บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 425 การต่อสู้เพื่อโอกาสไม่มีถูกหรือผิด
ตอนที่ 425: การต่อสู้เพื่อโอกาสไม่มีถูกหรือผิด
ตอนที่ 425: การต่อสู้เพื่อโอกาสไม่มีถูกหรือผิด
ล่ายจ่างเซียวรีบหลบหนีไปโดยไม่สนใจกระทั่งเยี่ยนจวินซานและพวกที่อยู่ห่างออกไป ก่อนที่เขาจะรีบเผ่นไปอย่างรวดเร็วปานสายฟ้า
ปราชญ์เชียนเจวี๋ยบดขยี้ยันต์ลับ ร่างของเขาเต็มไปด้วยหมอกควันสีเลือดก่อนจะหายไปในอากาศ
ตัวตนขอบเขตรวมดาราทั้งสองถอยหนีโดยไม่ต่อสู้ ภายใต้สถานการณ์ปกติ แม้แต่ผู้แข็งแกร่งในขอบเขตเดียวกันก็เป็นเรื่องยากที่จะหยุดพวกเขา
แต่ดูเหมือนว่าซูอี้จะเตรียมพร้อมไว้แล้ว
ขณะที่ทั้งสองกำลังจะหนีไปได้ ซูอี้ยกปลายนิ้วของเขาขึ้นมา ก่อนตวัดฟันปล่อยปราณดาบออกไปในความว่างเปล่า
ฉัวะ! ฉัวะ!
ปราณดาบสองเล่มวาดขึ้นไปในอากาศ พุ่งฟันไปที่ล่ายจ่างเซียวและปราชญ์เชียนเจวี๋ยตามลำดับ
ห่างออกไปหลายร้อยจั้ง คล้ายล่ายจ่างเซียวจะสัมผัสได้ ทันใดนั้นเขาก็พลันกู่ร้อง ทำให้เกิดแสงสีดำชั้นหนึ่งก่อตัวเป็นม่านแสงปกคลุมรอบตัวเขาไว้
ลวดลายแสงที่บิดเบี้ยวและแปลกประหลาดซึ่งปรากฏขึ้นบนม่านแสงดูราวกับโล่วิญญาณ
ตูม!!
ปราณดาบฟันออกไป ทำให้ม่านแสงสั่นอย่างรุนแรงก่อนจะแตกเป็นเสี่ยง ๆ
…ปล่อยให้ปราณดาบที่เหลืออยู่ตรงเข้าใส่ล่ายจ่างเซียว!
ตัวตนขอบเขตรวมดาราของสำนักเต๋าหยวนหยางผู้นี้ ยามที่ต่อสู้กับซูอี้ก่อนหน้าได้บดขยี้เครื่องป้องกันทั้งหมดลงแล้ว ดังนั้นเวลานี้… เขาจะหยุดดาบสังหารนี้ได้อย่างไร?!
ฟุบ!
แสงดาบส่องประกาย
ศีรษะของล่ายจ่างเซียวกระเด็นขึ้นไปในอากาศ ร่างกายและจิตวิญญาณของเขาถูกทำลายสิ้น
สำหรับผู้ฝึกตน เมื่อจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้พังทลายลง ในสายตาของคู่ต่อสู้แล้วคนผู้นั้นก็ไม่ต่างอะไรกับลูกแกะที่รอถูกเชือด
แต่ความจริงที่โหดร้ายกว่านั้นก็คือแม้ว่าตัวตนขอบเขตรวบรวมดาราอย่างล่ายจ่างเซียวจะอยู่ในช่วงสมบูรณ์พร้อม ทว่าเมื่อเผชิญกับซูอี้… ตัวเขาก็ไม่ต่างอันใดจากมดปลวกคิดเขย่าต้นไม้ ถูกลิขิตให้มีจุดจบเช่นเดียวกับชิวโม่ฉือ!
“หือ?”
ทันใดนั้น ซูอี้ขมวดคิ้วเล็กน้อย
ดาบของเขาที่ฟาดใส่ปราชญ์เชียนเจวี๋ยถูกสกัดกั้นไว้ได้
ที่ด้านบนของศีรษะของฝ่ายตรงข้าม มีปิ่นสีเงินที่ปรากฏคราบสนิมเป็นหย่อม ๆ กับคราบเลือดแห้งกรังบางส่วน
เป็นปิ่นสีเงินนี้เองที่ปิดกั้นดาบสังหารของซูอี้ลงอย่างง่ายดาย และสลายปราณดาบไปอย่างเงียบ ๆ
“นั่นเหมือน… จะเป็นสมบัติจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ที่ได้รับความเสียหาย?”
ซูอี้ประหลาดใจเล็กน้อย ส่วนปราชญ์เชียนเจวี๋ยก็ไม่รอช้า เขาใช้โอกาสนี้รีบเผ่นหนีไปและหายตัวไปไกลในพริบตา
“ซูอี้ วันหนึ่งข้าจะเด็ดหัวเจ้าออกเพื่อล้างอายในวันนี้!!”
ไกลออกไป เสียงดุร้ายเปี่ยมโทสะของปราชญ์เชียนเจวี๋ยดังก้องอยู่เป็นเวลานาน
“แค่เสียงเห่าหอนของสุนัข”
ซูอี้ไม่แม้แต่จะสนใจ
จนถึงตอนนี้เขาได้สังหารชิวโม่ฉือ ล่ายจ่างเซียว และฉี่ฉงจือ ยอดฝีมือขอบเขตรวบรวมดาวสามคนติดต่อกัน ดังนั้นร่องรอยโทสะในหัวใจของเขาจึงถูกระบายออกในที่สุด
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็อดหัวเราะกับตัวเองไม่ได้ ตัวตลกตัวกระจ้อยที่กระโดดโลดเต้นกลับส่งผลต่ออารมณ์ได้ มันช่าง… ไม่ควรเลยจริง ๆ…
“นี่มันร้ายกาจเกินไปแล้ว…”
ดวงตาของอสรพิษจิตวิญญาณหิมะสับสน และศีรษะของมันก็มึนงงเล็กน้อย
การต่อสู้นี้กินเวลาเพียงครู่เดียวเท่านั้น โดยซูอี้ ตัวตนในขอบเขตไร้เบญจธัญได้สังหารผู้ฝึกตนขอบเขตรวบรวมดาราสามคนติดต่อกัน!
อสรพิษจิตวิญญาณหิมะตกใจกับฉากนองเลือดเหล่านั้น และแอบดีใจที่มันไม่ได้เลือกเป็นศัตรูกับซูอี้และคนอื่น ๆ
ไม่เช่นนั้น…
อสรพิษจิตวิญญาณหิมะไม่กล้าคิดต่อ!
“นี่คือพลังของสัตว์ประหลาด! ทั้งลึกลับและทรงพลังไม่อาจวัดได้ด้วยสามัญสำนึก กับสัตว์ประหลาดเช่นนี้ ไม่อาจนำผู้คนจากโลกนี้ไปเทียบ…”
หลิงอวิ๋นเหอลอบถอนหายใจ
ถ้าเปรียบเทียบกันจริง ๆ ผู้ฝึกตนในโลกนี้จะไม่อาจฉายแสงได้เลย
“สหายเต๋าซู เราควรทำอย่างไรกับคนเหล่านี้?”
หลิงอวิ๋นเหอรักษาจิตใจของเขาให้มั่นคงและมองไปที่เยี่ยนจวินซานกับผู้ฝึกตนอื่น ๆ ในสำนักเต๋าหยวนหยางที่อยู่ไกล ๆ
คนเหล่านี้หากอยู่ในแคว้นเทียนหนานแห่งต้าเซี่ยก็ถือเป็นบุคคลสำคัญเช่นกัน
แต่ในเวลานี้ พวกเขารู้สึกหวาดกลัวจนหน้าซีดเผือด และไม่กล้าแม้แต่จะหนี
ไม่เห็นหรือว่าล่ายจ่างเซียว ผู้ซึ่งคิดหลบหนีก่อนหน้านี้ถูกดาบตัดหัวคาที่?
“สหายเต๋าซู ข้ายินดีที่จะยอมรับความผิดของข้าและเสียสละสมบัติของข้าเพื่อชดเชยความผิดพลาดในอดีต นอกจากนี้ ข้าสาบานในนามของเจ้าสำนักเต๋าหยวนหยาง ว่าจากนี้ไปข้าจะไม่เป็นศัตรูกับสหายเต๋าอีก!”
หลังสูดหายใจเข้าลึก ๆ เยี่ยนจวินซานก็ประสานหมัดและโค้งคำนับก้มศีรษะให้กับซูอี้
เมื่อสู้ไม่ได้ เขาก็จำต้องก้มหัว!
เมื่อเห็นเช่นนี้ คนอื่นจะกล้าลังเลได้อย่างไร?
พวกเขาทั้งหมดต่างก้มศีรษะ
“เมื่อข้าสังหารเจ้าทั้งหมดแล้ว สมบัติในร่างกายของพวกเจ้าก็ยังเป็นของข้าอยู่ไม่ใช่หรือ?”
ซูอี้ยิ้ม
คำพูดเดียวทำให้เยี่ยนจวินซานและคนอื่น ๆ ใจสั่น สีหน้าของพวกเขาเปลี่ยนไปอย่างใหญ่หลวง
เมื่อเห็นว่าพวกเขาไม่ได้แสดงท่าทีต่อต้าน ซูอี้ก็อดที่จะเสียอารมณ์ไม่ได้ ก่อนโบกมือ “ไปซะ”
“ขอบคุณสหายเต๋าที่เมตตา!” เยี่ยนจวินซานสูดหายใจเข้าลึก ขณะถอดจี้หยกคลังเก็บของออกจากร่างกายของเขาแล้ววางลงบนพื้นด้วยความเคารพ ก่อนหันหลังกลับ
คนอื่น ๆ ต่างทำตาม โดยพากันทิ้งสมบัติไว้
หลังจากเดินมาไกลจนกระทั่งไม่เห็นเงาของพวกซูอี้อีก เยี่ยนจวินซานและพวกต่างค่อย ๆ วางใจลง
“หากข้าเป็นสหายเต๋า ข้าจะฆ่าพวกเขาทั้งหมดเสีย ข้าไม่คิดเลยว่าท่านจะไว้ชีวิตพวกเขา”
หลิงอวิ๋นเหอกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“การต่อสู้เพื่อโชคลาภโอกาสไม่มีถูกหรือผิด ยิ่งกว่านั้น ข้าไม่ใช่คนกระหายเลือด และข้าก็ไม่ได้สนใจที่จะฆ่าคนเหล่านี้ด้วยซ้ำ”
ซูอี้พูดขณะเอามือไขว้หลัง ก่อนตรงไปที่ถ้ำ “หยวนเหิง มาเก็บของที่ริบได้ไปซะ ข้าต้องการบรรลุมหาวิถีต่อ ทุกคนโปรดรอที่นี่”
หยวนเหิงรีบจัดการทันที
“สหายเต๋าซู… จริงหรือที่สหายเต๋าซูเป็นเซียนที่สืบเชื้อสายมาจากสวรรค์?”
อสรพิษจิตวิญญาณหิมะมองไปที่หลิงอวิ๋นเหอ และอดที่จะถามไม่ได้
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง หลิงอวิ๋นเหอก็พูดว่า “หากมีเทพเซียนบนสวรรค์จริง เช่นนั้นคนผู้นั้นก็ต้องเป็นสหายเต๋าซู”
อสรพิษจิตวิญญาณหิมะเงียบไปทันที
หยวนเหิงผู้ซึ่งกำลังเก็บข้าวของที่ริบได้พูดด้วยรอยยิ้มว่า “ไม่ต้องกังวลไป แม่นางไป๋ ในครั้งนี้เจ้าเองก็ได้ช่วยนายท่านของข้าด้วย หลังจากที่นายท่านบรรลุมหาวิถีแล้ว เขาจะไม่ปฏิบัติต่อเจ้าอย่างเลวร้ายแน่”
หลังจากที่พูด เขาก็หยิบขวดสมุนไพรออกมายื่นให้ “นี่คือยารักษา ไปรักษาบาดแผลของเจ้าเถิด”
อสรพิษจิตวิญญาณหิมะตะลึงไป ก่อนกล่าวด้วยความซาบซึ่งทันที “ขอบคุณสหายเต๋า”
หยวนเหิงยิ้มและโบกมือ “ด้วยความยินดี เจ้ากับข้าเป็นสัตว์อสูรด้วยกันทั้งคู่ จึงควรช่วยเหลือซึ่งกันและกัน”
ชิงหยากะพริบตาโต ๆ ของนางและถามด้วยความสงสัย “พี่ใหญ่หยวนเหิง ท่านชอบพี่ไป๋ใช่หรือไม่?”
หยวนเหิง “…”
อสรพิษจิตวิญญาณหิมะ “…”
คำพูดของหญิงสาวล้วนไร้เจตนาร้าย ซึ่งเห็นได้ชัดว่าชิงหยาพูดขึ้นอย่างไม่รู้เรื่องราว แต่มันกลับส่งผลให้ผู้ฟังทั้งสองเขินอายจนไม่กล้าสู้หน้ากัน
หลิงอวิ๋นเหอรีบดึงชิงหยาออกไป ถ้าปล่อยหญิงสาวผู้นี้ไว้ที่นี่ นางจะต้องถามคำถามอีกแน่
…
ผ่านไปครึ่งวัน
เหนือสระน้ำในถ้ำ ซูอี้ซึ่งนั่งนิ่งไม่ขยับได้ลืมตาขึ้นอย่างเงียบงัน
และเมื่อเขายกฝ่ามือขึ้นมา แสงสีดำวาววับก็พลันก่อตัว!
ชั่วขณะนั้น อากาศที่อยู่ใกล้เคียงพลันเต็มไปด้วยกลิ่นอายเยือกเย็นสุดขีด
“หยินเป็นปราณขุ่น ไร้รูปร่างเหมือนน้ำ เย็นเยือกดุจน้ำแข็ง สามารถควบคุมและหลอมกลั่นจิตวิญญาณ…”
“น่าเสียดายที่ลำพังหยินไม่อาจกำเนิด ลำพังหยางไม่อาจเติบโต การเชี่ยวชาญจังหวะวิถีแห่งหยินเพียงอย่างเดียวมีพลังด้อยกว่าการผสมผสานของ ‘หยินและหยาง’ มากนัก…”
ซูอี้นั่งสมาธิต่ออีกครู่หนึ่งก่อนจะลุกขึ้นยืน
จนถึงตอนนี้ เขาเพิ่งบรรลุเชี่ยวชาญในจังหวะวิถีหยินเพียงขั้นต้น
ทว่า ด้วยความรู้และประสบการณ์จากชาติก่อน คงอีกไม่นานนักที่จังหวะวิถีนี้จะได้รับการขัดเกลาถึง ‘ขั้นแตกฉาน’ ‘ขั้นสำเร็จ’ หรือแม้แต่ ‘ขั้นสมบูรณ์’
“พี่ชายซูอี้ ท่านเข้าใจจังหวะวิถีหยินแล้วหรือยัง?” ชิงหยาถามด้วยความสงสัย
ซูอี้พยักหน้า
ชิงหยาอุทานทันที “นี่มันทรงพลังเกินไปแล้ว ตอนที่ข้าอยู่ในสำนัก พวกเขาทั้งหมดบอกว่าข้าเป็นอัจฉริยะในเส้นทางการฝึกฝนเต๋า แต่ตอนที่ข้าเชี่ยวชาญ ‘จังหวะวิถีสวรรค์ชั้นฟ้า’ ข้ากลับต้องหลับไปเจ็ดวันเต็มกว่าที่จะตระหนักถึงความหมายที่แท้จริงของจังหวะวิถีนี้”
“หลังจากหลับไปเจ็ดวันก็บรรลุ?”
มุมปากของหยวนเหิงกระตุก วิธีที่สตรีนางนี้ใช้บรรลุเต๋าก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ผู้ฝึกฝนในโลกหล้าอิจฉา
“จังหวะวิถีสวรรค์ชั้นฟ้า?” ซูอี้อดประหลาดใจไม่ได้
จังหวะวิถีในวิถีต้นกำเนิดแบ่งออกเป็น ‘สามขั้นเก้าระดับ’
แต่นั่นเป็นเพียงส่วนหนึ่งของจังหวะเทวะแห่งมหาวิถี ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาสามัญนัก
ทว่า ‘จังหวะวิถีสวรรค์ชั้นฟ้า’ กลับเป็นจังหวะวิถีที่ยอดเยี่ยมกว่าจังหวะวิถี ‘สามขั้นเก้าระดับ’ และจังหวะที่หายากอื่น ๆ มากมาย!
ซูอี้ไม่ได้คาดคิดว่าจังหวะวิถีที่ชิงหยาบรรลุจะไม่ธรรมดาเช่นนี้!
“สตรีผู้นี้ไม่ธรรมดาเลยจริง ๆ”
ซูอี้ลอบกล่าวในใจ
ยามที่เห็นชิงหยาครั้งแรก เขารู้สึกเพียงว่ารูปลักษณ์ บรรยากาศ และการกระทำบางอย่างของนางคล้ายกับชิงถังศิษย์คนเล็กในชาติก่อนของเขาตอนยังเด็กอยู่สามส่วน
แต่ไม่นานหลังจากเดินทางไปด้วยกัน ตลอดทางนั้นเขาพลันตระหนักว่าพรสวรรค์และรากวิญญาณของชิงหยานั้นไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง
รากวิญญาณของมันบริสุทธิ์นัก จัดได้ว่าเป็น ‘กระดูกวิญญาณกายาซ่อนเร้น’ ที่หายาก ตามเกณฑ์การประเมินของเก้ามหาแดนดิน รากวิญญาณดังกล่าวสามารถจัดอยู่ใน ‘ระดับสูง’ ซึ่งมีเพียงหนึ่งในหมื่นเท่านั้น!
ซึ่งพรสวรรค์ของนางก็ไม่ธรรมดาเลย เช่นเดียวกับความเข้าใจของนางที่ยอดเยี่ยม นางเกิดมาเพื่อเป็นมิตรกับกลิ่นอายธรรมชาติ และสามารถรับรู้ร่องรอยของมหาวิถีแห่งสวรรค์และโลกที่ผู้ฝึกตนธรรมดาไม่อาจรับรู้ได้
ความเข้าใจเช่นนี้ หากอยู่ในเก้ามหาแดนดินย่อมถูกจัดเป็นสัตว์ประหลาดและถูกกลุ่มเต๋าชั้นนำเหล่านั้นแย่งชิงเข้าสำนัก
ตัวอย่างเช่น เมื่อคนธรรมดาเห็นทิวทัศน์ พวกเขาจะพบว่ามันน่ามอง
ทว่าในสายตาของผู้ฝึกตน ทิวทัศน์นี้มี ‘พลังของภูเขา’ และ ‘จังหวะของน้ำ’ ทั้งยังสามารถตรวจจับทิศทางของภูเขาและสายน้ำได้อีกด้วย
ส่วนในสายตาชิงหยา นางสามารถจับและเข้าใจจังหวะเทวะแห่งมหาวิถีที่มีอยู่ในทิวทัศน์นี้ได้!
นี่คือพลังของการทำความเข้าใจที่เหนือล้ำไปอีกขั้น!
อัจฉริยะต่าง ๆ ที่สามารถมองทะลุผ่านได้เล็กน้อยเทียบไม่ได้เลยกับความเข้าใจประเภทนี้ซึ่งใกล้เคียงกับการหลอมเป็นหนึ่งกับธรรมชาติ
ทว่าชิงหยาไม่เพียงแต่มีรากวิญญาณที่พิเศษอย่าง ‘กระดูกวิญญาณกายาซ่อนเร้น’ แต่ยังมีความเข้าใจที่พิเศษอีกด้วย ในบรรดาผู้ฝึกตนที่ซูอี้ได้พบมีเพียงราชาขนนก เยว่ซือฉาน คนเดียวเท่านั้นที่สามารถเทียบได้!
“พี่ชายซูอี้ ท่านเข้าใจความลึกลับของจังหวะวิถีสวรรค์ชั้นฟ้าด้วยหรือ?” ชิงหยาถามด้วยความสงสัย
นางยังคงไม่รู้ ว่าด้วยสายตาของซูอี้ เขาได้ค้นพบกระทั่งพรสวรรค์และรากวิญญาณของนางมานานแล้ว!
“แน่นอน ถ้ามีเวลาข้าสามารถให้คำแนะนำเกี่ยวกับการฝึกจังหวะวิถีแก่เจ้าได้”
ซูอี้พูดอย่างไม่ใส่ใจ
ไม่เพียงแต่เขาจะรู้จักจังหวะวิถีนี้เท่านั้น แต่เขายังรู้ด้วยว่าควรฝึกฝนเคล็ดวิชาแบบใดที่จะเพิ่มพลังของจังหวะเทวะแห่งมหาวิถีนี้ให้ได้มากที่สุด!
ทว่า อาจเนื่องมาจากความคล้ายคลึงกันระหว่างชิงหยาและชิงถัง แม้ว่าซูอี้จะชื่นชมชิงหยา แต่เขาไม่ได้ตั้งใจจะรับนางเป็นศิษย์
ชิงหยายิ้มอย่างมีความสุขและพูดอย่างอ่อนหวาน “ถ้าอย่างนั้นข้าต้องขอบคุณพี่ชายซูอี้ล่วงหน้า! ในอนาคต ข้าจะเลี้ยงลูกท้อเพลิงท่านเยอะ ๆ!”
หลิงอวิ๋นเหอที่เงียบอยู่นานทนไม่ไหวอีกต่อไป เขาไอแห้ง ๆ แล้วพูดขึ้น “สหายเต๋าซู จะทำอย่างไรกับชีพจรหยินสัมบูรณ์ที่ฝังอยู่ใต้สถานที่นี้ต่อหรือ?”
เขารีบเปลี่ยนเรื่อง ด้วยเกรงว่าซูอี้จะหวั่นไหวแล้วลักพาตัวชิงหยา สมบัติของหอดาบหนึ่งสวรรค์ไป
เมื่อพูดถึงชีพจรหยินสัมบูรณ์ อสรพิษจิตวิญญาณหิมะซึ่งอยู่ไม่ไกลก็มองไปที่ซูอี้ในพลัน