บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 432 เรื่องราวน่าตะลึงเมื่อห้าร้อยปีก่อน
ตอนที่ 432: เรื่องราวน่าตะลึงเมื่อห้าร้อยปีก่อน
ตอนที่ 432: เรื่องราวน่าตะลึงเมื่อห้าร้อยปีก่อน
ชิงหยาพูดอย่างมีความสุข “ข้าไม่ได้พบอาจารย์อามาสามปีแล้ว อยากรู้จริง ๆ ว่าขณะนี้นางเป็นอย่างไรบ้าง!”
หลิงอวิ๋นเหอกล่าวว่า “ครั้งเมื่อตอนที่อาจารย์อาของเจ้าอายุได้สิบสี่ นางได้กลายเป็นศิษย์รุ่นเยาว์ของหอดาบหนึ่งสวรรค์ของเราแล้วและด้วยความเป็นอัจฉริยะผู้เลิศล้ำในวิถีดาบ นางจึงถูกเรียกขานว่า ‘มารดาบน้อย’”
“เมื่อนางอายุสิบห้าปีไม่มีใครในหอดาบหนึ่งสวรรค์ของเราที่สามารถชี้แนะเกี่ยวกับการฝึกดาบให้นางได้อีก และด้วยความสิ้นหวัง ผู้อาวุโสสูงสุด ‘ผู้เฒ่าฮั่นซาน’ จึงออกหน้าด้วยตนเองส่งอาจารย์อาของเจ้าไปที่ ‘วังเทพสวรรค์เมฆา’ ซึ่งเป็นหนึ่งในสี่ขุมกำลังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของต้าเซี่ยเพื่อฝึกฝน”
“ในเวลานั้นวังเทพสวรรค์เมฆาตั้งใจที่จะทดสอบวิถีดาบของอาจารย์อาของเจ้าก่อน ดังนั้นพวกเขาจึงส่งผู้ฝึกตนขอบเขตไร้เบญจธัญสิบแปดคนมาเพื่อสำแดง ‘ค่ายกลดาบตาข่ายสวรรค์’ โดยบอกว่าตราบใดที่อาจารย์อาของเจ้าสามารถต้านทานอำนาจของค่ายกลได้เป็นเวลาหนึ่งถ้วยน้ำชา นางจะได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมเป็นศิษย์สายใน”
“ส่วนผลลัพธ์นั้น…”
พูดถึงเรื่องนี้สีหน้าของหลิงอวิ๋นเหอเปี่ยมล้นไปด้วยความภาคภูมิใจ “เพียงครู่เดียวเท่านั้นอาจารย์อาของเจ้าไม่เพียงแต่ต้านทานอำนาจของ ‘ค่ายกลดาบตาข่ายสวรรค์’ ได้ แต่นางยังสามารถทำลายค่ายกลได้ด้วยดาบเดียว สร้างความตะลึงงันให้แก่ผู้ฝึกตนขอบเขตไร้เบญจธัญทั้งสิบแปดอย่างน่าดูชม”
ใบหน้าของชิงหยาเต็มไปด้วยความชื่นชมและกล่าวว่า “ข้าไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อนเลย!”
หลิงอวิ๋นเหอยิ้มและกล่าวว่า “ในตอนนั้นเจ้ายังเด็กและซุกซน วัน ๆ เอาแต่เล่นกับกินขนมไม่สนใจเรื่องการฝึกฝนแม้แต่น้อย เจ้าจะรู้เรื่องราวเหล่านี้ได้อย่างไร”
ชิงหยายิ้มอย่างเขินอายเล็กน้อย
หยวนเหิงและไป๋เวิ่นฉิงได้ยินเรื่องราวทั้งหมดนี้เช่นกัน จึงทำให้พวกเขาต่างรู้สึกตะลึงใจเมื่อรู้ว่า ‘อาจารย์อา’ ของชิงหยาเป็นอัจฉริยะอันเลิศล้ำอย่างแท้จริง
หลิงอวิ๋นเหอกล่าวต่อ “หลังจากการต่อสู้ครั้งนั้น ตัวตนยิ่งใหญ่ทั้งหมดในวังเทพสวรรค์เมฆาต่างตื่นตัวและแม้แต่ ‘เซียนหานเยียน’ ผู้ซึ่งเก็บตัวอยู่อย่างสันโดษมาสามสิบปีไม่ยอมให้ใครเข้าพบยังต้องเผยกายเปิดด่านเรียกตัวอาจารย์อาของเจ้าเข้าพบ และท้ายที่สุดเขาได้รับอาจารย์อาของเจ้าเป็นศิษย์ผู้สืบทอด”
“เจ้ารู้ไหมว่าอาจารย์อาของเจ้าพูดอะไรในตอนนั้น?”
หลิงอวิ๋นเหอมองที่ชิงหยาด้วยรอยยิ้ม
ชิงหยาตอบกลับอย่างอับอาย “แน่นอน ข้าไม่ทราบ”
หลิงอวิ๋นเหอส่ายหัวและพูดด้วยอารมณ์ “อาจารย์อาของเจ้าพูดว่า นางมาที่วังเทพสวรรค์เมฆาเพียงเพื่อฝึกดาบ และย้อนถามเซียนหานเยียนว่าเขามีคุณสมบัติเหมาะสมพอที่จะสอนดาบนางหรือไม่!”
“เซียนหานเยียนไม่เพียงแต่ไม่โกรธเท่านั้น แต่กลับหัวเราะลั่นก่อนจะกล่าวว่า ถ้าวันหนึ่งเขาไม่สามารถสอนอาจารย์อาของเจ้าได้ เขาจะยกเลิกสถานะอาจารย์และลูกศิษย์ และปล่อยให้อาจารย์อาของเจ้าไปตามทาง”
ชิงหยาชื่นชม “เซียนหานเยียนผู้นี้ช่างมีจิตใจที่กว้างขวางนัก”
หลิงอวิ๋นเหอเอ่ยต่อ “ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา อาจารย์อาของเจ้าอยู่เคียงข้างเซียนหานเยียนโดยตลอดเพื่อฝึกฝนจนเมื่อสามปีที่แล้ว… นางบรรลุจนอยู่ในขอบเขตไร้เบญจธัญขั้นกลาง ซึ่งปัจจุบันนี้ข้าเกรงว่าระดับการบ่มเพาะของนางคงไม่น่าจะอยู่ในขอบเขตไร้เบญจธัญอีกต่อไป
หลังจากได้ยินทั้งหมด หยวนเหิงอดไม่ได้ที่จะพูดว่า “ท่านหลิง ‘อาจารย์อา’ ที่ท่านกำลังพูดถึงนี้มีชื่อเสียงเรียงนามว่าอะไรหรือ?”
ชิงหยาตอบก่อน “เหวินซินจ้าว”
เหวินซินจ้าว?
สำหรับหยวนเหิงและไป๋เวิ่นฉิง นี่เป็นชื่อที่ไม่คุ้นเคย
แต่สำหรับผู้ฝึกตนในต้าเซี่ย มารดาบน้อยผู้นี้โด่งดังเจิดจรัสมานานแล้ว
…
“เท่าที่ข้ารู้ เชื้อสายโคมไฟผีเก็บโลงศพมีผู้สืบทอดอยู่เพียงน้อยนิด มรรคาที่พวกเจ้าแสวงหานั้นพิเศษเกินไป อีกทั้งข้อกำหนดสำหรับทายาทผู้สืบทอดนั้นเข้มงวดมาก ว่าแต่เจ้ามีความเกี่ยวข้องใดกับ ‘ผีเฒ่าแบกโลง’ อย่างนั้นหรือ?”
ในอีกห้องหนึ่ง ซูอี้นอนอยู่บนเก้าอี้อย่างเกียจคร้าน มองดูชายชราตาบอด
ทันทีที่ชายชราตาบอดเข้ามาในห้อง ทั้งร่างโค้งก้มอยู่ตลอด แสดงท่าทีนอบน้อมถ่อมตนและเกรงกลัว
เมื่อได้ยินชื่อ ‘ผีเฒ่าแบกโลง’ ร่างผอมบางของชายชราตาบอดก็สั่นสะท้านอีกครา
เขารีบพูดทันทีว่า “ขอเรียนให้คุณชายทราบตามตรง ‘ผีเฒ่าแบกโลง’ ที่ท่านเอ่ยถึงเป็นนายเหนือหัวของข้าผู้น้อยตาบอด ส่วนตัวข้าผู้น้อยนั้นเป็นรุ่นที่สามของเชื้อสาย ‘โคมไฟผี’ ขอรับ”
ซูอี้ถามด้วยความสนใจมาก “รุ่นที่สาม? เช่นนั้นแล้วใครเป็นอาจารย์ของเจ้า?”
ชายชราตาบอดตอบอย่างสุภาพ “เรียนคุณชายที่เคารพ อาจารย์ของข้ามีนามเต๋าว่า ‘ห้าหลุมศพ’ ส่วนในแดนยมโลก ทุกคนเรียกเขาว่า ‘จ้าวโลงศพโลหิต’”
“จ้าวโลงศพโลหิต?”
ซูอี้ขมวดคิ้วเล็กน้อย พยายามนึกอย่างหนักแต่จำไม่ได้ว่าคน ๆ นี้เป็นใคร
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็ถามอีกครั้ง “แล้วเจ้าล่ะ เหตุใดเจ้าถึงมาปรากฏตัวในทวีปคังชิงแห่งนี้ กฎของเชื้อสายเจ้ามีกำหนดอยู่ไม่หรือว่าเว้นแต่ท่านจะประสบหายนะร้ายแรง เจ้าจะไม่ได้รับอนุญาตให้ออกจากแดนยมโลก”
อันที่จริงก่อนหน้านี้ชายชราตาบอดยังคงสงสัยอยู่บ้างว่าซูอี้คือ ‘คนทวงหนี้’ จริงหรือไม่
แต่เมื่อเห็นว่าซูอี้รู้แม้กระทั่งชื่อ ‘ผีเฒ่าแบกโลง’ และกฎที่ว่าเชื้อสายโคมไฟผีไม่ได้รับอนุญาตให้ออกจากแดนยมโลก ชายชราตาบอดจึงไม่กล้าสงสัยอีกต่อไป
สีหน้าของเขายิ่งดูขมขื่นและกล่าวว่า “คุณชายอาจจะยังไม่รู้ ขณะนี้เชื้อสายโคมไฟผี… ประสบกับหายนะร้ายแรงแล้วจริง ๆ หากข้าผู้น้อยหนีช้ากว่านั้นสักเพียงเล็กน้อย ป่านนี้ผู้น้อยคงไม่ได้มายืนอยู่ที่ตรงนี้เล่าเรื่องราวให้คุณชายได้รับฟัง ทว่าแม้ข้าผู้น้อยจะหนีมาที่ทวีปคังชิงได้สำเร็จ ข้าผู้น้อยนั้นก็พิการอย่างสาหัสและทำได้เพียงพยุงชีวิตตัวเองอยู่รอดได้เท่านั้น”
“หายนะที่เจ้าเผชิญคือการถูกฆ่าล้างเชื้อสายเช่นนี้หรือ? ในแดนยมโลกยังมีผู้ใดที่กล้าทำร้ายเชื้อสายโคมไฟผีเก็บโลงศพอีกงั้นหรือ? คนผู้นั้นไม่เกรงกลัวบรรพบุรุษของเจ้า ‘ผีเฒ่าแบกโลง’ เลยหรือไร?”
ซูอี้ประหลาดใจ
‘ผีเฒ่าแบกโลง’ คือตัวตนที่แปลกประหลาดที่สุดในแดนยมโลก เขาเชี่ยวชาญความลับที่ผู้คนส่วนใหญ่ไม่รู้จักมากมาย
แม้แต่เหล่าผู้สำเร็จขอบเขตจักรพรรดิยังไม่กล้ายั่วยุหากไม่จำเป็นอย่างแท้จริง
ในชีวิตก่อนหน้านี้ ซูอี้เข้าสู่ยมโลกหลายครั้งเพราะต้องการสำรวจความลับต่าง ๆ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการกลับชาติมาเกิดใหม่
ระหว่างท่องแดนยมโลก ซูอี้ได้พานพบกับ ‘ผีเฒ่าแบกโลง’ โดยบังเอิญและพนันกัน
ถ้าซูอี้แพ้ เขาจะมอบดาบ ‘สามชุ่นสะบั้นใจสวรรค์’ ให้แก่อีกฝ่าย
แต่ถ้าหากผีเฒ่าแบกโลงพ่ายแพ้ ซูอี้จะได้รับ ‘โลงศพหกวิถี’
วิธีการเล่นการพนันนั้นพิเศษมาก ทั้งสองจะแข่งขันกันว่าผู้ใดสามารถจับ ‘ปลาแห่งการกำเนิดใหม่’ จาก ‘สระแห่งการกำเนิดใหม่’ ในแดนยมโลกได้ก่อน
ปลาตัวนี้ถือกำเนิดขึ้นจาก ‘พลังแห่งการกำเนิดใหม่’ ซึ่งลึกลับอย่างยิ่งและตัวของมันปรากฏขึ้นเพียงไม่กี่ครั้งตลอดยุคสมัย
ในเวลานั้น ซูอี้และผีเฒ่าแบกโลงนั่งรออยู่หน้าสระแห่งการกำเนิดใหม่เป็นเวลาถึงร้อยปี ในท้ายที่สุดซูอี้ใช้เต๋าอันยิ่งใหญ่ของตนเองเป็นตัวล่อและดึงดูดปลาให้เข้าหาตัวเขา
แม้ว่าในท้ายที่สุด ปลาตัวนี้จะหนีรอดไปได้
แต่ผีเฒ่าแบกโลงทำได้เพียงยอมรับความพ่ายแพ้เท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ผีเฒ่าแบกโลงนั้นโกหกตั้งแต่แรก ภายหลังเขายอมรับว่า ‘โลงศพหกวิถี’ ยังไม่ได้อยู่ในมือของเขา แต่ถูกฝังลึกอยู่ในที่ที่ไม่มีใครรู้จักในยมโลกซึ่งเมื่อใดที่สมบัตินี้ปรากฏขึ้น เขาจะเอามามอบให้ซูอี้…
เป็นผลให้ซูอี้กลายเป็น ‘คนทวงหนี้’ ของผีเฒ่าแบกโลง
ต่อมา จนกระทั่งเขากลับชาติมาเกิด ซูอี้ไม่เคยเห็นผีเฒ่าแบกโลงอีกเลย
แต่ซูอี้ไม่คาดคิดเลยว่า ตอนนี้เชื้อสายของผีเฒ่าแบกโลงกลับถูกใครสักคนตามกวาดล้าง!
“ผู้ท่านผู้นำของเราหายตัวไปนานแล้ว ตามที่อาจารย์ของข้าผู้น้อยกล่าว ท่านผู้นำออกไปตามหา ‘โลงศพหกวิถี’ ส่วนภัยพิบัติที่เกิดกับเชื้อสายของเราเกิดขึ้นเมื่อห้าร้อยปีที่แล้ว”
เมื่อชายชราตาบอดกล่าวประโยคนี้ สีหน้าของเขาค่อนข้างซับซ้อนเต็มไปด้วยอารมณ์ ทั้งความกลัวและความวิตกกังวล
ห้าร้อยปีที่แล้ว!
ซูอี้ขมวดคิ้ว นั่นไม่ใช่ปีที่เขาตายหรอกหรือ?
“เกิดอะไรขึ้น?” ซูอี้ถาม
ชายชราตาบอดส่ายหัวแล้วพูดว่า “ข้าผู้น้อยไม่รู้สาเหตุเลย ข้าจำได้แค่ว่าตอนนั้นข้าเก็บตัวบ่มเพาะอยู่ในถ้ำ แต่แล้วจู่ ๆ วันหนึ่งอาจารย์ของข้ามาหาอย่างเร่งรีบและบอกว่ามีจักรพรรดิผู้ทรงพลังที่มีนามว่า ‘ผีหมัว’ บุกเข้ามายังแดนยมโลก จักรพรรดิผู้นั้นต้องการค้นหาท่านผู้นำเพื่อสอบถามบางอย่าง…”
เมื่อได้ยินประโยคนี้ ซูอี้ยิ่งขมวดคิ้วแน่นกว่าเดิม ผีหมัว!?
นั่นคือชื่อลูกศิษย์คนโตของเขา!
เขาเป็นคนตั้งชื่อนามเต๋านี้มอบให้กับลูกศิษย์คนโตของเขาด้วยตัวเองเมื่อชีวิตก่อนหน้า!
ผีหมัว นั้นหมายความว่า ‘ไร้มลทิน’
แต่หลังจากที่ซูอี้สิ้นใจ ศิษย์คนโตของเขาผู้นี้กลับกลายเป็นคนทรยศหลักที่สมรู้ร่วมคิดกับศัตรูภายนอก…
เรื่องนี้เป็นแผลเป็นในหัวใจของซูอี้มานานแล้ว!
หลังจากปลุกความทรงจำเกี่ยวกับชีวิตในอดีตของเขาในเมืองกว่างหลิง ซูอี้ได้ตัดสินใจว่าเมื่อใดที่เขากลับไปเก้ามหาแดนดิน เขาจะชำระบัญชีนี้ให้สาสม
ไม่คาดคิดเลยว่าจะได้ยินชื่อศิษย์ทรยศผู้นี้อีกครั้งจากปากของชายชราตาบอดในวันนี้!
ชายชราตาบอดนั้นหาได้ทราบไม่ว่าตนเองได้ทำให้ซูอี้สั่นไหว เขากล่าวต่อไปอีกว่า
“ในตอนนั้น ท่านผู้นำของเราได้หายตัวไปหลายปีแล้ว และเมื่อผีหมัวหาผู้นำของเราไม่พบ ดังนั้นเขาจึงคิดแผนจับตัวอาจารย์ของข้าผู้น้อยไปโดยคิดว่าไม่ช้าก็เร็วท่านผู้นำของเราข้าจะต้องปรากฏตัวขึ้นอย่างแน่นอน…”
“ทว่าอาจารย์ของข้าจะยอมถูกจับเป็นเครื่องมือต่อรองได้อย่างไร? ท้ายที่สุดอาจารย์ของข้าผู้น้อยจึงได้ใช้ทักษะลับระเบิดพลังชีวิตของตนเองจนสามารถหนีจากผีหมัวมาได้ แต่ทว่าเมื่อกลับถึงสำนัก สภาพของท่านอาจารย์นั้นร่อแร่ใกล้ตายเต็มทนจากอาการบาดเจ็บอันสาหัสร้ายแรง”
แววตาของชายชราตาบอดนั้นเต็มไปด้วยความเคียดแค้นและเศร้าโศก “เพื่อที่จะรักษาเชื้อสายโคมไฟผีให้อยู่รอดสืบไป ก่อนที่ท่านอาจารย์ของข้าผู้น้อยจะตาย เขาได้ใช้พลังเจตจำนงของบรรพบุรุษทุกรุ่นที่เหลืออยู่เปิดใช้พลังของ ‘กงล้อศักดิ์สิทธิ์แห่งแดนยมโลก’ ส่งข้าออกไปจากแดนยมโลกใต้พิภพ… ”
ชายชราตาบอดถอนหายใจ “แต่ข้าผู้น้อยประมาทอำนาจแห่งกงล้อศักดิ์สิทธิ์แห่งแดนยมโลกมากเกินไป ในระหว่างที่ข้าถูกส่งตัวออกจากแดนยมโลก พลังของกงล้อมันกัดเซาะทั้งร่างกาย ทั้งเต๋าของข้าผู้น้อย และวิญญาณทั้งสามและจิตทั้งเจ็ดก็แทบจะแตกสลาย”
“แม้ว่า ในที่สุดข้าผู้น้อยจะมาถึงทวีปคังชิงได้สำเร็จ สิ่งที่ต้องเสียไปนั้นยิ่งใหญ่นัก ผู้น้อยขณะนี้เหลือเพียงหนึ่งวิญญาณหนึ่งจิต ดังนั้นทุกวันนี้จึงต้องแสร้งทำตัวเป็นผีชราในตลาดผี เพื่อมีชีวิตอยู่ต่อไป”
หลังจากพูดจบประโยค สีหน้าของชายชราตาบอดเปลี่ยนเป็นเศร้าสร้อยอย่างชัดเจน เรื่องนี้อยู่ในใจเขามาเป็นเวลานาน และเขาคิดว่าไม่มีใครในทวีปคังชิงนี้จะล่วงรู้ว่าเขาคือเชื้อสายของ ‘โคมไฟผี’
ไม่คาดคิดเลยว่าวันนี้จะได้พบกับผู้ที่จดจำเขาได้ว่าแท้จริงแล้วเขาเป็นใคร และยิ่งไปกว่านั้นอีกฝ่ายน่าจะเป็นทายาทของ ‘คนทวงหนี้’!
หลังจากฟังทั้งหมดแล้ว ซูอี้จึงขมวดคิ้วและพูดว่า “สรุปแล้วเจ้าไม่รู้เลยงั้นหรือว่าเหตุใดผีหมัวถึงตามหาผู้นำของเจ้า?”
ชายชราตาบอดส่ายหัว “เมื่อตอนนั้นสถานการณ์ที่เกิดขึ้นฉุกละหุกจนเกินไป อาจารย์ของข้าผู้น้อยมีหลายสิ่งที่อยากจะบอกเล่าให้แก่ตัวข้าฟังเช่นกัน แต่เราไม่มีเวลาเพียงพอ ท้ายที่สุดท่านอาจารย์จึงทำได้เพียงรีบส่งข้าออกจากแดนยมโลกโดยเร็วที่สุดเท่านั้น บัดนี้ ข้าผู้น้อยยังสงสัยอยู่ว่าผีหมัวผู้นั้นเป็นใคร และทำไมเขาถึงทำเช่นนี้”
ซูอี้เงียบ
เมื่อห้าร้อยปีที่แล้ว เขาตายเพื่อต้องการเกิดใหม่
ที่น่าแปลกก็คือในปีเดียวกันนั้นเอง ผีหมัวกลับบุกเข้าไปในยมโลก ตามหาผีเฒ่าแบกโลงเพื่อสอบถามบางอย่าง แต่โชคดีที่ผีเฒ่าแบกโลงออกไปตามหาโลงศพหกวิถีเสียก่อน จึงกลายเป็นว่ารอดตัวไปได้อย่างหวุดหวิด
เรื่องนี้ทำให้ซูอี้สงสัยว่าศิษย์คนโตของเขาคงน่าจะต้องการสอบถามเกี่ยวกับบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับเขาจากปากของผีเฒ่าแบกโลง
“อาจเป็นเพราะว่าหลังจากที่ข้าตาย ทว่าทั้งศพและดาบเก้าคุมขังของข้ากลับไม่มีผู้ใดพบเจอ ผีหมัวจึงต้องการหาคำตอบ?”
“ไม่ผิดแน่ ศิษย์ทรยศผู้นี้เคยได้ยินข้าพูดถึงประสบการณ์ของข้าในยมโลก และรู้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างข้าและผีเฒ่าแบกโลง เขาจึงไปหาผีเฒ่าแบกโลง บางทีอาจจะอยากถามถึงเรื่องเกี่ยวข้องกับการเกิดใหม่ของข้า…”
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ดวงตาของซูอี้เย็นชาลึกล้ำ น่าสะพรึงกลัวจนขนหัวลุก