บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 421 บรรลุจังหวะวิถีหยิน
ตอนที่ 421: บรรลุจังหวะวิถีหยิน
ตอนที่ 421: บรรลุจังหวะวิถีหยิน
ความนึกคิดและสภาพจิตใจของชิงหยาไม่เหมือนกับคนปกติ
ซูอี้ตะลึงค้าง พลางส่ายหน้าทันที “ดูเหมือนเผ่าปีศาจเลือดผสม จะมีพื้นฐานโดยกำเนิดไม่พอ โชคดีที่มีพลังชีพจรหยินสัมบูรณ์ช่วย ถึงทำให้เจ้าในหลายปีมานี้สามารถฝึกฝนไปถึงขั้นนี้ได้ ทว่าหากอยากแปลงกายด้วยตัวเอง… มันคงยากกว่าการขึ้นสวรรค์เสียอีก”
“เจ้าชนรุ่นหลัง เจ้าที่มีขั้นการฝึกฝนเพียงแค่ขอบเขตไร้เบญจธัญ ริอาจดูแคลนข้ารึ?”
กลิ่นอายของอสรพิษจิตวิญญาณหิมะเปลี่ยนเป็นน่าสะพรึงกลัวขึ้น ดวงตาแดงสดเผยความอับอาย โมโห ตกใจปนเปกันออกมา
“พี่สาวอสรพิษอย่าเพิ่งโกรธสิ”
ชิงหยารีบเอ่ยปลอบทันที “หากพี่ชายซูอี้พูดผิด ท่านสามารถแย้งออกมาได้”
อสรพิษจิตวิญญาณหิมะ “??”
แต่ที่นึกไม่ถึงคือ มันเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยขึ้น “พี่ซูอี้ของเจ้ากล่าวไม่ผิดหรอก ตลอดสามร้อยปีมานี้ ข้าอาศัยพลังชีพจรหยินสัมบูรณ์ถึงได้ฝึกมาถึงระดับนี้ได้ อีกอย่าง ข้ารู้ตัวว่าไม่มีหวังในการแปลงกาย ไม่เช่นนั้น คงหลุดพ้นจากร่างนี้ และออกไปท่องเที่ยวนานแล้ว นี่… ไม่ใช่เรื่องที่ต้องปิดอะไร”
น้ำเสียงแหบแห้งที่น่าดึงดูด กลับเจือไปด้วยความผิดหวัง
ชิงหยาเอ่ยด้วยความรู้สึกเช่นเดียวกัน “พี่สาวอสรพิษอย่าได้ท้อไปเลย บนคัมภีร์เต๋าบอกว่า สวรรค์ย่อมมีทางออกให้มนุษย์เสมอ บนโลกใบนี้ย่อมมีความไม่แน่นอน สำหรับผู้ฝึกตนรุ่นข้า ยิ่งต้องเชื่อมั่นว่าบนเส้นทางนี้ ต้องมีตัวแปรและจุดพลิกสถานการณ์ และเมื่อสิ่งต่าง ๆ พัฒนาไปจนสุดขั้ว การเปลี่ยนแปลงจะต้องเกิดขึ้น นี่คือแก่นสารของสิ่งนี้”
คำพูดนี้กลับทำให้หยวนเหิงเกิดความรู้สึกร่วมด้วย จึงเอ่ยด้วยความจริงใจ “ตอนนั้นข้าคลำทางฝึกฝนอยู่ใต้แม่น้ำชิงหลางเกือบหกร้อยปี แม้จะสั่งสมพลังรากฐานไว้มหาศาล ทว่ามิอาจแปลงกายเป็นผู้ฝึกปีศาจอย่างแท้จริงได้ ในตอนที่ข้าใกล้หมดหวังต่อการแสวงหาเส้นทางนี้แล้ว นายท่านก็ปรากฏตัวออกมา มอบวิชาแปลงกายและวิชาลับในการฝึกฝนให้แก่ข้า และชีวิตของข้าก็เปลี่ยนไปจากเดิมทันทีราวดั่งฝัน!”
เมื่อเอ่ยมาถึงตอนท้าย ใบหน้าเขาเต็มไปด้วยความซาบซึ้งและฮึกเหิม
ต้องเข้าใจเสียก่อน ว่ายิ่งปีศาจตนนั้นแข็งแกร่งและมีพรสวรรค์มากเท่าใด ก็ยิ่งมีโอกาสแปลงกายได้น้อยลงเท่านั้น นี่คือเรื่องที่รู้กันโดยทั่วไป
“นายท่านเจ้าคือผู้ใด?”
ข้างถ้ำที่อยู่ไกลออกไป อสรพิษจิตวิญญาณหิมะมีท่าทางเปลี่ยนไป
“ก็ต้องเป็นพี่ชายซูอี้ของข้าอยู่แล้ว” ชิงหยาเอ่ยด้วยเสียงดังกังวาน
“เจ้าน่ะรึ?”
อสรพิษจิตวิญญาณหิมะนิ่งอึ้งไป คล้ายกับไม่อยากจะเชื่อ
ซูอี้เอ่ยอย่างเย็นชา “จะเชื่อหรือไม่ ข้าไม่สน หากยามนี้เจ้าพาพวกเราไปยังสถานที่ซ่อนพลังชีพจรหยินสัมบูรณ์อย่างว่าง่าย หลังจากเรื่องทุกอย่างเสร็จสิ้นแล้ว ข้าก็ไม่รังเกียจที่จะมอบโอกาสการแปลงกายให้แก่เจ้า”
อสรพิษจิตวิญญาณหิมะตื่นเต้นขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ร่างมหึมาดั่งก้อนหยกที่ขาวดุจหิมะขดไม่หยุด ดวงตาสีแดงสดเจือไปด้วยความลังเล
ครั้นเห็นมันไม่เอ่ยสิ่งใดอยู่นาน ชิงหยาจึงเอ่ยด้วยความร้อนรนขึ้นมาอย่างทนไม่ไหว “พี่สาวอสรพิษ ท่านรีบตอบตกลงสิ พี่ชายซูอี้คือบุคคลดั่งเทพเซียน มีความสามารถที่น่าเหลือเชื่อ หากได้รับคำชี้แนะจากเขา โอกาสที่ท่านจะแปลงกายล้มเหลวนั้นมีน้อยมาก”
ซูอี้ลูบจมูก เหตุใดประโยคนี้ถึงฟังดูเหมือนกำลังยั่วยุอยู่ล่ะ?
หากอสรพิษจิตวิญญาณหิมะแปลงกายล้มเหลว เช่นนั้นจะไม่ใช่ความผิดข้าผูู้เดียวรึ?
“สหายเต๋า วิถีแห่งการฝึกฝน เน้นสำคัญที่โชคชะตานำพา ที่เจ้าได้พบพวกเราในวันนี้ ไม่ใช่เพราะโชคชะตาหรอกรึ? จุดพลิกพลันอยู่ตรงหน้าแล้ว หากพลาดโอกาสไป คงต้องเสียใจไปตลอดชีวิต”
หลิงอวิ๋นเหอก็เอ่ยขึ้นอย่างทนไม่ไหวเช่นกัน
เขาดูออก อสรพิษจิตวิญญาณหิมะผู้นี้แตกต่างจากเผ่าปีศาจอื่น เพราะไม่มีกลิ่นอายความดุร้ายอยู่บนตัว ทั้งยังสามารถควบคุมอารมณ์และสุภาพตั้งแต่เริ่มจนจบ
นี่คือสาเหตุที่ทำให้หลิงอวิ๋นเหอเอ่ยโน้มน้าวขึ้นมา
“ตามข้ามา”
สุดท้าย อสรพิษจิตวิญญาณหิมะก็ตัดสินใจได้ พลางเลื้อยเข้าไปภายในถ้ำ
กลุ่มของซูอี้ก็เดินตามหลังไป
ภายในถ้ำคดเคี้ยวและเงียบสงัด ไอเยือกเย็นราวกับกระแสน้ำ แม้ผู้ฝึกตนธรรมดาจะกระตุ้นปราณทั่วกาย เกรงว่าคงยากที่จะต้านทานได้
แต่สำหรับพวกซูอี้ ก็ไม่เท่าไรหรอก
ไม่นาน พวกเขาก็มาถึงด้านหน้าสระน้ำขนาดใหญ่ ภายใต้การนำทางของอสรพิษจิตวิญญาณหิมะ
ในสระน้ำปกคลุมไปด้วยไอเย็นราวกับหมอก เมื่อมาถึงที่นี่ ชิงหยากับหยวนเหิงต่างสั่นด้วยความเหน็บหนาว และมีน้ำค้างแข็งสีฟ้าเกาะขึ้นทั่วตัว
“พวกเจ้าไม่ต้องเข้ามาใกล้อีก ไม่เช่นนั้นมีหวังถูกน้ำแข็งทำลายรากฐานหลักแน่”
ซูอี้เอ่ยทันที
ชิงหยากับหยวนเหิงพลันหยุดชะงัก
“ข้างใต้สระน้ำนี้ คือตำแหน่งของชีพจรหยินสัมบูรณ์”
อสรพิษจิตวิญญาณหิมะเริ่มเอ่ย “หรือพวกเจ้า… ตั้งใจจะขุดมันกลับไป?”
ซูอี้เอ่ย “แม้ชีพจรหยินนี้จะมีมูลค่าที่น่าตกใจ ทว่าสำหรับข้า มันไม่ถึงขั้นนั้น ที่ข้ามาครานี้ เพราะต้องการยืมพลังหยินบริสุทธิ์ของสถานที่นี้ เพื่อบรรลุมหาวิถี”
แหล่งกำเนิดชีพจรหยินสัมบูรณ์ ต้องเป็นสถานที่แห่งหยินสุดขั้วแน่!
สำหรับซูอี้ ราวกับได้หากุญแจที่เปิด ‘จังหวะวิถีหยิน’ ในระหว่างการฝึกฝนครั้งนี้เจอ มากพอที่จะไขว่คว้าร่องรอยของจังหวะวิถีหยินได้อย่างสบายและง่ายดาย!
ความจริงแล้ว ในชาติก่อน ซูอี้เรียนรู้แก่นแท้มหาวิถีมาอย่างหลากหลาย หนึ่งในนั้นมีมหาวิถีแห่งหยินด้วย
ทว่าหลังจากกลับมาเกิดใหม่ ความเข้าใจและมหาวิถีของชาติก่อนกลับไม่หลงเหลืออยู่เลย เหลือเพียงแค่ประสบการณ์และความรู้ในชาติก่อนเพียงเท่านั้น
ด้วยเหตุนี้ ในตอนบรรลุจังหวะวิถี จะต้องมีขั้นตอน ‘เข้าสู่ประตู’ และต้องสัมผัสแก่นแท้มหาวิถีจากร่องรอยมหาวิถีที่กระจัดกระจายไปทั่วทุกที่ถึงจะสำเร็จได้
แน่นอนว่าเพียงแค่เข้าประตู ด้วยประสบการณ์และความรู้ในชาติก่อนของเขา ที่จริงไม่จำเป็นต้องบรรลุ แค่นำแก่นแท้ของ ‘จังหวะวิถีหยิน’ ทั้งหมดจดจำไว้ในใจ
ส่วนที่เหลือก็แค่ขัดเกลาและหลอมพลังจังหวะวิถีนี้
“บรรลุมหาวิถี?”
อสรพิษจิตวิญญาณหิมะสงสัย มันอยู่ที่นี่มานานสามร้อยปี นอกจากยืมพลังหยินสัมบูรณ์หลอมธาตุวิถีออกมา ก็ไม่รู้สึกถึงความลี้ลับมหัศจรรย์ของมหาวิถีเลย
หลิงอวิ๋นเหอและคนที่เหลือชะงักค้าง และไม่นึกเลยว่า ซูอี้ไม่ได้มาเพราะพลังหยินสัมบูรณ์ตั้งแต่แรก
ซูอี้ไม่ได้อธิบายสิ่งใด ราวกับเขาคร้านที่จะ ‘อธิบาย’ เรื่องนี้ให้เปลืองน้ำลาย
“ทุกคนรออยู่ที่นี่”
ขณะเอ่ย ซูอี้ก้าวเดินออกไป แล้วจึงนั่งขัดสมาธิอยู่เหนือสระน้ำ ก่อนร่างสูงใหญ่นั้นจะถูกปกคลุมไปด้วยหมอกหยินเย็นสีขาวทันที คิ้วคมและเส้นผมล้วนเกาะไปด้วยเกล็ดน้ำแข็ง
ครั้นอสรพิษจิตวิญญาณหิมะเห็นเช่นนี้ นัยน์ตาแดงสดก็อดเผยความยุ่งเหยิงออกมาไม่ได้ ชายหนุ่มผู้นี้ไม่กังวลว่านางจะถือโอกาสนี้โจมตีเลยรึ?
หลิงอวิ๋นเหอเหลือบมองอสรพิษจิตวิญญาณหิมะครู่หนึ่ง ก่อนละสายตากลับมา
บางทีซูอี้อาจตั้งใจทำเช่นนี้ คล้ายกับเป็นการทดสอบ หากอสรพิษจิตวิญญาณหิมะริอาจคิดทรยศ คงมีแต่ต้องตายอย่างเดียว!
กลับกัน ถ้านิ่งเฉยไว้ นางก็สามารถได้รับคำชี้แนะการ ‘แปลงกาย’ จากซูอี้ได้
สุดท้ายนางจะเลือกอย่างไหน ก็คงต้องแล้วแต่นาง
หลิงอวิ๋นเหอจะไม่เข้าไปก้าวก่าย และเปิดโปงสิ่งเหล่านี้
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว
อสรพิษจิตวิญญาณหิมะไม่มีทีท่าว่าจะลงมือใด ๆ
ชิงหยาที่รู้สึกเบื่อหน่าย ก็อดเอ่ยด้วยน้ำเสียงดังกังวานขึ้นมาไม่ได้ “พี่สาวอสรพิษ ท่านฝึกฝนอยู่ที่แห่งนี้มานานสามร้อยปี ไม่รู้สึกจืดชืดและหมดสนุกบ้างรึ?”
อสรพิษจิตวิญญาณหิมะหันไปมองชิงหยา นัยน์ตาเจือไปด้วยความอ่อนโยน พลางเอ่ย “การฝึกฝนได้สถิตอยู่ในหัวใจข้า อดทนอยู่กับความเงียบเหงา และข้าก็มีความมุ่งมั่นที่จะแสวงหาเส้นทาง จึงเป็นธรรมดาที่จะไม่รู้สึกน่าเบื่อ”
เมื่อพักไปครู่หนึ่ง นางก็เอ่ยเสริมขึ้น “ข้ามีนามว่าไป๋เวิ่นฉิงไม่ใช่พี่สาวอสรพิษ”
“อ๋อ”
ชิงหยายิ้มตาหยีออกมา “ต่อไปข้าจะเรียกท่านว่าพี่ไป๋”
อสรพิษจิตวิญญาณหิมะส่งเสียงตอบรับตกลง และเอ่ย “แล้วเจ้ามีนามว่าอะไร?”
ชิงหยาเอ่ยด้วยเสียงกังวาน “ชิงหยา ชิงที่แปลว่าบริสุทธิ์ หยาที่แปลว่าถั่วงอก ตอนยังเด็กคนอื่น ๆ เรียกข้าว่าถั่วงอกน้อย แต่ยามนี้ไม่มีผู้ใดเรียกข้าเช่นนั้นแล้ว”
“นั่นเป็นเพราะเจ้าเติบโตแล้ว”
หนึ่งคนหนึ่งอสรพิษ ไม่นึกว่าจะคุยถูกคอกัน
ภาพนี้ ทำให้หยวนเหิงที่ดูอยู่รู้สึกซาบซึ้งใจไปครู่หนึ่ง ชิงหยาหญิงสาวผู้นี้เหมือนกับเก่งกาจในเรื่องการเชื่อมสัมพันธ์มาแต่กำเนิด
ไม่ว่าจะเป็นนายท่าน หรืออสรพิษจิตวิญญาณหิมะผู้นี้ คล้ายกับว่านางสามารถพูดคุยได้เรื่อย ๆ และกิริยาท่าทางคำพูดคำจานั้นสุภาพเรียบร้อย ไม่มีความเกรงกลัวเลยแม้แต่น้อย
ทว่าหลิงอวิ๋นเหอกลับไม่แปลกใจ
ในตอนที่อยู่สำนัก ชิงหยาก็มีนิสัยเช่นนี้ ไม่ว่าจะเป็นบุคคลโด่งดัง หรือเหล่าศิษย์ที่มีฐานะต่ำกว่านาง แม้แต่สิงห์สาราสัตว์ต่าง ๆ บนภูเขา ล้วนคบหากับชิงหยาด้วยความเต็มใจ
ซูอี้ที่นั่งทำสมาธิอยู่กลางอากาศมีท่าทางไม่ยินดียินร้าย คล้ายกับไม่รับรู้เรื่องทั้งหมดนี้
…..
ใกล้กับหุบเขาหานกู่
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว เยี่ยนจวินซาน เจ้าสำนักเต๋าหยวนหยางและคนอื่น ๆ กำลังรอคอยบางอย่างอยู่
“ท่านเจ้าสำนัก กลุ่มของหลิงอวิ๋นเหอแห่งหอดาบหนึ่งสวรรค์ไปกันเกือบสองชั่วยามแล้ว จนถึงยามนี้ ไม่มีวี่แววเลยสักนิด ให้ไปสอดส่องดูหรือไม่?”
ชายกลางคนสวมชุดม่วงเอ่ยถามเสียงต่ำ
คนอื่น ๆ ที่รออยู่ก็ทนไม่ไหวแล้ว
จุดสำคัญคือ หลังจากที่กลุ่มของซูอี้เข้าไปในหุบเขาลึกก็ยังไม่มีวี่แววใด ๆ ออกมาจนถึงยามนี้ ไม่มีผู้ใดทราบว่า พวกเขาถูกสัตว์ดุร้ายฆ่าตาย หรือคว้าโอกาสนั้นไปแล้วกันแน่
เยี่ยนจวินซานเอ่ยอย่างไตร่ตรอง “รออีกครู่หนึ่ง”
ในตอนนี้เอง ล่ายจ่างเซียวเลิกคิ้ว และตะโกนขึ้น “คนของสามสำนักใหญ่มากันแล้ว”
ยังเอ่ยไม่ทันขาดคำ
พรึบ! พรึบ!
กลางอากาศที่ไกล ๆ มีแสงสองสายพุ่งเข้ามา กลายเป็นชายวัยกลางคนสวมเสื้อคลุมแผ่นหยกสีเงิน กับหญิงงามที่สวมชุดกงจวง*[1]
เมื่อร่างของทั้งสองปรากฏออกมา ลมปราณอันแก่กล้าปกคลุมไปทั่วอาณาเขตใกล้ ๆ ไอหมอกเย็นรอบ ๆ ถูกกลิ่นอายของพวกเขากวาดออกไป กดดันจนทำให้เหล่าศิษย์สำนักเต๋าหยวนหยางที่มีระดับการฝึกฝนต่ำหายใจไม่ออก
“ชิวโม่ฉือ ผู้อาวุโสสามของตำหนักดาบเฟยหลิง เลี่ยนเหลิ่งเยว่ ผู้อาวุโสใหญ่ของตำหนักดาบเฟยหลิง!”
เหล่าศิษย์ของสำหนักเต๋าหยวนหยาง เมื่อรู้ฐานะของผู้ที่มานี้ พวกเขาต่างก็พากันตกใจอย่างช่วยไม่ได้
อาณาเขตต้าเซี่ยแบ่งออกเป็นสิบสามแคว้น
ใกล้เขาอสรพิษเมฆา คือ ‘แคว้นเทียนหนาน’ หนึ่งในสิบสามแคว้น
ภายในแคว้นเทียนหนาน มีกองกำลังฝึกฝนมากกว่าสิบกองกำลัง
และตำหนักดาบเฟยหลิง ก็นับว่าอยู่ในห้าอันดับแรก
สองท่านที่อยู่ตรงหน้า คือบุคคลสูงสุดของตำหนักดาบเฟยหลิงแห่งแคว้นเทียนหนาน ชิวโม่ฉือคือตัวตนขอบเขตรวบรวมดารา ส่วนเลี่ยนเหลิ่งเยว่มีธาตุวิถีขั้นสมบูรณ์ของขอบเขตเปิดทวาร
อย่าได้ดูถูกพละกำลังของทั้งสองคนเชียว
ที่สำคัญคือ ในบรรดาเหล่าผู้ฝึกตนของสำนักเต๋าหยวนหยาง มีเพียงล่ายจ่างเซียวผู้เดียวเท่านั้นที่อยู่ขอบเขตรวบรวมดารา
“ขอเชิญสหายเต๋าทั้งสองท่าน”
เจ้าสำนักเต๋าหยวนหยาง เยี่ยนจวินซานยิ้มพลางเดินเข้าไปต้อนรับ และทักทายกับทั้งสองคน
ไม่นาน ก็มีเสียงกระบี่ดั่งฟ้าร้องดังออกมาจากที่ไกลในอากาศ ชั่วพริบตาหนึ่ง ก็มาถึงยังบริเวณนี้
ภายใต้แสงกระบี่ที่เปล่งประกายนั้น ปรากฏชายแบกกระบี่ชุดเทาออกมา
ผมยาวของชายผู้นี้สยายออก มีท่าทางเย็นชาอย่างมาก ทันทีที่เขาปรากฏตัวออกมา ปราณกระบี่มโหฬารพุ่งทะยานสู่น่านฟ้า ฉีกอากาศเป็นแนวยาว ทำให้เมฆหมอกที่อยู่บนหัว ฉีกแยกออกจากกัน!
“สำนักกระบี่ชิงเสวียน ฉี่ฉงจือ ‘ราชันย์กระบี่สายฟ้าคลั่ง’!”
ภายในบริเวณเกิดความวุ่นวายขึ้นในทันใด!
[1] ชุดกงจวง คือเครื่องแต่งการเวลาเล่นงิ้วรูปแบบหนึ่ง ตัวละคนที่ใส่มักรับบทเป็นเจ้าจอม องค์หญิง หรือหญิงสาวที่ทำความดีความชอบจึงได้รับพระราชทานชุด