บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 419 ชีพจรหยินสัมบูรณ์
ตอนที่ 419: ชีพจรหยินสัมบูรณ์
ตอนที่ 419: ชีพจรหยินสัมบูรณ์
ซูอี้คิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ถ้าพูดถึงสิ่งที่สนใจมากที่สุดก็ย่อมเป็นการแสวงหาเต๋า ส่วนนอกเหนือจากนั้นเป็นเพียงความเพลิดเพลินเท่านั้น”
ชิงหยายิ้มและกล่าวว่า “ข้าก็ค่อนข้างคล้ายกับพี่ชายซูอี้ ข้าสนใจเรื่องสนุกสนานที่สุด ว่าแต่เหตุใดพี่ซูอี้ถึงหมกมุ่นกับการแสวงหาเต๋านักหรือ?”
ซูอี้ “…”
จู่ ๆ เขาก็ตระหนักได้ว่าหากตนยังพูดตอบต่อไป หญิงสาวที่คล้ายจะมีคำถามนับไม่ถ้วนอยู่ในท้องจะต้องถามต่อไม่หยุดแน่นอน
โชคดีที่หลิงอวิ๋นเหอหยิบลูกท้อสีแดงเพลิงลูกโตออกมาส่งให้ชิงหยา ความสนใจของหญิงสาวจึงมุ่งไปที่การกินลูกท้อทันที จากนั้นมุมปากของนางพลันยกขึ้นด้วยความปีติยินดี
จากนั้นคู่นายบ่าวอย่างซูอี้กับหยวนเหิง และคู่อาจารย์ศิษย์อย่างหลิงอวิ๋นเหอกับชิงหยาก็ได้เดินทางไปยังต้าเซี่ยด้วยกันอย่างสงบสุข
ระหว่างทางไม่มีพายุใด ๆ เกิดขึ้นอีก
ครึ่งเดือนต่อมา วันที่เก้าเดือนแปด
“สหายเต๋า ผ่านเขาอวิ๋นหมางนั้นไปก็เป็นเขตแดนของต้าเซี่ยแล้ว”
ช่วงบ่ายของวัน หลิงอวิ๋นเหอชี้ไปที่ยังแนวเขาที่อยู่ไกลออกไปแล้วเอ่ยขึ้น
ซูอี้พยักหน้ารับ
เป็นเวลาหนึ่งเดือนเจ็ดวันแล้วตั้งแต่ออกจากอาณาจักรต้าโจวในวันที่สองของเดือนเจ็ด
เมื่อคิดถึงแผนการเดินทางตลอดทาง ซูอี้ก็ตระหนักได้ว่าระยะทางระหว่างต้าโจวกับต้าเซี่ยอยู่ไกลกันเพียงใด
“มีข่าวลือว่าอาณาจักรต้าเซี่ยเป็นเมืองศูนย์กลางของมหาทวีปคังชิง ซึ่งอุดมไปด้วยสมบัติอันวิจิตรและผู้คนที่โดดเด่น เพียงแค่อาณาเขตก็กว้างถึงแสนลี้ และมีกองกำลังผู้ฝึกตนนับร้อยอาศัยอยู่ เรียกว่าเป็นอาณาจักรแห่งการฝึกตน ข้าไม่รู้ว่าจริงหรือไม่”
หยวนเหิงมีอาการเพ้อ
“เป็นเรื่องจริง”
หลิงอวิ๋นเหอกล่าว “กองกำลังผู้ฝึกตนใด ๆ ในต้าเซี่ยนั้น หากไปอยู่ที่อาณาจักรอื่นล้วนแต่สามารถยึดครองอาณาจักรได้ทั้งสิ้น!”
“เช่นเดียวกับสี่กลุ่มเต๋าชั้นนำในต้าเซี่ย แต่ละกลุ่มต่างมีผู้ฝึกตนวิถีวิญญาณคอยปกป้องอยู่ ซึ่งเมื่อมองดูทั่วทั้งมหาทวีปคังชิง พวกเขาเรียกได้ว่าเป็นยักษ์ใหญ่ที่มีภูมิหลังทรงพลังอย่างยิ่ง”
วันนี้ซูอี้กับหยวนเหิง ทั้งสองได้เรียนรู้กับกลุ่มที่เรียกว่า ‘สี่กลุ่มเต๋าแห่งต้าเซี่ย’ ซึ่งได้แก่ สำนักดาบเทียนชู สำนักเต๋าชิงอี่ วังเทพสวรรค์เมฆา และวัดมหาจันทรา
กลุ่มเต๋าที่ยิ่งใหญ่ทั้งสี่นี้เปรียบเสมือนเสาหลักของโลกการฝึกฝนแห่งต้าเซี่ย ครอบครองโลกสามัญ และปราบปรามดินแดนรกร้างทั้งแปด
ในสายตาของคนธรรมดา ผู้ฝึกตนจากกลุ่มเต๋าทั้งสี่นี้ไม่ต่างจากเทพเซียนที่แท้จริง
แม้แต่ทั่วทั้งมหาทวีปคังชิง กลุ่มเต๋าทั้งสี่เหล่านี้ก็เรียกได้ว่าเป็นสุดยอดของโลกและสันโดษจากโลก
แกนหลักของกลุ่มเต๋าทั้งสี่นี้ก็คือผู้ฝึกตนขั้นวิถีวิญญาณซึ่งมีอยู่จำนวนไม่น้อย!
“นอกเหนือจากกลุ่มเต๋าทั้งสี่นี้แล้ว ยังมีสามตระกูลหลักในต้าเซี่ย ว่ากันว่าต้นกำเนิดของแต่ละตระกูลสามารถสืบย้อนไปจนถึงเมื่อสามหมื่นปีก่อน พวกเขาต่างก็มีเบื้องหลังที่ไม่อาจหยั่งรู้ได้”
หลิงอวิ๋นเหอกล่าวด้วยอารมณ์ “ทว่า ผู้ที่มีอำนาจมากที่สุดในต้าเซี่ยก็คือราชวงศ์เซี่ย!”
“จักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยองค์ปัจจุบันเปรียบเสมือนวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ในตำนาน เมื่อหลายปีก่อนเขาได้เป็นมหาปราชญ์สวรรค์ขั้นวิถีวิญญาณแล้ว ตามตำนาน ธาตุวิถีของเขาลึกซึ้งและได้บรรลุถึงระดับที่น่าเหลือเชื่อแล้ว”
หยวนเหิงได้ยินก็ใจเต้นแรง
ส่วนซูอี้หาได้แปลกใจไม่
หากเบื้องหลังของราชวงศ์ต้าเซี่ยไม่แข็งแกร่งพอ เช่นนั้นจะกดสี่กลุ่มเต๋าแห่งต้าเซี่ยในอยู่ใต้อาณัติได้อย่างไร?
กล่าวโดยสรุปคือ แม้ว่าจักรพรรดิต้าเซี่ยจะมีอำนาจในการควบคุมโลก แต่หากเขาไม่แข็งแกร่งพอ เกรงว่าเขาคงกลายเป็นเพียงหุ่นเชิดที่ถูกควบคุมโดยกองกำลังผู้ฝึกตนเหล่านั้น
ระหว่างการสนทนา กลุ่มคนก็ได้บินข้ามภูเขาอวิ๋นหมางไป
ยอดเขาและสันเขานี้ทอดยาวสลับกันเป็นลูกคลื่น ดูกว้างใหญ่และงดงามตระการตาอย่างยิ่ง จนสามารถมองเห็นน้ำพุ น้ำตก และโขดหินผารูปร่างแปลก ๆ ได้ทุกหนทุกแห่ง
“เขาอวิ๋นหมางนี้อยู่ติดกับชายแดนต้าเซี่ย ในอดีตที่ชายแดนมีสัตว์อสูรในภูเขาออกอาละวาด โดยมีราชาสัตว์อสูรที่ทรงพลังอย่างยิ่งอยู่มากมาย จึงเรียกได้ว่าเป็นภูเขาที่ดุร้าย”
หลิงอวิ๋นเหอพูดจาฉะฉาน “แต่ถึงอย่างนั้น ภูเขานี้ก็อุดมไปด้วยทรัพยากร ไม่เพียงแต่มีโอสถวิญญาณมากมาย แต่ยังฝังแร่วิญญาณไว้อีกด้วย ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา มันได้ดึงดูดผู้ฝึกตนจำนวนมากให้เข้ามาค้นหาสมบัติและเก็บพวกโอสถวิญญาณ”
“ตามข่าวลือ มีผู้ฝึกตนเคยพบซากปรักหักพังของถ้ำพำนักบนภูเขานี้ และได้พบกับดอกบัววิญญาณไหมสีทองระดับเจ็ดที่อยู่ในนั้น หลังจากที่ผู้ฝึกตนได้รับโอสถเซียนแล้ว เขาก็นำมันไปประมูลที่เมืองจิ๋วติ่ง เมืองหลวงของต้าเซี่ย และในที่สุดก็ขายมันออกไปราคาหินวิญญาณระดับหกแปดร้อยก้อน”
“นอกจากนี้ยังมีข่าวลือว่าลึกลงไปในภูเขานี้ มีเส้นชีพจรหยินสัมบูรณ์ฝังอยู่ แต่ก็มีอสรพิษยักษ์ที่น่าสะพรึงกลัวยิ่งเฝ้าอยู่ใกล้ ๆ เช่นกัน”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ซูอี้พลันชะงักไป ก่อนเอ่ย “ชีพจรหยินสัมบูรณ์รึ?”
หากเป็นชีพจรหยินสัมบูรณ์จริง ๆ ก็ไม่ควรพลาด!
หลิงอวิ๋นเหอกล่าว “มันเป็นเพียงข่าวลือเท่านั้น”
ซูอี้คิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ข้าจะลองดู ข้าสามารถแยกความต่างของจริงจากเท็จได้”
พูดแล้วเขาก็หยุดเท้า เหลือบมองภูเขากว้างใหญ่เบื้องล่าง สูดหายใจเข้าลึก แล้วสร้างตราประทับขึ้นอย่างรวดเร็วด้วยนิ้วมือทั้งสิบ
ฟิ้ว!
พลังชีวิตที่กระจายอยู่บนท้องฟ้าใกล้ ๆ ในรัศมีพันจั้งราวกับถูกดึงดูดให้เข้ามาหาตราประทับที่ก่อตัวขึ้นระหว่างมือทั้งสองของซูอี้
ภายใต้สายตาที่อยากรู้อยากเห็นของพวกหลิงอวิ๋นเหอ และหยวนเหิง พวกเขาเห็นว่าตราประทับที่ซูอี้สร้างพลันทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า ก่อนจะหมุนวนแล้วปล่อยประกายสายฝนที่มีสีสันงดงามวิจิตรออกมา
จู่ ๆ ตราประทับก็เกิดการเปลี่ยนแปลงกลายร่างเป็นนกกระจอกที่มีชีวิตชีวา ตอนแรกมันจัดขนด้วยจงอยปาก ก่อนจะกระพือปีกบินออกไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ
ฉากที่ยอดเยี่ยมนี้ทำให้ดวงตาของชิงหยาเปล่งประกาย นางถามขึ้นเสียงใส “พี่ชายซูอี้ นี่คือคาถาอะไรหรือ?”
“นี่เป็นทักษะลับที่เกี่ยวข้องกับเต๋าและฮวงจุ้ยที่เรียกว่า ‘จิตวิญญาณนกกระจอกนำทาง’ ซึ่งมันสามารถจับกลิ่นอายชีพจรจิตวิญญาณทุกประเภทที่การกระจายอยู่บนฟ้าหรือใต้ดิน ในภูเขาหรือแม่น้ำได้”
“เอาล่ะ พวกเราก็ตามไปกันเถิด”
ว่าแล้วซูอี้ก็ก้าวไปยังทิศทางที่จิตวิญญาณนกกระจอกบินไป
คนอื่น ๆ ก็เคลื่อนไหวเช่นกัน
หลังจากผ่านไปครึ่งเค่อ จิตวิญญาณนกกระจอกที่อยู่ห่างไกลก็บินโฉบขึ้นไปบนท้องฟ้าและถลาไปทางภูเขาเบื้องล่าง รอยยิ้มพลันปรากฏขึ้นบนริมฝีปากของซูอี้ แล้วเขาก็เอ่ยขึ้นมา “ในภูเขาอวิ๋นหมางนี้มีเส้นโลหิตวิญญาณอยู่ ส่วนจะใช่ชีพจรหยินสัมบูรณ์หรือไม่ ยังจำเป็นต้องตรวจสอบเพิ่มเติม”
ขณะที่พูด กลุ่มของพวกเขาก็ไม่รอช้า ยังคงติดตามจิตวิญญาณนกกระจอกไปยังทางลาดของภูเขา
ที่นี่เต็มไปด้วยหมอกควันและมีสายลมพัดผ่านภูเขาทำให้เกิดเสียงหวีดหวิวดังขึ้น
ทันทีที่มาถึง ทุกคนก็รู้สึกได้ถึงอากาศเย็นยะเยือกที่พัดมาโดนใบหน้า
หยวนเหิงเป็นเต่ายักษ์ทองที่เชี่ยวชาญในน้ำ แต่เมื่อสัมผัสถูกอากาศเพียงเล็กน้อย ร่างกายของเขาก็พลันสะดุ้งโหยง ก่อนจะกล่าวว่า “นายท่าน สายลมที่นี่เยียบเย็นยิ่งนัก เกรงว่าที่แห่งนี้คงจะไม่ธรรมดาเสียแล้ว”
“ถูกต้อง สถานที่ที่จะเกิดชีพจรหยินสัมบูรณ์ได้จะต้องเป็นสถานที่ที่มีพลังหยินระหว่างฟ้าดินหนาแน่นที่สุด”
ขณะที่ซูอี้กล่าวอยู่นั้น จู่ ๆ ก็มีเสียงดังมาจากภูเขาที่อยู่ห่างไกล
“สถานที่แห่งนี้ถูก ‘สำนักเต๋าหยวนหยาง’ ของข้าปิดกั้นไว้แล้ว จงออกไปกันเสียโดยเร็ว หาไม่แล้วจะไม่มีการละเว้น!”
“ออกไปเสีย!”
“ถ้ายังไม่ไปก็อย่าโทษที่ข้าลงมือ!”
…เสียงโหวกเหวกยังคงดังก้อง ก่อนจะเห็นเงาร่างกลุ่มคนพุ่งมาจากไกล ๆ โดยทั้งชายและหญิงล้วนแต่สบถสาปแช่งและมีสีหน้าย่ำแย่
“สหายผู้นี้ ข้างหน้านั่นเกิดอะไรขึ้นหรือ?”
หลิงอวิ๋นเหอหยุดชายร่างผอมไว้แล้วเอ่ยถาม
ตอนแรกชายร่างผอมนั้นไม่ค่อยมีความอดทน แต่เมื่อเขารู้สึกถึงระดับลมปราณจากตัวของหลิงอวิ๋นเหอก็สะดุ้งโหยง
เขารีบตอบ “รายงานผู้อาวุโส ทางข้างหน้านี้คือ ‘หุบเขาหานกู่’ เดิมสามารถมาเก็บโอสถวิญญาณบางชนิดได้ในบริเวณนี้ แต่เมื่อข้ามาที่นี่วันนี้ สถานที่นั้นก็ถูกครอบครองโดยคนจากสำนักเต๋าหยวนหยางแล้ว และไม่มีใครสามารถเข้าไปใกล้ได้…”
หลิงอวิ๋นเหอขัดขึ้น “เหตุใดสำนักเต๋าหยวนหยางจึงได้ขวางที่นั่นไว้?”
ชายร่างผอมอึ้งไปก่อนส่ายหัว “ข้าก็ไม่ทราบเช่นกันขอรับ”
“ไปดูกันเถิด”
ซูอี้เดินนำไปก่อน โดยนกกระจอกที่เขาสร้างขึ้นได้บินออกไปแล้ว
หลิงอวิ๋นเหอและคนอื่น ๆ ก็รีบตามไปอย่างรวดเร็ว
ไกลออกไป ปรากฏหุบเขาที่รายล้อมไปด้วยอากาศเย็นยะเยือก จนพืชที่อยู่ใกล้เคียงมีชั้นของน้ำค้างแข็งก่อตัวขึ้น
ที่ปากทางเข้าหุบเขา มีกลุ่มยอดฝีมือยืนอยู่ มีทั้งชายและหญิง แต่ละคนล้วนมีท่วงท่าโดดเด่นโอ้อวด
หัวหน้ากลุ่มเป็นชายวัยกลางคนในชุดคลุมสีม่วงซึ่งนั่งดื่มอยู่บนก้อนหินอย่างสบายใจ
เมื่อเห็นร่างของซูอี้และพรรคพวกของเขา ชายหนุ่มในชุดเต๋าก็ร้องด่าขึ้นทันทีว่า
“ข้าบอกเจ้าให้ออกไปแล้วไม่ใช่หรือ เหตุใดจึงยังเดินเข้ามาอีก เจ้าคิดจริง ๆ หรือว่าสำนักเต๋าหยวนหยางของข้าไม่กล้าสังหารคน?”
คนอื่น ๆ เองก็แสดงท่าทีหมดความอดทน แต่ละคนเต็มไปด้วยจิตสังหาร
“น่าแปลก ทั้งที่รู้ว่าสำนักเต๋าหยวนหยางของเราทำธุระอยู่ เหตุใดจึงมีคนไม่กลัวตาย…”
ชายวัยกลางคนในชุดคลุมสีม่วงนั่งขัดสมาธิอยู่บนหินถอนหายใจ วางน้ำเต้าในมือลงแล้วมองไปยังซูอี้กับพวก
เมื่อเห็นหลิงอวิ๋นเหอ ชายวัยกลางคนในชุดคลุมสีม่วงก็ตกตะลึงไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็รีบประสานหมัดคารวะอย่างรวดเร็ว เขากล่าวด้วยความตระหนก “สำนักเต๋าหยวนหยาง หลีหวยเปียว คำนับผู้อาวุโส”
ในสำนักเต๋าหยวนหยาง ผู้อาวุโสสูงสุดซึ่งทรงพลังที่สุดนั้นอยู่เพียงขอบเขตรวบรวมดาราเท่านั้น
หนุ่มสาวที่แต่เดิมหมดความอดทนและพูดด่าซูอี้กับคนอื่น ๆอยู่ ต่างตกตะลึงไป สถานการณ์เช่นนี้… มันอะไรกัน?
หลิงอวิ๋นเหอพูดด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “สำนักเต๋าหยวนหยางช่างยิ่งใหญ่นัก เจ้าต้องการให้ข้าไสหัวไปจากที่นี่ด้วยหรือไม่?”
ชายวัยกลางคนชุดคลุมเต๋ารีบพูดว่า “เข้าใจผิดแล้ว นี่เป็นความเข้าใจผิด ศิษย์เหล่านั้นเพียงตาบอด ขอท่านผู้อาวุโสโปรดยกโทษให้ด้วย”
หนุ่มสาวเหล่านั้นเองก็ตระหนักได้ว่าเรื่องราวครั้งนี้ไม่ค่อยดีจึงพากันเงียบปาก
หลิงอวิ๋นเหอเหลือบมองที่ซูอี้ เมื่อเห็นฝ่ายหลังไม่มีทีท่าจะสนใจ ดังนั้นเขาจึงกล่าวว่า “ลืมไปเถิด ผู้ไม่รู้ย่อมไม่ผิด พวกเจ้าจงไปให้พ้นทางเสีย”
ชายวัยกลางคนในชุดคลุมสีม่วงถอนหายใจอย่างโล่งอก ก่อนอดรู้สึกเขินอายไม่ได้ขณะกล่าว “เรียนผู้อาวุโสตามตรง สำนักเต๋าหยวนหยางของข้ากำลังสำรวจโชคลาภโอกาสอยู่ในส่วนลึกของหุบเขา ซึ่งเจ้าสำนักได้สั่งให้พวกข้าปกป้องสถานที่แห่งนี้ไว้โดยไม่อนุญาตให้ผู้ใดเข้ามา ท่านสามารถกลับมาวันหลังได้หรือไม่?”
“นี่…”
หลิงอวิ๋นเหอมองไปที่ซูอี้
เหตุการณ์นี้เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติการของกองกำลังผู้ฝึกตน หากฝืนดึงดันอาจทำให้เกิดปัญหาได้ง่าย
แม้ว่าเขาจะไม่หวาดกลัว แต่ก็ยังต้องการได้ยินความคิดของซูอี้ก่อน
ซูอี้พูดอย่างเฉยเมย “ดินแดนไร้เจ้าของ ผู้ใดก็ย่อมสามารถเข้ามาได้ หยวนเหิง เจ้ามาเปิดทาง”
สำนักเต๋าหยวนหยางอาจทำให้ผู้ฝึกตนธรรมดา ๆ หวาดกลัว แต่จะทำให้ซูอี้ตกใจได้อย่างไร?
“ขอรับ!”
หยวนเหิงยืนตัวตรงพลางก้าวไปข้างหน้า ลมปราณทั่วร่างพลุ่งพล่าน ขณะที่เขากล่าวด้วยสีหน้าเย็นชา “ข้าแนะนำให้เจ้าหลีกทางไปเสีย มิฉะนั้น ระวังชีวิตจะไม่เหลือ!”
เสียงทุ้มก้องดังสายฟ้าฟาด ก่อนพลังกดดันอันมหาศาลจะกวาดออกไปจากร่างของหยวนเหิงราวกับกระแสน้ำ
ชายวัยกลางชุดม่วงและคนอื่น ๆ ต่างหน้าเปลี่ยนสีกันหมด เพราะไม่เคยคิดว่าอีกฝ่ายจะกล้าบุกเข้ามาทั้งที่พวกเขาจะรู้ว่ามาจากสำนักเต๋าหยวนหยาง!
เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่ได้เห็นสำนักเต๋าหยวนหยางอยู่ในสายตาเลย!