บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 420 อสรพิษจิตวิญญาณหิมะ
ตอนที่ 420: อสรพิษจิตวิญญาณหิมะ
ตอนที่ 420: อสรพิษจิตวิญญาณหิมะ
แม้ว่าหยวนเหิงจะอยู่แค่เพียงขอบเขตไร้เบญจธัญ แต่ร่างกายของเขาคือเต่ายักษ์ทองซึ่งได้บำเพ็ญมาเป็นเวลาหลายร้อยปี
เมื่อเขาก้าวไปข้างหน้า ชายวัยกลางคนในชุดคลุมสีม่วงและคนอื่น ๆ ต่างก็หน้าซีดเผือด
ไม่ใช่เพราะพวกเขาหวาดกลัวหยวนเหิง แต่เพราะพวกเขากังวลว่าเมื่อเริ่มลงมือแล้ว หลิงอวิ๋นเหอที่เป็นขอบเขตรวบรวมดาราจะไม่นิ่งเฉย!
ขณะที่ความขัดแย้งนี้กำลังจะระเบิดออก
ทันใดนั้นก็มีเสียงตะโกนดังมาจากส่วนลึกของหุบเขาหานกู่
“เจ้าตัวร้ายกาจนั่น ข้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมัน!”
“ไป! รีบไปเร็ว!”
เสียงนั้นยังคงดังก้อง ก่อนจะเห็นประกายแสงพุ่งหนีมาจากส่วนลึกของหุบเขา
เป็นบุรุษหกคนและสตรีอีกสาม
ซึ่งนำมาโดยชายชุดแดง ร่างของเขาสูงใหญ่ดุจภูผา ทรงพลังและน่าเกรงขาม
พวกเขาเผ่นหนีกันอย่างว่องไว และมีสภาพค่อนข้างน่าอับอาย ราวกับว่าเกิดร้ายแรงบางอย่างขึ้นจนพวกเขาต้องหนีมา
เมื่อใกล้ถึงทางเข้าหุบเขา ชายในชุดคลุมสีแดงกับคนอื่น ๆ ก็ดูโล่งใจและผ่อนฝีเท้าลง ทว่าสีหน้าของทุกคนยังคงดูเสียขวัญอยู่
“คารวะท่านเจ้าสำนัก!”
ชายวัยกลางคนสวมชุดม่วงและคนอื่น ๆ พากันเอ่ยทักทาย ราวกับว่าพวกเขาเห็นผู้ช่วยชีวิต พวกเขาต่างก็โล่งใจเช่นกัน
ชายในชุดคลุมสีแดงเป็นเจ้าสำนักของสำนักเต๋าหยวนหยาง เยี่ยนจวินซาน ผู้อยู่ในขอบเขตเปิดทวารขั้นสมบูรณ์แบบ!
บรรดาผู้ที่ติดตามเยี่ยนจวินซานล้วนเป็นคนใหญ่คนโตของสำนักเต๋าหยวนหยางเช่นกัน
หนึ่งในนั้นคือชายชราร่างผอมในชุดสีน้ำเงินเข้มนาม ล่ายจ่างเซียว ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้อาวุโสเพียงสองคนที่เหลืออยู่ในสำนักเต๋าหยวนหยาง!
“เกิดอะไรขึ้น?”
เยี่ยนจวินซานที่สวมชุดคลุมสีแดงและมีท่าทางน่าเกรงขามกวาดตาไปรอบ ๆ ก่อนขมวดคิ้วเมื่อเห็นหยวนเหิงกับพวกซูอี้จากไกล ๆ
ชายวัยกลางคนชุดม่วงก้าวไปข้างหน้าทันทีและชี้แจงอย่างรวดเร็วว่าเกิดอะไรขึ้นในตอนนี้
ทันใดนั้น เยี่ยนจวินซานและคนอื่น ๆ ต่างก็เบนความสนใจไปยังหลิงอวิ๋นเหอที่อยู่ห่างออกไป
ช่วยไม่ได้ ในบรรดากลุ่มของซูอี้ หลิงอวิ๋นเหอซึ่งเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตรวบรวมดารานั้นโดดเด่นที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย
“ขอถามนามสหายเต๋าได้หรือไม่?”
เยี่ยนจวินซานพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น
“จากต้าฉี หลิงอวิ๋นเหอแห่งหอดาบหนึ่งสวรรค์”
หลิงอวิ๋นเหอกล่าวอย่างใจเย็น
เยี่ยนจวินซานพลันประหลาดใจ สีหน้าของเขากลายเป็นเคร่งขรึมเล็กน้อย
ต้าฉีนับเป็นอาณาจักรอันดับสองในด้านการฝึกฝนของมหาทวีปคังชิง
และหอดาบหนึ่งสวรรค์เองก็เป็นสำนักเต๋าอันดับหนึ่งแห่งต้าฉี ว่ากันว่ามีผู้ฝึกตนขั้นวิถีวิญญาณปกป้องอยู่ ซึ่งนับว่าเป็นภูมิหลังที่ทรงพลังอย่างยิ่ง
กระทั่งในอาณาเขตต้าเซี่ยเองก็ยังเรียกได้ว่าเป็นกองกำลังชั้นหนึ่ง
“กลายเป็นสหายเต๋าจากหอดาบหนึ่งสวรรค์นี่เอง”
เยี่ยนจวินซานคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วโบกมือ “หลีกทางให้สหายเต๋าจากหอดาบหนึ่งสวรรค์ผ่านไป”
ชายวัยกลางคนชุดม่วงและคนอื่น ๆ รีบหลีกทางให้
“ขอบคุณ”
หลิงอวิ๋นเหอโค้งเล็กน้อยแล้วเข้าไปยังหุบเขาพร้อมกับซูอี้และคนอื่น ๆ
เมื่อเดินผ่าน เยี่ยนจวินซาน เจ้าสำนักของสำนักเต๋าหยวนหยางก็พลันเปิดปากพูดขึ้นว่า “สหายเต๋าหลิงต้องระวังเอาไว้ด้วย แม้ว่าจะมีโชคลาภมากมายในส่วนลึกของหุบเขานี้ แต่ก็มีอันตรายอยู่มากมาย ก่อนนี้ข้าได้ลองแล้ว ข้าพยายามเข้าไปในนั้น แต่ถูกสัตว์ร้ายที่น่าสะพรึงกลัวขวางเอาไว้ ถ้าไม่อย่างนั้นข้าคงไม่กลับออกมาเช่นนี้”
หลิงอวิ๋นเหอชะงักไป ก่อนพยักหน้า
สำหรับซูอี้ เขาถูกเยี่ยนจวินซานและคนอื่น ๆ ละเลยไปตั้งแต่ต้นจนจบ
อันที่จริง เยี่ยนจวินซานและคนอื่น ๆ ไม่ได้สนใจชายหนุ่มที่อยู่ในขอบเขตไร้เบญจธัญผู้นี้เลยด้วยซ้ำ…
จนกระทั่งเขาเห็นซูอี้กับคนอื่น ๆ หายตัวไป ชายร่างผมอย่างล่ายจ่างเซียวจึงพูดขึ้นว่า “ท่านเจ้าสำนัก ท่านคิดใช้แผน ‘ตั๊กแตนจับจักจั่น นกขมิ้นอยู่ด้านหลัง’ หรือไม่?”
ดวงตาของเยี่ยนจวินซานกะพริบไหว ก่อนเขาจะส่ายหัวพลางเอ่ย “หากหลิงอวิ๋นเหอสามารถสังหารสัตว์ร้ายตัวนั้นและคว้าโอกาสนั้นได้จริง ๆ ความแข็งแกร่งของเขาจะต้องไม่อ่อนด้อย เกรงว่าถึงพวกเราร่วมมือกันก็จัดการพวกเขาลงไม่ได้”
ล่ายจ่างเซียวกล่าวว่า “เจ้าสำนักมีแผนการใดหรือ?”
เยี่ยนจวินซานคิดครู่หนึ่งแล้วพูดขึ้น “เนื่องจากหลิงอวิ๋นเหอและพวกต่างรู้ว่าพวกเราอยู่ใกล้ ๆ หากไม่มีความมั่นใจที่จะเอาชนะสัตว์ร้ายได้ พวกเขาคงไม่ทุ่มพลังเต็มที่ เพราะท้ายที่สุด พวกเขาต้องกังวลว่าเราจะฉวยโอกาสยามไฟไหม้แล้วคว้าโอกาสไป”
ล่ายจ่างเซียวพยักหน้า “นั่นก็จริง”
เยี่ยนจวินซานดูเหมือนจะตัดสินใจได้ในที่สุด เขากล่าว “โอกาสครั้งนี้ สำนักเต๋าหยวนหยางของเราต้องไม่ปล่อยมันไป!”
เขาสูดหายใจเข้าลึกแล้วออกคำสั่ง “ผู้ดูแลหลี เจ้าเร่งส่งข่าวไปยังตำหนักดาบเฟยหลิง สำนักกระบี่ชิงเสวียน และวัดหลิงเสีย กองกำลังทั้งสามนี้ในทันที”
“ขอรับ!”
ชายวัยกลางคนที่สวมชุดสีเทารีบออกไป
ล่ายจ่างเซียวขมวดคิ้วและพูดว่า “เจ้าสำนัก หากสามกองกำลังนี้เข้ามาร่วมวงด้วยข้าเกรงว่าจะมีตัวแปรมากเกินไป”
เยี่ยนจวินซานกล่าว “อาจารย์ลุงเองก็ทราบว่าด้วยความแข็งแกร่งของสำนักเต๋าหยวนหยางเรานั้นไม่สามารถคว้าโอกาสครั้งนี้ได้ มีเพียงการเข้าร่วมกับอีกสามกองกำลังเท่านั้นที่เราจะมีโอกาสได้รับส่วนแบ่ง”
หลังจากชะงักไปครู่หนึ่ง ดวงตาของเขาก็ฉายแววเย็นชา “ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าหลิงอวิ๋นเหอและพวกโชคดีคว้าโอกาสนี้ได้จริง ๆ พวกเราก็จะยืมมือของสามกองกำลังมาจัดการหลิงอวิ๋นเหอและพวกซะ!”
ล่ายจ่างเซียวเป็นประกาย “ท่านจะนั่งภูดูเสือกัดกันรึ?”
เยี่ยนจวินซานยิ้ม “นั่นก็ขึ้นอยู่กับว่าหลิงอวิ๋นเหอและคนอื่น ๆ จะสามารถคว้าโอกาสครั้งนี้ได้หรือไม่ สรุปคือไม่ว่าจะเป็นกรณีใด โชคครั้งนี้ก็ต้องมีส่วนของสำนักเต๋าหยวนหยางของเรา!”
…
หุบเขาหานกู่
ยิ่งเข้าไปลึกเท่าไร อากาศระหว่างสวรรค์และโลกก็ยิ่งเย็นยะเยือกขึ้นเท่านั้น ดุจหมอกสีขาวที่ลอยอ้อยอิ่งอยู่ในอากาศ
อากาศเย็นเยียบดุจคมมีดเสียดแทงผิวหนัง ทั่วร่างรู้สึกหนาวเหน็บ
ในท้ายที่สุด หยวนเหิงและชิงหยาก็ต้องใช้พลังบำเพ็ญมาสกัดอากาศหนาวที่แทรกซึม
ซูอี้คล้ายไม่รู้ตัว เขายังคงเดินอยู่ในหมอกเย็นยะเยือกโดยไม่ได้รับผลกระทบใด ๆ
หลิงอวิ๋นเหอรู้สึกผ่อนคลายมาก เพราะเขาอยู่ในขอบเขตรวบรวมดารา จึงไม่กลัวอากาศที่มืดมนและหนาวเย็นเช่นนี้
ระหว่างทางหลิงอวิ๋นเหอได้กล่าวขึ้น “สหายเต๋าซู ข้าเกรงว่าผู้ฝึกตนของสำนักเต๋าหยวนหยางจะไม่ยืนดูพวกเราคว้าโอกาสในหุบเขานี้เฉย ๆ”
ซูอี้กล่าวอย่างไม่แยแส “ไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องนี้ หากพวกเขากล้าเข้ามายุ่งจริง ๆ ก็แค่สังหารทิ้งเสีย”
ในชีวิตก่อน เขามีประสบการณ์โดนจ้องแย่งชิงโอกาสนับครั้งไม่ถ้วน ดังนั้นเขาจะไม่รู้ความคิดของคนจากสำนักเต๋าหยวนหยางเหล่านั้นได้อย่างไร?
“สังหารทิ้ง…”
หลิงอวิ๋นเหอตกตะลึงไปครู่หนึ่ง ดวงตาของเขาฉายแววประหลาด ‘ใช่แล้ว สำหรับตัวตนเช่นซูอี้จะสนใจเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร?’
‘เมื่อซูอี้ไปถึงต้าเซี่ย ด้วยนิสัยและความแข็งแกร่งของเขา ข้าไม่รู้ว่าจะมันสร้างคลื่นเช่นใดขึ้น’
หลิงอวิ๋นเหอลอบถอนหายใจ
เวลาผ่านไปหนึ่งถ้วยชาเต็ม
ซูอี้พลันชะงักแล้วมองออกไปไกล
สถานที่แห่งนี้อยู่ลึกเข้าไปในหุบเขาหานกู่และล้อมรอบไปด้วยภูเขาทั้งสามด้าน
ตูม!
ทันใดนั้น สายลมเย็นยะเยือกสีฟ้าก็พัดออกมาจากกลุ่มหมอกราวกับสายฟ้าฟาดเข้าปกคลุมซูอี้ซึ่งยืนอยู่แนวหน้า
ด้วยตาเปล่า สามารถมองเห็นได้ว่ายามที่สายลมสีฟ้าเย็นยะเยือกพัดเข้ามา หมอกที่ลอยอยู่ในอากาศใกล้เคียงก็แข็งตัวในพริบตา
ม่านตาของหลิงอวิ๋นเหอและคนอื่น ๆ หดลง ขนในกายของพวกเขาลุกชัน การไหลเวียนของลมปราณและโลหิตทั่วร่างกายก็ชะงักนิ่ง และสายลมเย็นเยียบพัดผ่านแทบจะแช่แข็งผู้คนให้เป็นก้อนน้ำแข็ง!
หากไม่ใช่เพราะว่าพวกเขาทั้งหมดเดินพลังปราณต้านไว้อยู่ก่อน ลำพังแค่คลื่นลมครั้งนี้ก็เพียงพอที่สร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวงแก่พวกเขาแล้ว
“ลมหยินเยือกแข็งสัมบูรณ์? เป็นอย่างที่คิดว่ามันต้องมีเส้นชีพจรหยินสัมบูรณ์กระจายอยู่ที่นี่!”
ซูอี้ยิ้มออกมา
เขาโบกแขนเสื้อ
ตูม!
‘พลังแห่งไฟ’ ในจังหวะวิถีเบญจธาตุกลายเป็นลำแสงที่พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าดังภูเขาไฟปะทุที่ระเบิดรัศมีทำลายล้างออกมา
ด้วยตาเปล่า ก็เห็นได้ว่ากระแสลมสีน้ำเงินส่งเสียงหวีดร้องขึ้น จากนั้นในชั่วพริบตามันจะระเหยหายไปภายใต้เปลวไฟที่โหมกระหน่ำ
หมอกเย็นยะเยือกในบริเวณใกล้เคียงก็ละลายลงไป
ภาพที่ไกลออกไปก็กระจ่างชัดขึ้นเช่นกัน
บนเส้นทางข้างหน้ามีภูเขาสีดำสนิทปรากฏขึ้น และที่ด้านล่างของภูเขาก็เป็นทางเข้าถ้ำแห่งหนึ่ง
ที่หน้าถ้ำ มีงูหลามยักษ์สีขาวดุจหิมะขดอยู่รอบ ๆ หัวของมันมีขนาดเท่าปากถ้ำ ม่านตาของมันเป็นสีฟ้าจาง ๆ และมีรูปร่างที่ใหญ่โตราวกับแม่น้ำ เกล็ดสีขาวราวกับหิมะก็ได้เปล่งประกายแสงสีฟ้าหม่นออกมาราง ๆ
“สายพันธุ์ประหลาดยุคโบราณ อสรพิษจิตวิญญาณหิมะ!”
สีหน้าของหลิงอวิ๋นเหอเปลี่ยนไปเล็กน้อย
นี่คือสัตว์ร้ายสายพันธุ์ประหลาดที่ทรงพลังอย่างยิ่ง เพราะมันสามารถควบคุมพลังลมเยือกแข็งได้ตั้งแต่เกิด และอสรพิษจิตวิญญาณหิมะที่บ่มเพาะพลังดังกล่าวจะน่ากลัวมากกว่าปกติ เนื่องด้วยมันสามารถสังหารผู้ฝึกตนมนุษย์ในขอบเขตเดียวกันลงได้อย่างง่ายดาย
เห็นได้ชัดว่าอสรพิษจิตวิญญาณหิมะที่อยู่ตรงหน้าเขาได้ฝึกฝนมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว รัศมีของมันจึงทั้งน่าเกรงขามและเย็นยะเยือก ซึ่งเทียบได้กับผู้ฝึกตนขอบเขตรวบรวมดารา!
หยวนเหิงในฐานะสัตว์อสูร เขาย่อมรับรู้ได้ชัดเจนกว่าใคร ยามเห็นอสรพิษจิตวิญญาณหิมะ ในใจของเขาก็สัมผัสได้ถึงความน่าสะพรึงที่ชวนหายใจไม่ออก
นี่มันปีศาจขนานแท้!
ที่น่ากลัวที่สุดคือนี่เป็นสภาพก่อนที่อีกฝ่ายจะแปลงร่างเป็นสัตว์ร้ายแท้จริง รัศมีที่แผ่ออกมานั้นน่าสะพรึงเสียจนไม่มีผู้ใดกล้าจินตนาการถึงยามมันแปลงร่างสำเร็จว่าจะทรงพลังเพียงใด
ชิงหยาดูเหมือนไม่รู้เรื่องราวและไร้ความหวาดกลัว ดวงตาของนางเบิกกว้าง ก่อนนางจะอุทานออกมาว่า “เป็นงูเหลือมที่งดงามจริง ๆ!”
“นางไม่งดงามหรอก ยังด้อยกว่าบรรพบุรุษของมันอย่าง ‘ปิงชือ’ มากนัก”
ซูอี้กล่าวอย่างใจเย็น
ปิงชือ เป็นสัตว์วิญญาณโบราณที่แท้จริง ซึ่งมี ‘เชื้อสายชือหลง’*[1] สิ่งมีชีวิตอันทรงพลัง
เชื้อสายชือหลงแบ่งเป็นสามสายหลัก ๆ ได้แก่ ฮั่วชือ ปิงชือ และเหลยชือ
ในบรรดาพวกมัน เหลยชือเป็นเชื้อสายชือหลงดั้งเดิมและถือได้ว่าเป็นชือหลงเลือดบริสุทธิ์ ซึ่งมีชื่ออยู่ในรายนาม ‘สัตว์วิญญาณที่แท้จริงแห่งสวรรค์’
ในชีวิตก่อนหน้านี้ เพื่อหลอมโอสถเม็ดหนึ่งซูอี้ได้จับชือหลงเลือดบริสุทธิ์มา และให้อีกฝ่ายบริจาคโลหิตวิญญาณร้อยจินอย่างว่าง่าย แล้วเขาจะไม่ทราบเกี่ยวกับเชื้อสายชือหลงอย่างชัดเจนได้อย่างไร?
สำหรับอสรพิษจิตวิญญาณหิมะตรงหน้าเขา มันเป็นเพียงการกลายพันธุ์ของเชื้อสายชือหลงในสายปิงชือ เป็นสายเลือดผสมที่ด้อยกว่าปิงชือเลือดบริสุทธิ์มากนัก นับประสาอะไรกับชือหลงตัวจริง
ทันทีที่ซูอี้พูดคำเหล่านี้ออกมาก็เห็นงูหลามสีขาวเหมือนหิมะที่ขดอยู่รอบ ๆ ทางเข้าถ้ำไกลออกไปพลันจ้องเขม็งมาด้วยดวงตาสีแดงสด มันใช้สายตาดุจใบมีดจ้องซูอี้เขม็ง งูตัวนั้นเปล่งเสียงแหบเย็นเยียบเปี่ยมด้วยเสน่ห์อันเป็นเอกลักษณ์หญิงสาว
“เป็นเพียงเด็กน้อยขอบเขตไร้เบญจธัญ แต่น้ำเสียงวางโตเสียจริง ข้าแนะนำให้เจ้าออกไปโดยเร็วที่สุด อย่าบีบให้ข้าต้องทำลายศีลและลงมือเข่นฆ่า”
มันขยับตัวอย่างช้า ๆ ศีรษะชูขึ้น ร่างกายสีขาวเหมือนหิมะมีแสงสีฟ้าหม่นจาง ๆ ซึ่งดวงตาสีแดงเข้มนั้นใสกระจ่างราวกับอัญมณี ดูลึกลับและชวนให้หวาดกลัว
ชิงหยาร้องออกมาด้วยดวงตาเป็นประกาย “ที่แท้งูหลามขนาดใหญ่ที่งดงามตัวนี้ก็เป็นหญิงสาว! ถ้ามันแปลงร่างเป็นมนุษย์ได้จะงดงามเพียงใดกันนะ?”
ทุกคน “…”
อสรพิษจิตวิญญาณหิมะ “…”
[1] ชือหลง คือชื่อสัตว์ตามตำนานของจีน เป็นมังกรไร้เขา แบ่งออกเป็นสามสายหลัก ๆ ด้วยกัน