บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 428 บุตรสวรรค์เนี่ยเฟิง
ตอนที่ 428: บุตรสวรรค์เนี่ยเฟิง
ตอนที่ 428: บุตรสวรรค์เนี่ยเฟิง
ภายในศาลเจ้าหลักเมือง วัดอารามตั้งเรียงราย ควันธูปพุ่งโขมงคละคลุ้งกลางอากาศ
ไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ ผู้หญิงหรือผู้ชายในโลกสามัญต่างกราบไหว้จุดธูปเทียนขอพรให้เป็นสุข
พวกซูอี้ต่างก็เก็บพลังในตัว จากนั้นก็ได้ปะปนเข้าไปในฝูงคน จึงไม่เป็นที่จับตามองมากนัก
อย่างรวดเร็ว พวกเขาก็มาถึงหน้าประตูตำหนักใหญ่ของตัวศาลเจ้า
พวกเขาเห็นรูปปั้นเทพสูงเก้าจั้งตั้งตระหง่านอยู่กลางตำหนัก
รูปปั้นเทพอยู่ในร่างของหญิงสาว ลักษณะอรชรอ่อนช้อย ทว่าร่างท่อนล่างตั้งแต่ส่วนเอวลงไปกลับเป็นร่างงูที่คดเคี้ยว สองมือของนางประสานกันตรงหน้า ถือโคมรูปดอกบัว
สาวกในวัดที่แต่งกายชุดเต๋าสีเทาสองคนกำลังเติมน้ำมันลงในตะเกียงที่อยู่ด้านหน้ารูปปั้น
หญิงชายผู้มีจิตศรัทธาเลื่อมใสเหล่านั้นต่างก็ยืนเรียงแถวเพื่อเข้ามาจุดธูป คุกเข่า กราบขอพรในตำหนัก แต่ละคนมีสีหน้าเคร่งเครียดจริงจัง ปากก็ยังท่องบทสวดมนต์
“เป็นเช่นนี้นี่เอง”
เมื่อมองเห็นรูปปั้นนี้แล้ว ซูอี้ก็ได้ข้อสรุปอยู่ในใจ
ตอนที่อยู่แคว้นกุ่น เขาเคยเห็นรูปปั้นที่มีลักษณะเหมือนกันกับตอนนี้ทุกประการ จึงสามารถสรุปได้ว่า รูปลักษณ์หญิงสาวที่นำมาปั้นเป็นรูปปั้นนี้คือบุคคลรุ่นหลังของตระกูลงูผี
ตระกูลงูผีเป็นหนึ่งในกลุ่มชน ณ ภูมิมืดมิด ในสายตาของภูตผีชั่วร้ายวิญญาณมืด ตระกูลงูผีถูกขนานนามให้เป็น ‘ทูตถือโคม’ ซึ่งมีฐานะสูงส่งมาก
ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่ระหว่างทาง เมื่อหลิงอวิ๋นเหอเอ่ยขึ้นมาว่า ‘เทพยมบาลงูผี’ ผู้ติดตามข้างกายจักรพรรดิผีหมิงหลัวซึ่งเป็นหัวหน้าโถงวิญญาณหยินทมิฬรุ่นที่หนึ่งได้รับการยกย่องให้เป็น ‘ทูตถือโคม’ ซูอี้ก็เกิดความสงสัยขึ้นมาในใจแล้ว
ตอนนี้ เมื่อได้เห็นรูปปั้นนี้ในศาลเจ้าหลักเมืองแล้ว ความสงสัยภายในใจก็หมดไป
‘ดูท่าแล้ว จักรพรรดิผีหมิงหลัวน่าจะมาจากภูมิมืดมิดจริง ๆ อีกทั้งยังมีผู้ทรงพลังของตระกูลงูผีติดตามอยู่ข้างกายด้วย’
ซูอี้แอบคิดในใจ
“ทุกท่านต้องการจะจุดธูปกราบไหว้ใช่หรือไม่?”
สาวกคนหนึ่งเดินเข้ามาถามพวกของซูอี้
ซูอี้ส่ายหน้า จากนั้นหันไปกล่าวกับหยวนเหิง “ไปกันเถิด”
หากเป็นเมื่ออดีตชาติ บรรพชนขอบเขตจักรพรรดิของตระกูลงูผีมาอยู่ต่อหน้าตัวเองเช่นนี้ ไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะเข้าไปในตำหนักด้วยซ้ำ มากสุดทำได้เพียงแค่ยืนโค้งคำนับเท่านั้น!
“สหายเต๋าทุกท่านได้โปรดหยุดก่อน”
ขณะที่พวกของซูอี้เตรียมตัวจะเดินออกไป ฉับพลันก็มีผู้เฒ่าผมขาวในชุดคลุมยาวสีดำเดินมาหา
ผู้เฒ่ามีรูปร่างผ่ายผอม เบ้าตาลึกเว้าเล็กน้อย มีนัยน์ตาเป็นสีน้ำตาลอ่อน ๆ ยิ้มพลางประสานมือคารวะต่อซูอี้
“ข้ามีนามว่า อวี๋ซ่างหลิน รับคำสั่งจากนายของข้า มาเชิญสหายเต๋าทุกท่านไปพูดคุยกันที่ห้องโถงด้านข้าง”
หากว่าเป็นคนอื่น คงจะต้องถามว่า นายของเจ้ามีชื่อเสียงเรียงนามว่าอันใด เหตุใดจึงต้องการเชิญพวกเราไปพูดคุยด้วย
ทว่าซูอี้เพียงแค่ชายตามองผู้เฒ่าคนนี้ และกล่าว “หรือว่านายน้อยของเจ้าคือบุตรสวรรค์เนี่ยเฟิงเช่นนั้นหรือ?”
อวี๋ซ่างหลิน ผู้เฒ่าในชุดคลุมยาวสีดำกล่าวด้วยความตกใจ “สหายเต๋ารู้จักนายน้อยของข้าเช่นนั้นหรือ?”
ซูอี้กล่าวเสียงราบเรียบ “ไม่รู้จัก และไม่อยากจะรู้จักด้วย”
พูดจบก็หมุนตัวออกไป
หยวนเหิงกับคนอื่น ๆ ตามหลังไปติด ๆ
อวี๋ซ่างหลินตะลึง หัวคิ้วถึงกับขมวด ฉับพลันก็หันหลังเดินเข้าไปในตำหนักที่อยู่ด้านข้างของศาลเจ้าหลักเมือง
ในตำหนัก ชายหนุ่มสง่างามในชุดสีแดงทั้งตัวกำลังนั่งดื่มสุรา
ชายหนุ่มอายุประมาณยี่สิบกว่า ๆ คิ้วคมเข้ม ดวงตาเป็นประกายดุจดารา ร่างสูงสง่างาม เหน็บผมด้วยปิ่นที่ทำจากกระดูกสีดำ ทุกอากัปกิริยายิ่งใหญ่ประหนึ่งก้มมองทะเลทั้งสี่
นอกจากชายหนุ่มในชุดสีแดงแล้ว ในตำหนักยังมีร่างของคนกลุ่มหนึ่งยืนอยู่ เพียงแค่มองดูเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายก็รู้ได้ว่าเป็นบุคคลผู้ยิ่งใหญ่
ไม่ว่าหญิงหรือชาย ล้วนมีกลิ่นอายของผู้ฝึกตนรายล้อมรอบตัว
เพียงแต่ว่า เวลาที่บรรดาผู้ยิ่งใหญ่เหล่านี้อยู่ต่อหน้าชายหนุ่มชุดสีแดงจะแสดงสีหน้าเคารพยำเกรงออกมาไม่มากก็น้อย
เมื่อดื่มสุราไปจอกหนึ่งแล้ว ชายหนุ่มชุดสีแดงก็กวาดตามองดูผู้ยิ่งใหญ่เหล่านั้น แล้วจึงกล่าวคำออก
“เหลือเวลาอีกเพียงแค่สี่เดือนเท่านั้น ‘งานชุมนุมมวลพฤกษา’ ที่จักรพรรดิเซี่ยทรงจัดขึ้นด้วยตนเองก็จะเปิดฉากขึ้นแล้ว เวลายิ่งกระชับมากขึ้นทุกทีแล้ว ข้าหวังว่าภายในระยะเวลาสามเดือน ทุกท่านจะสามารถเก็บรวบรวม ‘หินวิญญาณหยินสัมบูรณ์’ ได้มากพอ มิเช่นนั้น…”
เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ เขาก็ถอนใจเบา ๆ “มิเช่นนั้น ข้าก็จำเป็นจะต้องใช้ระดับวิถีในตัวของทุกท่านหลอมสร้าง ‘พลังแห่งหยินสัมบูรณ์’ ขึ้นมา”
เสียงของเขาเยือกเย็นแผ่วเบา ทว่าเมื่อบุคคลผู้ยิ่งใหญ่เหล่านั้นได้ฟังแล้ว พวกเขาแต่ละคนกลับรู้สึกแข็งทื่อไปทั้งตัว สีหน้าเปลี่ยนแปลงไป
หญิงงามคนหนึ่งในกลุ่ม ซึ่งแต่งกายด้วยชุดนางในวังกล่าวด้วยเสียงเจื่อน ๆ “กราบทูลบุตรสวรรค์ เมื่อวานนี้ข้าได้ข่าวมาว่าพบเจอชีพจรหยินสัมบูรณ์ที่หุบเขาหานกู่ซึ่งอยู่ลึกเข้าไปในเขาอวิ๋นหมาง ดังนั้นข้าจึงเดินทางไปที่นั่นพร้อมกับผู้อาวุโสสูงสุดชิวโม่ฉือแห่งตำหนักดาบเฟยหลิง… แต่ใครเลยจะคาดคิดว่า สุดท้ายก็ยังล้มเหลวจนได้…”
หากว่าพวกของซูอี้อยู่ตรงนี้ด้วย จะต้องนึกออกอย่างแน่นอนว่าหญิงงามผู้สวมชุดนางในวังคนนี้ก็คือเลี่ยนเหลิ่งเยว่ผู้อาวุโสแห่งตำหนักดาบเฟยหลิงนั่นเอง
เมื่อวาน สตรีนางนี้พร้อมกับผู้ฝึกตนขอบเขตเปิดทวารเช่นเยี่ยนจวินซานต่างก็ต้องก้มหน้ายอมรับชะตากรรมแต่โดยดี หลังจากที่ยกสมบัติในตัวออกมาจึงสามารถรอดชีวิตมาได้
ทว่าตอนนี้ เลี่ยนเหลิ่งเยว่กลับมาปรากฏตัวอยู่ในศาลเจ้าหลักเมืองแห่งนี้ ทั้งยังเรียกชายหนุ่มชุดสีแดงว่าบุตรสวรรค์อีก!
“ชีพจรวิญญาณสัมบูรณ์?”
ดวงตาของชายหนุ่มในชุดสีแดงลุกวาว พลางกล่าว “เจ้าจงเล่าการเดินทางเมื่อวานนี้มาให้ละเอียด”
เลี่ยนเหลิ่งเยว่จึงเล่าเหตุการณ์ต่อสู้ที่เกิดขึ้นในหุบเขาหานกู่อย่างละเอียด โดยไม่มีปิดบังซ่อนเร้นแม้แต่น้อย
เมื่อรู้ว่าคนหนุ่มขอบเขตไร้เบญจธัญสามารถฆ่าผู้แข็งแกร่งขอบเขตรวบรวมดาราซึ่งมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วเขตเทียนหนานอย่างฉี่ฉงจื่อ ชิวโม่ฉือ กับล่ายจ่างเซียวได้อย่างง่ายดายแล้ว ทุกคนในเหตุการณ์ต่างก็ส่งเสียงร้องอุทานตื่นตะลึงออกมาอย่างพร้อมเพรียงกัน
“คนหนุ่มที่ชื่อว่าซูอี้แข็งแกร่งถึงเพียงนี้เลยหรือ?”
“เขามีที่มาเช่นใด เหตุใดก่อนหน้านี้จึงไม่เคยได้ยินมาก่อน?”
“ผู้แข็งแกร่งในขอบเขตรวบรวมดาราของสี่สำนักมากอิทธิพลในเขตเทียนหนานร่วมมือกัน สามคนถึงกับตาย รอดมาได้เพียงคนเดียว เช่นนี้… น่ากลัวเกินไปแล้ว…”
สีหน้าของผู้ยิ่งใหญ่เหล่านั้นเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก ไม่อยากจะเชื่อ
กระทั่งชายหนุ่มในชุดสีแดงก็ยังถึงกับแสดงสีหน้าตื่นตะลึงออกมาเช่นกัน
สักพักใหญ่ ๆ เขาจึงกลับสู่ความสงบ แล้วจึงกล่าวคำออก “ตามที่เจ้ากล่าวมา ซูอี้คนนี้จะต้องเป็นบุคคลผู้ร้ายกาจมากคนหนึ่งอย่างแน่นอน! และอาจจะเป็น… ตัวตนผู้รอดชีวิตจากการจองจำแห่งยุคมืดเมื่อสามหมื่นปีก่อนอย่างข้าก็เป็นได้”
ซี้ด!
ทุกคนในเหตุการณ์สูดปากขึ้นพร้อมกัน
พวกเขาต่างก็รู้ดีว่า เมื่อปีที่แล้ว ชายหนุ่มในชุดสีแดงคนนี้เพิ่งฟื้นขึ้นจากการสะกดเมื่อเกือบสามหมื่นปีก่อน และมีที่มาน่ากลัว พื้นฐานแข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียม
หากว่าหนุ่มน้อยที่ชื่อว่าซูอี้คนนั้นก็เป็นเหมือนชายหนุ่มในชุดสีแดง ถ้าเช่นนั้นที่มาของเขาก็ต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
“ต้องยอมรับว่า สามารถรอดชีวิตจากเงื้อมมือของคนเช่นนั้นมาได้ ดวงของเจ้าไม่เลวเลยจริง ๆ”
ชายหนุ่มชุดสีแดงชายตามองไปที่เลี่ยนเหลิ่งเยว่
เลี่ยนเหลิ่งเยว่ก้มหน้ากล่าว “นายน้อยกล่าวมาเช่นนี้ ข้าจึงเข้าใจได้ว่าสามารถรอดมาได้ในครั้งนี้ดวงดีถึงเพียงไหน”
“ผู้สิงสถิตกับผู้โชคดีที่มีดวงชะตายิ่งใหญ่ ได้รับปัญญาอันสืบทอดมาจากบรรพกาล… บัดนี้ เพิ่มผู้ร้ายกาจที่รอดชีวิตจากยุคมืดเช่นข้า โลกสามัญแห่งนี้ก็ยิ่งน่าสนุกมากขึ้น…”
ชายหนุ่มชุดสีแดงรำพึงด้วยน้ำเสียงแห่งความคาดหวัง
“นายน้อย ซูอี้คนนั้นแย่งชีพจรหยินสัมบูรณ์ไปแล้ว ท่านคิดว่า… พวกเราสามารถแย่งของชิ้นนั้นมาจากมือของเขาได้หรือไม่?”
ผู้ชายในชุดคลุมยาวสีเทาส่งเสียงถามเบา ๆ
ชายหนุ่มชุดสีแดงสบถหัวเราะขึ้นมา พลางกล่าวว่า “ด้วยความสามารถของเจ้าผู้อยู่ในขอบเขตเปิดทวาร ก็ยังกล้าคิดถึงเรื่องนี้ ไม่กลัวว่าจะโดนซูอี้คนนั้นพลิกมือกลับมาฆ่าเจ้าหรอกหรือ? อยากจะตายเหลือทนแล้วเช่นนั้นหรือ?”
ผู้ชายในชุดคลุมยาวสีเทาสะดุ้งเฮือกขึ้นมา
“จะกล่าวโทษเจ้าก็ไม่ได้ เพราะอย่างไรเสียในสายตาของผู้ฝึกตนที่เติบโตขึ้นมาในโลกสามัญแห่งนี้มีขอบเขตจำกัด ไม่เข้าใจความน่ากลัวของผู้ร้ายกาจเหล่านั้น”
ชายหนุ่มในชุดสีแดงคิดสักครู่ ก่อนจะกล่าวขึ้น “หากว่าเป็นข้า ก็ต้องตรวจสอบพื้นเพที่มาของคน ๆ นี้ให้ละเอียดเสียก่อน จึงจะสามารถตัดสินได้ว่าที่แท้แล้วต้องลงทุนลงแรงมากเท่าใดจึงจะสามารถจับคน ๆ นี้ไว้ได้ เพราะอย่างไรเสีย ดังผู้ร้ายกาจเช่นนี้ไม่อาจใช้หลักการทั่วไปมาคาดคำนวณได้”
ในใจของทุก ๆ คนเร่าร้อนขึ้นมา เวลานี้พวกเขาเพิ่งจะเข้าใจแล้วว่า ผู้ร้ายกาจนั้นมีอันตรายมากมายเพียงใด
มิเช่นนั้น ด้วยนิสัยของชายหนุ่มชุดสีแดงแล้วคงจะไม่พูดคำกล่าวเช่นนี้ออกมา
เวลานี้ ผู้เฒ่าชุดคลุมสีดำผมขาวเดินเข้าไปในตำหนักที่อยู่ข้างเคียงกันด้วยความรีบร้อน เขาก็คืออวี๋ซ่างหลิน คนที่พูดคุยตอบโต้กับซูอี้เมื่อสักครู่
“นายน้อย ผู้ฝึกตนเหล่านั้นปฏิเสธคำเชิญของท่าน และเดินออกไปแล้วขอรับ”
อวี๋ซ่างหลินเอ่ยพูดเบา ๆ
“พวกเขาช่างบังอาจยิ่งนัก กล้าปฏิเสธได้แม้กระทั่งบุตรสวรรค์เช่นนั้นหรือ?”
มีคนขมวดคิ้วกล่าวน้ำเสียงไม่เป็นมิตร
อวี๋ซ่างหลินกล่าว “เรื่องนี้ค่อนข้างประหลาดจริง ๆ คนหนุ่มผู้เป็นหัวหน้าคนนั้นราวกับเดาฐานะของบุตรสวรรค์ออกก่อนแล้ว แต่เขากลับบอกว่า ไม่ต้องการจะรู้จักกับบุตรสวรรค์”
ชายหนุ่มชุดสีแดงตะลึง พลันหัวเราะออกมา “พวกเขาเกรงว่าข้าผู้เป็นบุตรสวรรค์คนใหม่ของพรรคมารหยินจะขัดประโยชน์พวกเขาเช่นนั้นหรือ?”
อวี๋ซ่างหลินถามเบา ๆ “นายน้อย ก่อนหน้านี้ข้าไม่เคยพบคนเหล่านี้มาก่อน เป็นเพราะพวกเขาเก็บพลังของตนเอง จึงไม่พบจุดที่น่าประหลาดอันใด ไม่ทราบว่านายน้อยรู้สึกสัมผัสอะไรได้เช่นนั้นหรือจึงเชิญพวกเขามาพูดคุยหรือขอรับ?”
ทุก ๆ คนต่างก็มองไปที่บุตรสวรรค์
เมื่อสักครู่ ตอนที่ชายหนุ่มชุดสีแดงกำลังดื่มสุรา ฉับพลันหัวคิ้วก็ขมวดขึ้นมา ดึงปิ่นกระดูกสีดำที่เหน็บผมออกมาพิจารณาดู
จากนั้น เขาก็สั่งให้อวี๋ซ่างหลินไปที่ตำหนักใหญ่ของศาลเจ้าหลักเมือง เพื่อเชิญผู้ฝึกตนเหล่านั้นมาพบ
กลับไม่มีใครรู้ว่าเพราะเหตุใดชายหนุ่มชุดสีแดงจึงทำเช่นนี้
“เมื่อก่อนหน้านี้ ‘ปิ่นหยกวิญญาณมืด’ ของข้าเกิดความผิดปกติ สัมผัสได้ถึงร่างวิญญาณอันบริสุทธิ์ พอข้าสัมผัสดูคร่าว ๆ ก็รู้สึกได้ว่าร่างวิญญาณอันบริสุทธิ์ร่างนี้ซุกซ่อนอยู่ในน้ำเต้าปลุกวิญญาณที่คนหนุ่มผู้เป็นหัวหน้าพกติดตัว”
ชายหนุ่มชุดสีแดงตอบตามตรงโดยไม่ปิดบัง “พวกเจ้าก็รู้ว่า ปิ่นหยกวิญญาณมืดชิ้นนี้ของข้าเป็นสมบัติโบราณ ร่างวิญญาณใดก็ตามที่สามารถทำให้มันรับรู้สัมผัสได้ แสดงว่าจะต้องมีที่มาไม่ธรรมดา ด้วยเหตุนี้ เป็นเพราะความอยากรู้ของข้า จึงต้องการพบพูดคุยกับพวกเขา หากว่าทำได้ ข้าก็อยากจะตั้งข้อแลกเปลี่ยนกับพวกเขา ซื้อร่างวิญญาณในน้ำเต้าปลุกวิญญาณดวงนั้น”
ทุก ๆ คนจึงเข้าใจ
ผู้ชายร่างใหญ่หนวดเครางอดกครึ้มรับอาสา “นายน้อย เรื่องนี้ง่ายมาก ในเมื่อผู้ฝึกตนเหล่านั้นอยู่ในเมืองซานอิ่น ด้วยวิธีการของพวกเรา ก็คงจะสามารถหาพวกเขาพบได้อย่างง่ายดาย ถึงเวลา ข้าจะซื้อร่างวิญญาณในน้ำเต้าปลุกวิญญาณดวงนั้นมาให้นายน้อยเอง”
“พวกข้าก็ยินดีจะทำงานนี้”
คนอื่น ๆ เห็นเช่นนี้แล้วต่างก็แสดงท่าทีของตัวเองออกมา
ชายหนุ่มชุดสีแดงครุ่นคิดสักครู่ แล้วจึงกล่าวขึ้น “ได้ ผู้เฒ่าอวี๋ซ่างหลิน เจ้าจงนำคนจำนวนหนึ่งไปพบกับผู้ฝึกตนกลุ่มนั้น”
อวี๋ซ่างหลินรับคำมั่นเหมาะ “ขอรับ!”
ชายหนุ่มในชุดสีแดงหยิบกาสุราขึ้นมา พลางรินพร้อมกล่าวเนิบ ๆ “จำไว้ให้ดี ไม่ต้องลงไม้ลงมือจะเป็นการดีที่สุด ข้าไม่ต้องการให้ผู้ฝึกตนทั้งหลายเข้าใจว่า ข้าเนี่ยเฟิงเป็นพวกชอบใช้กำลังแย่งชิง”
อวี๋ซ่างหลินหัวเราะน้อย ๆ พลางกล่าว “นายน้อยโปรดวางใจ”
ชายหนุ่มในชุดสีแดงโบกมือ “ไปได้แล้ว หลังจากนี้สามชั่วยาม ข้าก็จะต้องออกจากเมืองซานอิ่น ก่อนถึงเวลานั้น ข้าหวังว่าพวกเจ้าสามารถทำงานนี้ได้สำเร็จลุล่วง”