมา
“ผู้น้อย… ไม่ประมาณตนจริง ๆ”
กู่ชางหนิงถอนใจเบา ๆ จากนั้นยอมรับอย่างโดยดี ในการประลองดาบครั้งนี้ ตนเองเป็นฝ่ายด้อยกว่า
ซูอี้กล่าว “ข้ามีนามว่าซูอี้ มาจากอาณาจักรต้าโจว”
ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม กู่ชางหนิงก็ถือได้ว่ารับดาบ ๆ นี้ของเขาไว้ได้ เขาจึงทำตามสัญญาที่ให้
อาณาจักรต้าโจว?
ซูอี้?
หลิงอวิ๋นเหอกับชิงหยามองตากัน พวกเขาสองคนรู้ฐานะของซูอี้เป็นครั้งแรกเช่นกัน ทว่ากลับรู้สึกไม่คุ้นเคยเอาเสียเลย
ในความทรงจำของพวกเขา ในเขตแคว้นอาณาจักรนับร้อยบนมหาทวีปคังชิง อาณาจักรต้าโจวถือเป็นเพียงแค่อาณาจักรเล็ก ๆ ที่อยู่ห่างไกลเท่านั้น
ในอดีตก็ไม่เคยให้ความสนใจต่ออาณาจักรต้าโจวมาก่อน ไหนเลยจะเคยได้ยินชื่อของซูอี้ได้
“อาณาจักรต้าโจว… ซูอี้?”
กู่ชางหนิงก็ตะลึงไปชั่วครู่เช่นกัน เห็นได้ชัดว่าไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน
ฉับพลัน เขาประสานมือกล่าวคารวะ “วันนี้ได้เห็นความสามารถของท่านแล้ว ถึงแม้จะเป็นเพียงแค่ชั่วพริบตาเท่านั้น ทว่าระดับของวิถีดาบนั้นทำให้ข้าต้องน้อมยอมรับ วันข้างหน้าหากได้พบกันอีกครั้ง จะต้องขอคำชี้แนะจากสหายเต๋าอีก”
พูดจบ เขาเหยียบขึ้นดาบวิถีสีแดงเพลิง หมุนตัวออกไป และหายลับไปจากฟากฟ้าโดยเร็ว
“อาจารย์ คน ๆ นั้นรู้สึกขายหน้าจึงไม่ยอมอยู่ต่อเช่นนั้นหรือ? อันที่จริงเรื่องนี้ไม่เห็นจะมีอะไรเลย อย่างไรเสียก็เพียงแค่ด้อยกว่านิดหน่อยเท่านั้น”
ชิงหยาถามเสียงใส
“พูดมากเหลือเกิน”
หลิงอวิ๋นเหอเขม่นตาใส่นาง
เพียงแค่ด้อยกว่านิดหน่อยเสียที่ไหนกันเล่า ไม่เห็นหรือว่าตอนที่ซูอี้ลงมือไม่ได้ออกแรงเต็มกำลัง?
ถึงแม้สุดท้ายกู่ชางหนิงจะสามารถรับดาบ ๆ นี้ได้ ทว่าใครกันที่มองไม่ออกว่าดาบ ๆ นั้นของเขาใช้พลังอย่างเต็มที่แล้ว?
หากเทียบกันอย่างจริงจัง ไม่อาจกล่าวได้ว่าเพียงแค่ด้อยกว่านิดหน่อย
“ผู้ฝึกปีศาจผู้นี้ไม่ธรรมดาเลย”
จู่ ๆ ซูอี้ก็เอ่ยขึ้น “หากข้าดูไม่ผิด ความสามารถที่แท้จริงของเขา คงไม่ได้มีเพียงเท่านี้”
ผู้ฝึกปีศาจ!
ไม่ว่าจะเป็นหลิงอวิ๋นเหอ ชิงหยา หรือแม้แต่หยวนเหิง ทุกคนล้วนพากันตะลึง
ก่อนหน้านี้ พวกเขาไม่รู้สึกถึงพลังปีศาจใด ๆ ในตัวของกู่ชางหนิงแม้แต่น้อย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งหยวนเหิง ตัวเขาเองก็เป็นผู้ฝึกปีศาจ ทว่าหากไม่ใช่เพราะซูอี้พูดขึ้นมา แม้กระทั่งตัวเขาก็ยังไม่รู้ว่ากู่ชางหนิงจะเป็นผู้ฝึกปีศาจ!
“ท่านทั้งสองเคยได้ยินชื่อของคน ๆ นี้มาก่อนหรือไม่?”
ซูอี้ถาม
หลิงอวิ๋นเหอกับชิงหยาต่างก็ส่ายหน้า
สำหรับพวกเขาแล้ว ก่อนหน้านี้ อย่าว่าแต่ชื่อของ ‘กู่ชางหนิง’ เลย แม้แต่ชื่อของ ‘ซูอี้’ พวกเขาก็ยังไม่เคยได้ยินมาก่อนเช่นกัน
ซูอี้เดินเข้าไปในตัวเรือ เอนกายลงบนเก้าอี้หวาย ไม่คิดมากอีก
กู่ชางหนิงไม่ธรรมดาเลย ไม่ว่าจะเป็นพื้นฐานมหาวิถี หรือว่าพลังที่มี ล้วนเหนือกว่าคนในขอบเขตเปิดทวารบนโลกสามัญ
คน ๆ นี้เป็นตัวตนในระดับขอบเขตเปิดทวารที่เรียกได้ว่าเป็นคนเก่งพิศดารที่ซูอี้เคยเห็นมา
ทว่า สำหรับซูอี้แล้ว ไม่ได้มีความหมายพิเศษอันใดเกินกว่านี้
ขณะเดียวกัน…
ท้องฟ้าบนหมู่เทือกเขากลุ่มนี้ กู่ชางหนิงลดความเร็วของดาบลง มองดูแสงจันทร์ขาวนวลบนท้องฟ้าแล้วอดถอนใจขึ้นมาเบา ๆ ไม่ได้
“เหตุใดนายน้อยจึงถอนใจ?”
ผู้เฒ่าถือไม้เท้าหยกใบหน้าเมตตาปรากฏตัวขึ้นข้างกายกู่ชางหนิงอย่างไร้สุ้มไร้เสียง