บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 42 การปรากฏตัวครั้งแรกของมารหยิน
ตอนที่ 42 การปรากฏตัวครั้งแรกของมารหยิน
ณ จวนตระกูลหวง
มีเพียงหวงอวิ๋นชงและหวงเฉียนจวินผู้เป็นบุตรชายอยู่ภายในหอบรรพบุรุษ
เมื่อบุตรชายเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นวันนี้ให้ฟัง หวงอวิ๋นชงนิ่งเงียบไปนาน ก่อนหัวเราะออกมา
เสียงหัวเราะก้องกังวานลั่นไปทั้งหอ แสดงให้เห็นถึงความยินดีอย่างชัดเจน
หวงเฉียนจวินคลายกังวลทันที จากนั้นเขาจึงกล้าเอ่ยถาม “ท่านพ่อ ท่านไม่คิดว่าข้าทำผิดหรือ?”
หวงอวิ๋นชงก้าวอาด ๆ มาตบบ่าลูกชายเต็มแรง กล่าวคำด้วยรอยยิ้ม
“นอกจากมิได้ทำอะไรผิดแล้ว เจ้ายังทำได้ดีมากเสียด้วย! เจ้าช่างกล้าหาญนัก ข้าประหลาดใจไม่น้อย!”
หวงเฉียนจวินนวดบ่าที่ถูกตบจนเจ็บขณะยิ้มกริ่ม “ท่านพ่อ ข้าจะบอกให้ ข้าได้เรียนรู้มากมายจากการติดตามพี่ซูในสองวันที่ผ่านมา จนทำให้ข้าเข้าใจว่าก่อนหน้านี้ข้าใช้ชีวิตไร้ประโยชน์นัก”
“เช่นนี้นี่แหละที่เรียกว่าติดตามคนที่เหมาะสม”
หวงอวิ๋นชงอดถอนหายใจไม่ได้ “คนอย่างซูอี้เป็นคมในฝัก ไม่ช้าไม่นานเขาจะโดดเด่นเหนือใครในโลกหล้า เจ้าติดตามเรียนรู้จากเขาเช่นนี้อีกไม่นานเจ้าจะถือเป็น ‘ข้ารับใช้ของมังกร’!”
หวงเฉียนจวินว่าขึ้นอย่างกระดากใจ “ท่านพ่อ ข้าไม่คิดถึงขั้นนั้น เพียงแค่รู้สึกว่าอยู่กับพี่ซูแล้วเปิดหูเปิดตาข้าดีนัก”
ผู้เป็นบิดายิ้มพลางเอ่ย “ลูกเอ๋ย เจ้าคิดเช่นนี้เป็นการดีที่สุด หากมีใจเหลิงระเริง สุดท้ายจะแพ้ภัยตนเองได้ ขอเพียงเจ้าจริงใจนั่นคือทางที่ถูกต้อง!”
เขายินดีเสียเต็มประดา
ในฐานะผู้นำตระกูลหวง มีหรือเขาจะไม่เข้าใจเรื่องความสัมพันธ์และวิธีอันเหนือชั้นของซูอี้?
แม้แต่หมออู่กว่างปินผู้เลื่องชื่อยังทึ่งในตัวซูอี้
ระหว่างการตีดาบ ช่างมือหนึ่งหวังเทียนหยางยังเคารพนับถือซูอี้เปรียบดั่งเป็น ‘อาจารย์’
อีกทั้งยังรู้วิธีจับและปราบภูตผี!
นอกจากนี้ยังมีคนใหญ่คนโตอย่างฟู่ซานและผู้นำเขตปกครองหลิงเหยาคอยหนุนหลัง…
ซูอี้ผู้นี้ไม่ต่างจากมังกรซ่อนกาย!
หวงเฉียนจวิน บุตรชายของเขาได้ช่วยเหลืออีกฝ่าย ช่างเป็นวาสนา
“เจ้าไม่ต้องกังวลเรื่องฆ่าเหวินเจี้ยหยวน มีเนี่ยเป่ยหู่และเจ้าเมืองฟู่ออกหน้าให้ เหวินฉางชิงไม่มีทางเล่นงานซูอี้ได้แน่นอน”
หวงอวิ๋นชงว่าเสริมอย่างอารมณ์ดี “กลับกันแล้ว เรื่องของอู๋รั่วชิวกับพรรคมารหยินจะส่งผลร้ายต่อตระกูลเหวินเสียมากกว่า เท่านี้ก็เพียงพอให้เหวินฉางชิงเดือดร้อนแล้ว”
หวงเฉียนจวินอดถามขึ้นไม่ได้ “ท่านพ่อ ท่านรู้เรื่องพรรคมารหยินบ้างหรือไม่?”
หวงอวิ๋นชงย้อนคิดพลางเล่า “ราวร้อยปีก่อน พรรคมารหยินถือเป็นกองกำลังอธรรมอันดับหนึ่งในอาณาจักรโจว มีลูกศิษย์ลูกหามากมายทั่วอาณาจักร”
“ช่วงนั้น พรรคมารหยินทำร้ายผู้คนบริสุทธิ์ไปนับไม่ถ้วนเพื่อฝึกวิชาศาสตร์มืด สร้างความไม่พอใจไปทั่วทุกแว่นแคว้น”
“ในท้ายที่สุด ภายใต้คำสั่งของราชวงศ์โจว กลุ่มเทพเซียนเดินดินจาก ‘สำนักดาบมังกรเร้น’ รวมไปถึงยอดฝีมือจากทั่วอาณาจักรโจวร่วมมือกันและใช้เวลาเพียงสามปี ทำลายล้างพรรคมารหยินจนย่อยยับหายลับไป”
“เหตุการณ์ครั้งนั้นถูกเรียกว่า ‘จลาจลมารหยิน’”
“ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา พรรคมารหยินแตกพ่าย ศิษย์ในพรรคมากมายกระจัดกระจาย น้อยครั้งที่จะปรากฏตัวออกมาให้เห็นเช่นนี้”
“นี่เป็นสาเหตุว่าทำไมจึงมีน้อยคนนักที่จะรู้จัก ‘พรรคมารหยิน’ …นับว่าน้อยมาก ๆ”
เมื่อได้ฟังเช่นนี้ หวงเฉียนจวินนึกขึ้นได้จึงถาม “เช่นนั้นอู๋รั่วชิวคงเป็นศิษย์ที่รอดชีวิตจากจลาจลมารหยิน หรือไม่อาจเป็นศิษย์ของศิษย์อีกทีอย่างนั้นหรือ?”
“คงเป็นเช่นนั้น”
หวงอวิ๋นชงพยักหน้าก่อนกล่าวคำ “แม้พรรคมารหยินจะถูกปราบปรามจนต้องหายหน้าไปมากกว่าร้อยปี แต่ขณะนี้ไม่มีใครรู้ได้ว่าพวกมันซ่องสุมกำลังมารจนแข็งแกร่งมากถึงเพียงไหนแล้ว”
“แต่ถ้าให้เดา การที่ศิษย์ผู้รอดชีวิตของพรรคมารหยินเริ่มกล้ากระทำการอุกอาจมากขึ้นเช่นนี้ มันแปลว่าคงใกล้ถึงเวลาที่พรรคมารชั่วนี้ใกล้จะพร้อมเผยกายขึ้นอีกครา”
นิ่งไปครู่หนึ่ง หวงอวิ๋นชงจึงเอ่ยต่อ “ท่านพ่อ หากเหวินฉางชิงรู้จักอู๋รั่วชิวมาตั้งแต่หลายปีก่อนเช่นนี้ ถ้างั้นมันก็เป็นไปได้ที่เขาเข้าร่วมกับพวกพรรคมารหยินไปเรียบร้อย และนั่นมันไม่ต่างอะไรกับการนำพาความวิบัติไปสู่ตระกูลเหวิน!”
หวงเฉียนจวินสายตาลุกวาว ถามขึ้น “ท่านพ่อ หากท่านเจ้าเมืองฟู่ซานรู้เรื่องนี้ เขาจะกำจัดตระกูลเหวินหรือไม่?”
บิดาเงียบไปชั่วขณะ ก่อนส่ายหน้าปฏิเสธ “หากเป็นเมื่อก่อนตระกูลเหวินคงถูกทำลายเป็นแน่ แต่บัดนี้สถานการณ์เปลี่ยนไปแล้ว”
“เหตุใดเล่า?”
“เพราะตระกูลเหวินกำลังจะมี ‘ศิษย์ยอดยุทธ์’ อย่างไรเล่า!” หวงอวิ๋นชงตอบด้วยน้ำเสียงแฝงแววริษยา
เขาไม่คาดคิดว่าเหวินหลิงเจาจะเป็นที่โปรดปรานของปรมาจารย์ ‘จู้กู่ชิง’ หลังจากเข้าฝึกที่ตำหนักเทียนหยวนได้เพียงไม่กี่วัน
ด้วยสถานะนี้ เพียงพอให้เจ้าเมืองฟู่ซานไม่สามารถทำอะไรได้มาก
…
ณ จวนเจ้าเมือง
เมื่อได้ฟังรายงานของเนี่ยเป่ยหู่ ฟู่ซานผู้ทรงปัญญาอดพยักหน้าเห็นด้วยไม่ได้
“เจ้าจัดการเรื่องนี้ได้ดี ชัดเจนว่าเหวินฉางชิงและบุตรชายรู้เรื่องอู๋รั่วชิวนานแล้วแต่กลับเก็บไว้เป็นความลับ สิ่งที่พ่อลูกคู่นั้นทำ มันไม่ต่างอะไรกับการพาภัยพิบัติเข้าหาตระกูล!” ฟู่ซานพูดเย้ยหยัน
แน่นอนว่าเขารู้เรื่องกองกำลังมารแห่ง ‘พรรคมารหยิน’ เช่นกัน
“นายท่าน ท่านต้องการใช้โอกาสนี้ทำลายตระกูลเหวินหรือไม่ขอรับ?”
สายตาเนี่ยเป่ยหู่วาววับ กระซิบถามอีกฝ่าย “ไม่เหมาะสมนัก”
ฟู่ซานส่ายหน้า “อู๋รั่วชิวถูกคุณชายซูปราบแล้ว หมายความว่าไม่มีหลักฐานยืนยัน อีกทั้งบัดนี้ตระกูลเหวินก็มีศิษย์ยอดยุทธ์ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องไว้หน้ากัน เราจะบุ่มบ่ามไม่ได้”
เมื่อเอ่ยถึงเรื่องนี้ เขาถามกลับ “แล้วคุณชายซูว่าอย่างไร?”
เนี่ยเป่ยหู่สะดุ้ง ตอบออกไป “คุณชายซูไม่ได้พูดอะไรเลยขอรับ”
ฟู่ซานคิดตรอง “เช่นนั้นเราคงไม่มีทางเลือกนอกเสียจากจัดการเรื่องนี้เอง จงไปตรวจสอบดูว่ามีแมลงปีศาจอยู่ที่ใดในเมืองอีก”
“จำไว้ เมื่อสืบพบแล้ว เจ้านำข่าวไปแจ้งแก่คุณชายซูด้วย”
“ขอรับ” เนี่ยเป่ยหู่นำคนออกไป
“เดี๋ยว มีอีกสิ่งหนึ่ง”
ฟู่ซานพลันนึกบางอย่างขึ้นได้ และหยิบเทียบเชิญที่เตรียมเอาไว้ส่งให้เนี่ยเป่ยหู่ “นี่เป็นเทียบเชิญงานประลองประตูมังกร เจ้าเจียดเวลาไปมอบให้คุณชายซูด้วย”
เนี่ยเป่ยหู่ทักท้วงขึ้นขณะรับเทียบเชิญ “นายท่าน คนอย่างคุณชายซู ข้าเกรงว่าคงคร้านจะไปเข้าร่วมประลองในงานประลองประตูมังกร”
ฟู่ซานส่ายหน้าพลางหัวเราะ “ใครบอกว่าให้คุณชายซูไปสู้กันเล่า? ข้าเชิญให้เขาไปเป็นแขกพิเศษเพื่อรับชมและวิจารณ์ทักษะการต่อสู้ต่างหาก”
เนี่ยเป่ยหู่รู้ได้ทันทีว่าเขาสามารถใช้เรื่องนี้กระชับสัมพันธ์กับซูอี้ได้!
ทันใดนั้นทหารยามเข้ามารายงาน “นายท่าน ผู้นำตระกูลเหวิน เหวินฉางจิ้ง และ เหวินฉางชิง ผู้เป็นน้องชายมาขอเข้าท่านพบขอรับ!”
ฟู่ซานว่าเสียงเรียบ “ให้พวกเขาเข้ามา”
“ผู้บัญชาการเนี่ย เจ้าคิดว่าเขามาด้วยเหตุใด?” ฟู่ซานถามสีหน้ายิ้มแย้ม
เนี่ยเป่ยหู่หัวเราะ ตอบอย่างไม่รีรอ “คงมาชี้แจงเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลเหวินกับพรรคมารหยินให้กระจ่าง อย่างไรเสียหากปล่อยเรื่องคั่งค้างไว้เช่นนี้ มีแต่จะทำให้เดือดร้อนได้ทุกเมื่อ”
ฟู่ซานพยักหน้าเห็นด้วย “นอกจากเรื่องนี้ เขาคงมาขอความร่วมมือใช้อำนาจแห่งจวนเจ้าเมือง เพื่อช่วยตระกูลเหวินจับตัวอู๋รั่วชิว ถึงอย่างไรเขาคงปล่อยให้บุตรชายตายเปล่าไม่ได้”
แล้วก็เป็นดั่งที่ฟู่ซานคาดเอาไว้ เหวินฉางจิ้ง และ เหวินฉางชิงเผยเจตนาตามที่ฟู่ซานคาดการณ์ไว้เมื่อเข้ามาถึง
ฟู่ซานตัดสินใจเรื่องนี้ไว้นานแล้ว จึงตอบรับทันทีว่าจะเชื่อในความบริสุทธิ์ใจของตระกูลเหวิน และจะให้ความร่วมมือกับตระกูลเหวิน ส่งคนไปตามล่าตัวอู๋รั่วชิว
คืนนั้นคนของจวนเจ้าเมืองและตระกูลเหวินร่วมมือกันค้นหาเบาะแสทั่วเมือง
เหตุการณ์ครั้งนี้สร้างความแตกตื่นและได้รับความสนใจจากชาวเมือง
ถึงกระนั้นมันไม่ได้ทำให้ซูอี้สะทกสะท้าน
ลมเย็นยามราตรีพัดโชย แสงจันทราสาดส่อง
ภายในบ้าน ซูอี้ฝึกเคล็ดวิชาหลอมกายกระเรียนลอยล่องหลายครั้ง ก่อนหยิบดาบสุดแดนดินมาร่ายรำเพลงดาบท่ามกลางแสงจันทร์ยามค่ำคืน
ชิ้ง!
ร่างสูงของซูอี้สง่างามราวเทพ ดาบเคลื่อนไหวตามกาย พลิ้วไหวไม่ต่างธงสะบัดปลิว ส่งประกายวาววับ
ว่องไวดั่งอัสนีบาตร ฉวัดเฉวียนส่องแสงระยิบระยับ
ประกายดาบผ่าแหวกม่านราตรีราวเรือล่องสายธาร ฟันแสงเดือนแตกเป็นเสี่ยงผ่านเงาวูบไหวซึ่งก่อเกิดพลันจางหาย
ในไม่ช้า!
เงาดาบหนักแน่นปรากฏ ส่องประกายเป็นเส้นตรง ร่างซูอี้กลายเป็นเลือนรางคล้ายภาพมายา
มันคือ ‘เพลงดาบสุดปรีดี’
กลืนกินลมหายใจแห่งความชั่วร้าย ปลดปล่อยสายวายุแห่งความยินดี!
แก่นแท้ของเพลงดาบนี้คือความเป็นอิสระ ไร้ซึ่งพันธนาการราวสายลมล่องลอย ไม่กำหนดแต่เพียงเป้าหมายเดียว ยังต้องแผ่กระจายไปทั่วบริเวณ
‘เพลงดาบสุดปรีดี’ มีเพียงหกกระบวนท่าเท่านั้น
แบ่งเป็น ‘ดึงดารา’ ‘คว้าสุริยันจันทรา’ ‘ตัดสมุทรและขุนเขา’ ‘ผ่าอัคนี’ ‘หลอกล่อสังหาร’ และ ‘ทัศนาสิบทิศ’
คืนนั้นซูอี้กำจัดแมลงปีศาจนับร้อยด้วยกระบวนท่า “คว้าสุริยันจันทรา”
วิชาดาบนี้เป็นหนึ่งในทักษะเฉพาะตัวที่ซูอี้คิดค้นขึ้นในชาติก่อน ด้วยพลังอำนาจและความลึกล้ำในตัวทักษะ เพลงดาบนี้เพียงพอที่จะถูกจัดอยู่ในยอดเพลงดาบระดับมหาจักรพรรดิ!
เคราะห์ร้ายที่ด้วยระดับการบ่มเพาะของซูอี้ต่ำเตี้ยเกินไปในตอนนี้จึงทำให้เขาฝึกได้เพียงกระบวนท่า ไม่สามารถสำแดงพลังอันยิ่งใหญ่ที่แท้จริงของมันออกมาได้