บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 427 เมืองผีเสี่ยวเฟิงตู
ตอนที่ 427: เมืองผีเสี่ยวเฟิงตู
ตอนที่ 427: เมืองผีเสี่ยวเฟิงตู
เมื่อเผชิญกับสายตาของซูอี้ ไป๋เวิ่นฉิงก็สั่นสะท้านไปทั้งตัว นางโค้งคำนับพลางกล่าว “สามารถติดตามรับใช้อยู่ข้างกายสหายเต๋าได้ ถือเป็นบุญวาสนาของข้าแล้ว”
ยากนักจะกลบเกลื่อนความคาดหวังและความตื่นเต้นในน้ำเสียงได้
ซูอี้พยักหน้า แล้วกล่าวคำออก “บนหนทางในลำดับต่อไป ให้หยวนเหิงเป็นคนบอกข้อปฏิบัติแก่เจ้าเวลาที่รับใช้อยู่ข้างกายข้า”
เดิมทีหยวนเหิงรู้สึกตื่นตระหนกและหวาดวิตก ทว่าเวลานี้กลับรู้สึกจิตใจโล่งสบาย ตื่นเต้นดีใจ พอได้ฟังความก็รีบพยักหน้าพร้อมกับกล่าวว่า “นายท่านโปรดวางใจ เรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ มอบให้ข้าจัดการได้ขอรับ”
หลิงอวิ๋นเหอเห็นเช่นนี้แล้วถึงกับแอบรำพึงในใจ ไม่ว่าจะเป็นหยวนเหิง หรือว่าไป๋เวิ่นฉิง ถึงแม้ทั้งสองจะเป็นเพียงแค่ผู้ฝึกปีศาจ แต่สามารถติดตามรับใช้อยู่ข้างกายซูอี้ได้เช่นนี้ อนาคตวันข้างหน้าจะต้องสดใสอย่างแน่นอน!
“ไปกันเถิด ออกไปจากที่ตรงนี้กันก่อน”
ซูอี้ไม่อยากจะเสียเวลาอีกแล้ว
คนทั้งหมดจึงออกจากหุบเขาหานกู่ บินขึ้นสู่ฟากฟ้าและจากไปไกล
อีกด้านหนึ่งของเขาอวิ๋นหมางก็คือ “แคว้นเทียนหนาน” แห่งอาณาจักรต้าเซี่ย
ในจำนวนสิบสามแคว้นอาณาจักรต้าเซี่ย แคว้นเทียนหนานอยู่ทางตอนใต้สุด มันมีพื้นที่กว้างใหญ่ และมีขุมกำลังผู้ฝึกตนสิบกว่าแห่ง รวมถึงเมืองนับร้อยแห่งกระจายอยู่ในพื้นที่
สำนักเต๋าหยวนหยาง ตำหนักดาบเฟยหลิง วัดหลิงเสีย และสำนักกระบี่ชิงเสวียนซึ่งก่อนหน้านี้เคยเป็นศัตรูกับพวกซูอี้ ล้วนเป็นขุมกำลังในแคว้นเทียนหนานทั้งสิ้น
เพียงแค่เขตแคว้นเดียวเท่านั้น ในบรรดาขุมกำลังผู้ฝึกตนแต่ละแห่งก็มีบุคคลในขอบเขตรวบรวมดาราอยู่มากมาย ดังนั้นจึงสามารถเข้าใจได้ว่าพื้นฐานของแวดวงผู้ฝึกตนในอาณาจักรต้าเซี่ยทั้งหมดน่ากลัวเพียงใด
ต่อให้เอาขุมกำลังผู้ฝึกตนในอาณาจักรต้าโจว ต้าเว่ย กับต้าฉินมารวมกัน ก็ยังเทียบกับแคว้นเทียนหนานของอาณาจักรต้าเซี่ยไม่ได้
จึงไม่แปลกที่นับตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน อาณาจักรต้าเซี่ยจะเป็นพี่ใหญ่ในมหาทวีปคังชิงมาโดยตลอด …สมควรที่สุดแล้ว!
“สหายเต๋า ข้ามเขานี้ไปก็เป็น ‘เมืองซานอิ่น’ ซึ่งอยู่ทางตอนใต้สุดของแคว้นเทียนหนานแห่งอาณาจักรต้าเซี่ย”
ระหว่างทาง หลิงอวิ๋นเหอก็กล่าวขึ้นว่า “ในบรรดาเมืองต่าง ๆ นับร้อยของแคว้นเทียนหนาน เมืองซานอิ่นมีอีกชื่อหนึ่งว่า ‘เสี่ยวเฟิงตู’*[1] ผู้ฝึกตนในเมืองจำนวนไม่น้อยเป็นผู้ฝึกผี กระทั่งประเพณีความเป็นอยู่บางอย่างของชาวบ้านในโลกสามัญก็ยังมีความเชื่อเกี่ยวกับภูตผีปีศาจอยู่ไม่น้อย”
“ยกตัวอย่างเช่น ในเมืองซานอิ่นมีร้านขายโลงศพเยอะที่สุด ศาลเจ้าหลักเมืองที่ใหญ่ที่สุดในเมืองสักการะบูชารูปปั้นเทพซึ่งมีนามว่า ‘เทพยมบาลงูผี’”
“นอกจากนี้ ภายในเมืองซานอิ่นยังเป็นถิ่นของขุมกำลังผู้ฝึกผีนามว่า ‘พรรคมารหยิน’ ว่ากันว่าขุมกำลังนี้มีความลึกลับมาก สถานที่หลายแห่งในอาณาจักรต้าเซี่ยล้วนมีสาขาย่อยของพวกเขา”
เพิ่งฟังถึงตรงนี้ ซูอี้ก็นิ่งตะลึง และถามขึ้นมาด้วยความตระหนก “ในอาณาจักรต้าเซี่ยแห่งนี้ก็มีพรรคมารหยินเช่นกันอย่างนั้นหรือ?”
ต้องเข้าใจว่า ครั้งนั้นตอนที่อยู่ในซากหอเซียนดาบซึ่งอยู่ลึกเข้าไปในทะเลวิญญาณโกลาหล ซูอี้ได้ฆ่าถงซิงไห่ผู้เป็นประมุขพรรคมารหยินแห่งอาณาจักรต้าฉินตาย
เดิมทีเขาเข้าใจว่า พรรคมารหยินเป็นขุมกำลังวิถีชั่วร้ายที่กระจายตัวอยู่ในอาณาจักรต้าโจว ต้าเว่ย กับต้าฉินเท่านั้น
ไม่คิดเลยว่า ในอาณาจักรต้าเซี่ยก็มีด้วยเช่นกัน
อีกทั้งขุมกำลังผู้ฝึกผีเพียงแห่งเดียวกลับยังมีสาขาย่อยกระจายอยู่ในอาณาจักรต้าเซี่ยอย่างไม่เกรงกลัวใครด้วย!
“ไม่เพียงแต่อาณาจักรต้าเซี่ย ในอาณาจักรต้าฉีของพวกเราก็มีขุมกำลังของพรรคมารหยินด้วยเช่นกัน”
หลิงอวิ๋นเหอกล่าว “ว่ากันว่า ในแคว้นนับร้อยบนมหาทวีปคังชิง ผู้ฝึกผีเช่นนี้ล้วนเข้าร่วมกับ ‘พรรคมารหยิน’ แทบทั้งสิ้น โดยมีความเชื่อและศรัทธาใน ‘เทพยมบาลงูผี’ เป็นสถานที่สิงสถิตของผู้สืบทอดพรรคมารหยิน”
“แต่ถึงแม้จะเป็นพรรคมารหยินเช่นเดียวกัน ระหว่างพรรคมารหยินแต่ละพรรคในแต่ละแคว้นกลับไม่ใช่ส่วนเดียวกัน แต่จะมีลักษณะคล้ายกับเม็ดทรายที่แตกซ่าน พวกเขาต่างทำการของตนเองไม่เกี่ยวข้องกับใคร”
นิ่งเงียบไปชั่วครู่ เขากล่าวต่อ “ว่ากันว่า สถานการณ์เช่นนี้มีความเกี่ยวข้องกับขุมกำลังที่มีชื่อว่า ‘โถงวิญญาณหยินทมิฬ’ เมื่อสามหมื่นปีก่อน”
“โถงวิญญาณหยินทมิฬในตอนนั้นเป็นระบบวิถีผู้ฝึกผีอันดับหนึ่งในมหาทวีปคังชิง พื้นฐานแข็งแกร่งไม่มีใครเทียม ผู้ฝึกผีทรงพลังของพวกเขามีอยู่ทั่วทุกหัวระแหงในใต้หล้า”
“ว่ากันว่า หัวหน้าโถงวิญญาณหยินทมิฬรุ่นที่หนึ่งคือบุคคลในขอบเขตจักรพรรดิซึ่งมาจากภูมิมืดมิด มีนามว่า ‘จักรพรรดิผีหมิงหลัว’”
“บัดนี้ ถึงแม้วันเวลาจะผ่านพ้นไปนานมากแล้ว แต่ในหัวใจผู้ฝึกผีทั่วใต้หล้า โถงวิญญาณหยินทมิฬยังคงเป็น ‘สถานที่ศักดิ์สิทธิ์’ ในใจของพวกเขา และรูปปั้นเทพ ‘เทพยมบาลงูผี’ ที่พวกเขาศรัทธาก็คือผู้พิทักษ์อันดับหนึ่งข้างกายจักรพรรดิผีหมิงหลัว ถูกขนานนามให้เป็น ‘ทูตถือตะเกียง’”
เมื่อฟังแล้ว ซูอี้ก็เริ่มเข้าใจขึ้นมา
ในใจผู้ฝึกผีทั่วหล้าล้วนมองว่า ‘โถงวิญญาณหยินทมิฬ’ เมื่อสามหมื่นปีก่อนเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ จึงไม่น่าแปลกที่ทั่วทุกหนแห่งในใต้หล้าจะล้วนมีขุมกำลังอย่าง ‘พรรคมารหยิน’
ทว่าหัวหน้าโถงวิญญาณหยินทมิฬรุ่นที่หนึ่งผู้มีนามว่า ‘จักรพรรดิผีหมิงหลัว’ คนนี้ต่างหากที่ซูอี้รู้สึกสนใจ
เมื่ออดีตชาติเขาเคยเข้าไปในภูมิมืดมิด และเคยกลับชาติเกิดใหม่ แต่กลับไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าในภูมิมืดมิดมีจักรพรรดิผีอยู่
หรือว่า คน ๆ นี้จะเป็นจักรพรรดิผู้รู้แจ้งแห่งมหาทวีปคังชิง?
“สหายเต๋าดูสิ จุดที่ห่างไกลออกไปก็คือเมืองซานอิ่น หรือก็คือเมืองผีเสี่ยวเฟิงตูของแคว้นเทียนหนาน!”
ขณะที่กำลังสนทนากัน พวกเขาก็ข้ามมาถึงผืนแผ่นดินอันกว้างใหญ่ไพศาล หลิงอวิ๋นเหอชี้ไปยังสถานที่ห่างไกลพลางกล่าว
ซูอี้ชายตามองไป ในที่ไกล ๆ นั้นสามารถมองเห็นเค้าโครงของเมือง ๆ หนึ่งปรากฏอยู่บนผืนแผ่นดินใหญ่ บนน่านฟ้าของเมืองมีพลังแห่งผีร้ายกับกลิ่นอายของโลกมนุษย์คละเคล้ากันจนเดือดพล่าน
‘สถานที่แห่งนี้ มีผีวิญญาณมากมายปรากฏและวนเวียนอยู่จริง ๆ ไม่เช่นนั้นคงไม่มีกลิ่นอายผีร้ายรุนแรงถึงเพียงนี้ปรากฏอยู่’
ขณะที่ซูอี้กำลังครุ่นคิด เขาก็เอ่ยขึ้น “พวกเราเข้าไปดูในเมืองกัน”
นี่เป็นวันแรกที่เขาเข้าสู่อาณาจักรต้าเซี่ย และก็เป็นเมืองที่พบเห็นเป็นที่แรกของอาณาจักรต้าเซี่ย ทว่าเมือง ๆ นี้กลับมีสมญาว่า ‘เสี่ยวเฟิงตู’ ซึ่งมันก็มีบรรยากาศที่แตกต่างไปจากเมืองอื่น ๆ
ทั้งหมดนี้จึงสร้างความสนใจแก่ซูอี้เป็นธรรมดา
ทันใด คนทั้งหมดต่างมุ่งหน้าไปสู่เมืองซานอิ่น
เมื่อเข้าใกล้เมืองซานอิ่น พวกเขาก็มองเห็นความยิ่งใหญ่ของเมืองโบราณแห่งนี้ กำแพงเมืองมีความสูงนับร้อยจั้ง ด้านบนหล่อด้วยเหล็กสีดำขลับ ลวดลายสัญลักษณ์ที่สลักอยู่บนนั้นล้วนส่งประกายแสงรางเลือน แม้กระทั่งในเวลากลางวัน
ทหารที่เฝ้ารักษาการณ์อยู่บนกำแพงเมือง แต่ละคนสวมใส่ชุดเกราะถืออาวุธ พวกเขาต่างก็เป็นปรมาจารย์ขอบเขตหลอมกำเนิด ร่างกายกำยำ พลังลมปราณเดือดพล่าน ท่าทางน่าหวาดกลัว
เมื่อเข้าไปในเมือง มีแต่ภาพแห่งความคึกคักผู้คนจอแจ
ถนนมีความกว้างถึงสิบกว่าจั้ง รถม้าสิบคันสามารถเรียงหน้ากระดานวิ่งได้ บ้านเรือนสองข้างทางล้วนมีความสูงถึงร้อยจั้ง เป็นรูปทรงโบราณ ผู้คนผ่านไปผ่านมาแออัดยัดเยียด
ถึงแม้สถานที่แห่งนี้จะได้รับสมญานามว่าเป็น ‘เสี่ยวเฟิงตู’ ทว่าอย่างไรก็ตามมันยังคงเป็นเพียงแค่เมือง ๆ หนึ่งในโลกสามัญเท่านั้น ผู้ที่อยู่อาศัยภายในเมืองส่วนใหญ่จึงเป็นชาวบ้านธรรมดา
ทว่ามันก็นับว่าแตกต่างไปจากเมืองที่ซูอี้เคยไปเยือน ตลอดทางที่ผ่านมามองเห็นผู้ฝึกตนพกดาบพกกระบี่ได้ทั่วไป ผู้บ่มเพาะระดับปรมาจารย์กับบรรพจารย์ยุทธ์ปฐมสวรรค์จึงมีให้เห็นอยู่ตลอด
อีกทั้ง เพียงแค่ครู่เดียวเท่านั้น ซูอี้ก็รู้สึกได้ถึงกลิ่นอายของผู้ฝึกตนในขอบเขตไร้เบญจธัญจำนวนนับสิบกว่าคน!
ช่างน่าตื่นตะลึงเสียเหลือเกิน
อย่าว่าแต่แคว้นเล็ก ๆ เลย แม้แต่ในอาณาจักรต้าโจว ต้าเว่ย ต้าฉิน หรือกระทั่งในอาณาจักรที่มีขุมกำลังผู้ฝึกตนใหญ่เป็นอันดับสามอย่างต้าฉู่ ก็ยังไม่มีที่ใดมีลักษณะคล้ายเช่นนี้
กลางอากาศ มีแสงสว่างโฉบผ่านเป็นพัก ๆ
เห็นได้ชัดว่านั่นคือผู้ฝึกตนขอบเขตไร้เบญจธัญกำลังขี่ดาบ หรือบ้างก็เป็นบุคคลผู้ยิ่งใหญ่ของตระกูลผู้ฝึกตนกำลังขับขี่แสงบินผ่าน
ภายในเมือง ไม่ว่าจะเป็นชาวบ้านทั่วไปหรือผู้ฝึกตน พวกเขาต่างก็ไม่รู้สึกตื่นเต้นกับภาพเหตุการณ์เช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าพบเจอมามากต่อมากแล้ว
หากว่าเป็นในอาณาจักรต้าโจว มีผู้คนพบเจอผู้ฝึกตนบินโฉบไปมา ชาวบ้านโลกสามัญจะต้องคุกเข่ากราบไหว้ประดุจเทพเซียนอย่างแน่นอน
นี่คือความแตกต่าง!
“สักวันหนึ่ง หากข้าย่างก้าวสู่ขอบเขตไร้เบญจธัญแล้ว จะบินร่อนอยู่กลางอากาศใจกลางเมือง ให้พวกที่ดูแคลนข้าเหล่านั้นต้องเบิ่งตามองดู!”
ระหว่างทาง มีผู้ฝึกยุทธ์ส่งเสียงพูดเจ็บใจ ทั้งอิจฉาและริษยา
“ฝันไปเถอะ ผู้ฝึกตนขอบเขตไร้เบญจธัญเป็นบุคคลระดับไหนไม่รู้หรือ? หนึ่งในหมื่นเชียว! เป็นบุคคลผู้ยิ่งใหญ่อย่างแท้จริง อายุขัยยืนนานหลายร้อยปี ผู้ฝึกยุทธ์อย่างพวกเรา ต้องการย่างก้าวเข้าสู่ขอบเขตไร้เบญจธัญ ก็ต้องกราบอาจารย์เข้าสู่สำนักเซียน หากไม่มีอาจารย์เซียนแห่งสำนักเซียนคอยชี้แนะ ต่อให้เจ้าฝึกไปอีกหนึ่งร้อยปีก็ไม่อาจสำเร็จได้!”
คนที่อยู่ข้าง ๆ บางคนหัวเราะเยาะ
“ไม่ มีใครบ้างในอาณาจักรต้าเซี่ยที่ไม่รู้ว่านับจากนี้ไปอีกหลายปี แสงสว่างแห่งโลกกว้างใกล้จะมาถึง? ถึงเวลานั้นฟ้าดินจะเปลี่ยนแปลง ปราณวิญญาณจะระเบิด โอกาสและโชคมากมายนับไม่ถ้วนจะปรากฏบนโลก ถึงเวลานั้น ขอเพียงพวกเราคว้าโอกาสไว้ให้ดี จะต้องได้ย่างเข้าสู่ขอบเขตไร้เบญจธัญอย่างแน่นอน!”
มีคนกล่าวอย่างมีเหตุมีผล มั่นใจเต็มที่
ได้ยินคำวิพากษ์วิจารณ์เหล่านี้แล้ว ซูอี้รำพึงขึ้นมา หากว่าเป็นอาณาจักรต้าโจว จะมีผู้ฝึกยุทธ์ในโลกสักกี่คนกันที่รู้เรื่องแสงสว่างแห่งโลกกว้าง?
แต่ที่อาณาจักรต้าเซี่ย ทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับแสงสว่างแห่งโลกกว้าง ทุก ๆ คนล้วนรับรู้กันหมดแล้ว!
“ไม่แปลกเลยที่เยว่ซือฉานดึงดันต้องการจะมาอาณาจักรต้าเซี่ยให้ได้ เพราะเมื่อเทียบกันแล้ว อาณาจักรต้าโจว… ถือเป็นเพียงจุดเล็กจ้อยเท่านั้น”
“สหายเต๋าซู พวกเราหาโรงเตี๊ยมเพื่อพักผ่อนกันก่อนจะดีหรือไม่?” หลิงอวิ๋นเหอถาม
“ก็ดี” ซูอี้พยักหน้า
แต่ทว่าในชั่วขณะนี้เอง มีเสียงดนตรีดังมาจากที่ไกลออกไป ดนตรีทำนองโศกเศร้าระกำใจดังออกไปไกล
ซูอี้ชายตามองออกไป ก็เห็นวัดโบราณเก่าแก่วัดหนึ่งซึ่งอยู่ห่างออกไปไกลมาก กินเนื้อที่มากถึงร้อยไร่ อาคารวัดตั้งเรียงรายติด ๆ กัน แลดูยิ่งใหญ่อลังการมาก
ดนตรีที่ขับกล่อมออกมานั้นดังมาจากด้านในของวัดโบราณแห่งนั้น
“ทำใจดี ๆ ไว้ บทเพลงกล่อมร้อยวิญญาณ! จะต้องมีบุคคลผู้ยิ่งใหญ่ของพรรคมารหยินมากราบไหว้ ‘เทพยมบาลงูผี’ ที่ศาลเจ้าหลักเมืองอย่างแน่นอน!”
บนท้องถนนมีคนร้องตะโกนขึ้นมา
“ว่ากันว่า ระยะนี้พรรคมารหยินคัดเลือกบุตรสวรรค์คนใหม่ บุตรสวรรค์นี้เป็นเมล็ดพันธุ์วิถีที่หาพบได้ยากในรอบพันปี มีพรสวรรค์โดดเด่น ดังนั้นการกราบไหว้ในวันนี้อาจจะเกี่ยวข้องกับบุตรสวรรค์คนใหม่ก็เป็นได้”
“ทุกท่านทราบหรือไม่ว่า บุตรสวรรค์นี้มีชื่อเสียงเรียงนามใดและที่มาอันใด?”
“ไม่รู้ที่มา แต่ ว่ากันว่าผู้ทรงพลังในพรรคมารหยินต่างก็เรียกคน ๆ นี้ว่าเป็น ‘บุตรสวรรค์เนี่ยเฟิง’”
“บุตรสวรรค์เนี่ยเฟิง? ไม่เคยได้ยินมาก่อน หรือว่าจะเป็นผู้ร้ายกาจซึ่งมีที่มาลึกลับอีกคน?”
“ใครจะไปรู้”
…เสียงวิพากษ์วิจารณ์ยังคงดังกึกก้อง ซูอี้จึงกล่าวขึ้นว่า “ไปยังศาลเจ้าหลักเมืองกันเถิด”
“หรือว่าสหายเต๋าซูก็สงสัยเช่นกันว่า ‘บุตรสวรรค์เนี่ยเฟิง’ เป็นบุคคลเช่นใด?”
หลิงอวิ๋นเหอยิ้มพลางถาม
“เปล่า ไม่เกี่ยวข้องกับคน ๆ นี้ ข้าเพียงแต่นึกเรื่องบางอย่างขึ้นมาได้ อยากจะดูรูปปั้น ‘เทพยมบาลงูผี’ ในศาลเจ้าหลักเมืองที่ให้คนมาสักการะบูชาสักหน่อย เพื่อยืนยันว่าตรงกับข้อสันนิษฐานหรือไม่”
ซูอี้พูดจบสองมือไพล่หลังแล้วก้าวเดินออกไปข้างหน้า
หยวนเหิงและพวกของหลิงอวิ๋นเหอจึงรีบตามไป
หน้าศาลเจ้าหลักเมือง ควันธูปและเทียนพุ่งโขมง ผู้คนมากมาย ผู้มีจิตศรัทธาส่วนใหญ่ล้วนมีทั้งหญิงและชาย บริเวณโดยรอบจึงเกิดเสียงดังโหวกเหวก พร้อมกับมีเสียงร้องตะโกนขายสินค้าของพ่อค้าแม่ขาย และเสียงคนจอแจ ซึ่งเต็มไปด้วยกลิ่นอายของโลกสามัญ
เมื่อเดินเข้าไปใกล้จึงมองเห็นว่าสองข้างประตูใหญ่ของศาลเจ้าหลักเมืองแกะสลักคำกลอนคู่ไว้
‘โลกมนุษย์สามแดน สร้างกุศลหรือทำความชั่วขึ้นอยู่กับเจ้า’
‘อดีตผ่านไปปัจจุบันแทนที่ เมืองผีเคยละเว้นใคร’
ซูอี้เพียงแค่มองดูครู่เดียวก็คร้านจะใส่ใจ เดินเข้าไปในศาลเจ้าหลักเมืองพร้อมกับพวกหลิงอวิ๋นเหอ
[1] เสี่ยวเฟิงตู (小酆都鬼市) สามารถแปลได้ว่าเมืองผี