บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 426 จิตวิญญาณหยินเยือกแข็ง
ตอนที่ 426: จิตวิญญาณหยินเยือกแข็ง
ตอนที่ 426: จิตวิญญาณหยินเยือกแข็ง
ซูอี้มองไปที่อสรพิษจิตวิญญาณหิมะ และพูดกับหยวนเหิงว่า “ข้าต้องการนำชีพจรหยินออกไปด้วย ส่วนเจ้า เจ้าสามารถนำวิชาที่เถาชิงซานมอบให้เจ้ามาสอนให้กับไป๋เวิ่นฉิงได้”
หยวนเหิงตกใจ ก่อนเขาจะตอบรับอย่างมีความสุข “ขอรับนายท่าน!”
หยวนเหิงหันไปมองอสรพิษจิตวิญญาณหิมะ และกล่าวว่า “แม่นางไป๋ โปรดมากับข้า”
“ขอบคุณสหายเต๋าซูสำหรับความเมตตาของท่าน!” อสรพิษจิตวิญญาณหิมะโขกศีรษะสามครั้งแก่ซูอี้ ก่อนจะหมุนตัวติดตามหยวนเหิงไปที่ถ้ำ
“ข้าจะไปดูด้วย”
ชิงหยาตื่นเต้นมาก ทว่าในขณะที่นางกำลังจะตามไป หลิงอวิ๋นเหอพลันกดศีรษะนางลง “ยัยหนู เจ้าจะไปร่วมสนุกด้วยเพื่ออะไร”
ชิงหยากล่าว “ข้าจะไปดูหาว่าพี่สาวไป๋เปลี่ยนร่างได้อย่างไร”
หลิงอวิ๋นเหอพูดอย่างอ่อนใจ “เด็กโง่ ความลับเคล็ดวิชาไม่อาจแพร่งพราย หากเจ้าเข้าไปใกล้จะเท่ากับละเมิดข้อห้ามของผู้ฝึกตน”
ชิงหยาทำเสียงขึ้นจมูก ก่อนจะสงบลง
ข้างสระน้ำ ซูอี้หยิบขวดหยกออกมา ขยับมือใช้วิธีลับสร้างค่ายกลต้องห้ามอันลึกลับและลึกซึ้งปกคลุมขวดหยกไว้
หลังจากนั้นซูอี้ก็โยนขวดหยกขึ้นไปในอากาศและพ่นคำออกมาจากริมฝีปากของเขาว่า “เก็บ!”
ซู่!
ในสระน้ำลึกหลายจั้ง กระแสน้ำสีดำที่เย็นยะเยือกพุ่งขึ้นมาราวกับเส้นสายสีดำตรงเข้าไปในขวดหยก
นี่คือ ‘หยาดจิตวิญญาณหยิน’ ที่บ่มเพาะขึ้นจากชีพจรหยิน ตามการแบ่งวัตถุวิญญาณ มันสามารถแบ่งออกเป็นห้าระดับ ซึ่งสามารถใช้เพื่อหลอมโอสถ และฝึกสัตว์อสูร นอกจากนี้ยังมีเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการฝึกฝนของชิงหว่าน
ในเวลาเพียงชั่วครู่ หยาดจิตวิญญาณหยินในสระก็ถูกระบายออกจนหมด
ซูอี้วางขวดหยกทันที
พูดไปแล้ว ขวดหยกนี้เองก็เป็นสมบัติสำหรับการจัดเก็บ มันเป็นหนึ่งในของที่ได้มาจากการสังหารฮูหยินเมี่ยวหัวและผู้ฝึกตนคนอื่น ๆ ในต้าฉู่ครั้งล่าสุด
หลังจากน้ำในสระระบายออกแล้ว ที่ก้นบ่อก็มีชั้นหินสีดำประกายเย็นเยือกที่แผ่ไอเย็นเยียบเสียดแทงกระดูกโผล่ออกมา
“พวกเจ้าทั้งสอง ถอยห่างออกไปสิบจั้ง”
ซูอี้มองไป ก่อนสั่งสั้น ๆ
หลิงอวิ๋นเหอรีบถอยออกมาพร้อมกับชิงหยา
ซูอี้ไม่รอช้าอีกต่อไป ด้วยเสียงดังแกร๊ง เขาชักดาบนิลกาฬกลืนฟ้าออกมา ก่อนจะฟันลงไปข้างล่างหลายครั้ง
แกร๊ง! แกร๊ง! แกร๊ง!
ที่ด้านล่างของสระน้ำ มีรอยปริร้าวเป็นเส้นตรงไขว้กันราวกับกากบาทลึกลงไปในดินสามฉื่อปรากฏขึ้นบนพื้นผิวของชั้นหินสีดำ
ซูอี้อดเลิกคิ้วไม่ได้
ด้วยฐานการฝึกฝนในปัจจุบันของเขาและพลังของดาบนิลกาฬกลืนฟ้า แม้แต่ตัวตนขอบเขตรวบรวมดาราก็ไม่สามารถหยุดยั้งชายหนุ่มได้!
ทว่าตอนนี้กลับมีรอยแตกลึกเพียงสามฉื่อเท่านั้น นึกดูได้เลยว่าหินที่ก้นสระนี้แข็งแกร่งเพียงใด
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ซูอี้ก็เก็บดาบนิลกาฬกลืนฟ้าไป แล้วหยิบดาบตัดโศกาออกมาแทน
“คราวนี้เป็นโอกาสสำหรับเจ้าที่จะสร้าง ‘ร่างวิญญาณภูต’ ขึ้นมา หากเจ้าคว้ามันมาไม่ได้ก็อย่าโทษข้าที่ไม่ให้โอกาสเจ้า”
ซูอี้กล่าวกับตัวเอง
ดาบตัดโศกาลั่นสั่นไหวราวกับเข้าใจ และใบดาบตัดโศกาก็พลันมีรัศมีเย็นเยียบรุนแรงแผ่ออกมา เป็นสัญญาณว่ามันพร้อมที่จะเคลื่อนไหวแล้ว
ซูอี้ไม่ลังเลอีกต่อไป เขากุมดาบตัดโศกาแล้วลงมืออีกครั้ง!
ครั้งแล้วครั้งเล่า ปราณของดาบที่มาพร้อมจิตสังหารอันทรงพลังได้ฟันลงไปบนรอยแตกที่ใต้ก้นสระ ทำให้เกิดเสียงระเบิดแตกกระจายดังก้องกังวาน
สุดท้าย เมื่อรอยร้าวลึกถึงเก้าจั้ง ทันใดนั้น—
ตูม!
เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ด้านล่างของสระ พลังเย็นเยียบอันน่าสะพรึงกลัวพลันระเบิดออก ทำลายชั้นหินสีดำที่มีความหนาเก้าจั้งจนเกิดเศษหินเล็ก ๆ นับไม่ถ้วนพุ่งกระเด็นไปรอบด้านราวกับหัวลูกศรแหลมคมนับพัน
ชึบ ชึบ ชึบ!
กำแพงหินที่อยู่ใกล้เคียงถูกเจาะทะลุเป็นรูโหว่อันน่าตกใจ ก่อนอากาศหนาวเย็นจะแผ่ซ่านออกมา
แทบจะในเวลาเดียวกันนั้น จู่ ๆ เงาร่างสีฟ้าก็พุ่งออกมาจากพื้นดิน และด้วยการวาบผ่าน ไอหยินเย็นยะเยือกพลันพุ่งกระจายออกไปราวกับคลื่นยักษ์ ซึ่งไม่ว่าจะวาดผ่านไปที่ใด อากาศ หิน ฝุ่น และสิ่งอื่น ๆ ต่างถูกแช่แข็งในทันใด
แม้แต่บนตัวซูอี้ก็ปรากฏชั้นของน้ำค้างแข็งสีน้ำเงินขึ้น
หลิงอวิ๋นเหออดที่จะประหลาดใจไม่ได้ พลังเย็นเยียบและหนาวเหน็บเช่นนั้นสามารถตรึงผู้ฝึกตนในขอบเขตรวบรวมดาราให้กลายเป็นประติมากรรมน้ำแข็งได้อย่างง่ายดาย!
แต่ในไม่ช้า ความเย็นยะเยือกบนร่างของซูอี้ก็สลายไปอย่างเงียบ ๆ ด้วยสำหรับผู้ที่ควบคุมจังหวะวิถีหยินได้ พวกเขามักไม่ค่อยได้รับผลกระทบจากสิ่งนี้
พรวด!
แสงดาบวาบ ดาบตัดโศกาแทงทะลุเงาร่างสีน้ำเงินจาง ๆ ที่พยายามจะหลบหนีได้อย่างแม่นยำ!
“ซี้ด–!”
เสียงลมออกดังลั่น
เมื่อมองดี ๆ จะพบว่าเงาร่างสีฟ้าจางที่บิดตัวไปมาราวกับลูกบอลที่แท้แล้วก็เป็นร่างวิญญาณโปร่งแสงที่ปกคลุมไปด้วยแสงสีฟ้าเย็นเยียบน่ากลัว
จิตวิญญาณหยินเยือกแข็งสัมบูรณ์!
นี่คือจิตวิญญาณชนิดหนึ่งที่เกิดจากชีพจรหยินเย็นเยียบ โดยมีจิตสำนึกและสัญชาตญาณบางส่วนซึ่งหายากยิ่ง
เมื่อหลอมมันเข้าศาสตราวุธ ก็เพียงพอแล้วที่จะปรับปรุงคุณภาพของศาสตรานั้นและก่อร่างวิญญาณภูตขึ้นมา!
ยามเขาฟันก้นสระก่อนนี้ ซูอี้ตระหนักถึงร่องรอยกลิ่นอายหยินเย็นเยียบ ดังนั้นเขาจึงเลือกใช้ดาบตัดโศกา
ชายหนุ่มเคยสัญญาว่าหากมีโอกาสในอนาคต เขาจะช่วยหลอมสร้างดาบตัดโศกาใหม่ เพื่อชดเชยข้อบกพร่องและทำให้มันมีศักยภาพพอที่จะเปลี่ยนเป็นภูตดาบ
และตอนนี้โอกาสก็มาถึงแล้ว!
เมื่อเห็นว่าจิตวิญญาณหยินเยือกแข็งดิ้นรนจากดาบตัดโศกาอย่างบ้าคลั่งพลางส่งเสียงกรีดร้องแหลมบาดหู แต่ก็ไม่มีประโยชน์ มันถูกปราบโดยพลังของดาบตัดโศกาและถูกดูดกลืนอย่างต่อเนื่อง
ในเวลาไม่กี่อึดใจ จิตวิญญาณหยินเยือกแข็งก็ส่งเสียงร้องคร่ำครวญก่อนหลอมรวมเข้ากับดาบตัดโศกาโดยสมบูรณ์
ฮึ่ม!
ดาบตัดโศกาสั่นไหวราวกับว่ามันกำลังโห่ร้องอย่างตื่นเต้น ขณะเดียวกันก็แสดงความขอบคุณต่อซูอี้
ซูอี้สะบัดนิ้วของเขา ดาบตัดโศกาพลันเงียบลง จากนั้นเขาก็เก็บมันลง
‘ดาบโบราณเทียนเซี่ยไว้มอบให้หลิงเสวี่ย ส่วนดาบนี้… เก็บไว้ให้ชิงหว่านได้’
ซูอี้ลอบกล่าวในใจ
เดิมชิงหว่านเป็นผีหยินที่กลายมาเป็นผู้ฝึกฝนผี ซึ่งดาบตัดโศกาหลังจากดูดกลืนจิตวิญญาณหยินเยือกแข็ง มันย่อมสามารถก่อร่างวิญญาณภูตที่เย็นเยียบสุดขีดได้ ดังนั้นเมื่อดาบตัดโศกานี้อยู่ในมือของชิงหว่าน มันจะสามารถแสดงพลังเหนือจินตนาการออกมาแน่!
ต่อมา ซูอี้ก็มองไปยังก้นสระอีกครั้ง ก่อนใช้มือคว้า
ฉึบ!
เส้นชีพจรจิตวิญญาณสีดำยาวเก้าจั้งถูกคว้าออก
เส้นชีพจรจิตวิญญาณนี้งดงามและสว่างไสว ทั่วร่างมีสีดำดุจหมึก กว้างหนึ่งฉื่อ มองจากไกล ๆ ดูคล้ายงูยักษ์สีดำ
นี่คือชีพจรหยินสัมบูรณ์!
เนื่องจากดูดซับปราณหยินแห่งฟ้าดิน มันจึงมีความใสกระจ่างราวกับหยกนิล และมีกลิ่นอายแห่งหยินที่บริสุทธิ์งดงามหนาแน่นอย่างเหลือเชื่อ
หินวิญญาณในโลกไม่ว่าจะอยู่ในระดับใดล้วนได้มาจากเส้นชีพจรจิตวิญญาณทั้งสิ้น
ชีพจรหยินสัมบูรณ์นี้ยาวเก้าจั้งและกว้างหนึ่งฉื่อ ถ้าถูกตัดเป็นหินจิตวิญญาณทั่วไปในโลกสามัญนี้ อย่างน้อยก็สามารถตัดเป็นหมื่นชิ้นได้!
แน่นอนว่าซูอี้ไม่อาจทำเรื่องอุกอาจเช่นนั้น
คุณค่าของเส้นชีพจรจิตวิญญาณก็เพียงพอแล้วที่จะเปลี่ยนสภาพอากาศของภูเขาและแม่น้ำ ดึงดูดการรวมตัวของพลังต้นกำเนิดฟ้าดินเพื่อให้ภูเขาและแม่น้ำแห่งนี้กลายเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์สำหรับการฝึกฝน
นอกจากนี้ สมบัติหายากเช่นชีพจรหยินสัมบูรณ์ ไม่ว่าจะใช้สำหรับการหลอมกลั่น การปรุงยา หรือการฝึกฝน ก็ล้วนมีประโยชน์ที่น่าอัศจรรย์อย่างเหลือเชื่อ
คุณค่านี้ไม่สามารถวัดด้วยหินวิญญาณไม่กี่ก้อนได้อีกต่อไป
แม้แต่มหาปราชญ์สวรรค์วิถีวิญญาณก็ยังต้องอิจฉาเมื่อได้เห็น!
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ซูอี้ก็ตัดเส้นชีพจรจิตวิญญาณยาวเก้าจั้งออกเป็นหนึ่งจั้งเท่ากัน
ก่อนจะแจกจ่ายให้กับศิษย์อาจารย์หลิงอวิ๋นเหอและชิงหยา คนละหนึ่งจั้ง
“ขอบคุณสหายเต๋ามาก!”
หลิงอวิ๋นเหอคำนับเขาอย่างซาบซึ้ง
ชิงหยากล่าวอย่างมีความสุขว่า “ขอบคุณพี่ชายซูอี้”
ทั้งสองคนไม่คิดว่าซูอี้จะมอบโอกาสนี้ให้พวกเขาด้วย
นี่คือคติของซูอี้ เมื่อร่วมมือกัน ไม่ว่าชายหนุ่มจะได้สมบัติมามากแค่ไหนหรือทุ่มเทแค่ไหนก็ตาม ตัวเขาจะไม่มีวันเก็บไว้กินคนเดียว
ซูอี้โบกมือและกล่าวว่า “ออกไปจากที่นี่กันก่อน”
นอกถ้ำ
หยวนเหิงกำลังพูดคุยกับหญิงสาวในชุดขาว
เมื่อนางเห็นผู้หญิงในชุดขาว ชิงหยาก็ตกตะลึง ดวงตาเป็นประกาย ก่อนนางจะส่งเสียงโห่ร้องว่า “ว้าว พี่สาวไป๋ช่างงดงามจริง ๆ!”
เมื่อได้ยินคำชมเช่นนี้ ผู้หญิงในชุดขาวก็อดรู้สึกเขินอายเล็กน้อยไม่ได้ นางก้มศีรษะลง
ภายใต้ท้องฟ้า ผิวของนางขาวและบอบบางราวกับขนแกะ ใบหน้าของนางดูสง่างามเฉิดฉาย ผมสีดำปล่อยสยาย แผ่กลิ่นอายเย็นชาแฝงด้วยความโดดเดี่ยวออกมา
นี่คือสภาพของอสรพิษจิตวิญญาณหิมะหลังจากแปลงร่างสำเร็จแล้ว ซึ่งมันดูประณีตและงดงามจริง ๆ
ซูอี้มองดูเล็กน้อยก็เข้าใจในทันทีว่าเหตุผลที่ไป๋เวิ่นฉิงจึงไม่ต้องเผชิญกับภัยพิบัติยามเปลี่ยนร่าง เป็นเพราะนางได้สะสมพลังไว้เป็นจำนวนมากมาเป็นเวลานานก่อนการแปลงร่าง ความจริงแล้วด้วยระดับการฝึกฝนเทียบเท่ากับผู้ฝึกตนขอบเขตรวบรวมดารา นางเองก็สามารถเรียกได้ว่าเป็นผู้ฝึกฝนปีศาจตนหนึ่ง
สิ่งที่นางขาดไปนั้นไม่ใช่อะไรนอกจากประสบการณ์การแปลงร่างเท่านั้น
แต่ตอนนี้ หยวนเหิงได้สอนวิธีการแปลงร่างให้ เพื่อที่นางจะได้ทำลายโซ่ตรวนของร่างปีศาจและกลายเป็นผู้ฝึกตนที่แท้จริง
ทว่าหลิงอวิ๋นเหออดที่จะแปลกใจไม่ได้
เขารู้ดีว่าการที่สัตว์อสูรจะแปลงร่างมันยากแค่ไหน
แต่เขาไม่ได้คาดหวังว่าไป๋เวิ่นฉิงที่เพิ่งได้รับเคล็ดวิชาลับไป จะประสบความสำเร็จในการแปลงร่างด้วยตนเอง ยิ่งกว่านั้น… พลังการฝึกฝนของนางก็อยู่ในขอบเขตรวบรวมดาราแล้ว! ซึ่งลมปราณของนางแข็งแกร่งกว่าของผู้ฝึกตนทั่วไปมากนัก!
และนี่ก็เป็นการพิสูจน์ว่าเคล็ดวิชาที่หยวนเหิงสอนนั้นวิเศษมาก!
หลิงอวิ๋นเหอไม่จำเป็นต้องคิดแม้แต่น้อยก็ทราบว่าวิธีการลึกลับเหล่านี้จะต้องมาจากซูอี้ ซึ่งหยวนเหิงจะต้องได้รับ ‘คำชี้แนะ’ ดังกล่าวยามเขาแปลงร่างเช่นกัน
ชั่วขณะหนึ่ง หัวใจของหลิงอวิ๋นเหอพลันปั่นป่วนอีกครั้ง ซูอี้ผู้นี้… เขาเป็นใครกันแน่?
ไม่เพียงแต่จะมีเบื้องหลังน่าสะพรึงกลัว ทว่าแม้กระทั่งเคล็ดวิชาและวิธีการลับที่อีกฝ่ายครอบครองก็ยังน่าทึ่ง ราวกับว่าในเส้นทางแห่งการฝึกตนไม่มีอะไรที่เขาไม่ถนัด!
ไป๋เวิ่นฉิงก้าวไปข้างหน้า นางต้องการคุกเข่าขอบคุณซูอี้สำหรับความเมตตาของเขา แต่ซูอี้กลับหยุดนางไว้และพูดเบา ๆ ว่า “ไม่ต้องเกรงใจเกินไป ข้าไม่ชื่นชอบธรรมเนียมเหล่านี้”
หยวนเหิงลังเลครู่หนึ่ง ก่อนก้าวไปข้างหน้าและพูดว่า “นายท่าน ข้าได้ถามแม่นางไป๋มาแล้ว จึงพบว่านางไม่ได้ออกจากที่นี่มาสามร้อยปีแล้ว และตอนนี้นางแปลงร่างได้สำเร็จแล้ว แต่นางไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรต่อ ข้าคิดว่า… ให้แม่นางไป๋ติดตามพวกเรามาก่อนดีหรือไม่?”
หลังจากพูดเช่นนั้น เขาก็รู้สึกประหม่าในใจและไม่กล้าสบตาซูอี้ ด้วยเกรงว่าข้อเสนอนี้จะกระตุ้นความไม่พอใจและโทสะของซูอี้ขึ้นมา
ทว่าซูอี้เพียงเหลือบมองหยวนเหิงเท่านั้น
…เต่าน้อยตนนี้น่าจะถูกไป๋เวิ่นฉิงทำให้หวั่นไหวเข้าแล้ว
ชิงหยากลอกตาและพูดด้วยรอยยิ้มว่า “พี่ชายซูอี้ ให้พี่สาวไป๋มากับเราเถิด ไม่อย่างนั้นพี่หยวนเหิงจะต้องเสียใจมากแน่”
หยวนเหิงกล่าวปัดป้อง “จะเป็นอย่างนั้นได้อย่างไร อย่าพูดไร้สาระ ข้าแค่…”
ซูอี้โบกมือ “ช่างเถิด ไม่จำเป็นต้องอธิบาย”
เขามองไปที่ไป๋เวิ่นฉิง “เจ้าอยากเดินทางไปกับพวกเราหรือไม่?”