บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 433 การค้ามาถึงหน้าประตู
ตอนที่ 433: การค้ามาถึงหน้าประตู
ตอนที่ 433: การค้ามาถึงหน้าประตู
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง ซูอี้ก็ถามชายชราตาบอดว่า “ยามที่เจ้ายังรุ่งโรจน์ ขอบเขตบ่มเพาะของเจ้าอยู่ในระดับใด?”
เฒ่าบอดชราถอนหายใจ “อยู่ห่างจากขอบเขตจักรพรรดิเพียงก้าวเดียวเท่านั้น แต่ยามนี้ดูเหมือนว่าชั่วชีวิตนี้ข้าเกรงว่าจะไม่สามารถฟื้นฟูการฝึกฝนได้เหมือนในอดีต นับประสาอะไรกับก้าวเข้าสู่ขอบเขตจักรพรรดิ”
“ยามนี้ ความปรารถนาเพียงอย่างเดียวของข้าคือการหาผู้สืบทอดที่เหมาะสมเพื่อส่งต่อสายเลือดโคมไฟผีเก็บโลงศพ ทว่า โชคร้าย…”
เฒ่าบอดพูดอย่างช่วยไม่ได้ “สิ่งนี้ถึงแม้จะมีบางคนที่พอเหมาะสม แต่ก็ยากเกินไปที่จะหาต้นกล้าที่ดีซึ่งสามารถสืบทอดเชื้อสายของเราได้”
ซูอี้กล่าวว่า “เชื้อสายของเจ้าช่างพิเศษเกินไปจริง ๆ”
ในช่วงร้อยปีที่เขาตกปลา ณ สระแห่งการเกิดใหม่ เขากับผีเฒ่าแบกโลงได้พูดคุยกันหลาย ๆ เรื่อง จึงย่อมทราบว่าเงื่อนไขในการเลือกผู้สืบทอดของผีเฒ่าแบกโลงมีเพียงข้อเดียว นั่นคือ…
พรสวรรค์ ‘กระดูกหยินแห่งยมโลก’!
พรสวรรค์นี้ ไม่ต้องพูดถึงในเก้ามหาแดนดิน แม้แต่ดินแดนมืดมิดเองก็หายากยิ่ง และแทบเป็นไปไม่ได้ที่จะพบเจอ
ไม่ใช่เพราะพรสวรรค์นี้ทรงพลัง แต่เป็นเพราะมรดกตกทอดจากสายเลือดโคมไฟผีเก็บโลงศพ มีเพียงพรสวรรค์ของกระดูกหยินแห่งยมโลกเท่านั้นจึงจะอดทนและสามารถเรียนรู้มันได้
นี่เป็นสาเหตุที่ทายาทของผีเฒ่าแบกโลงนั้นหาตัวยาก
“ในมหาทวีปคังชิงอีกไม่กี่ปีที่จะเข้าสู่ช่วงแสงสว่างแห่งโลกกว้าง เมื่อถึงตอนนั้นโลกนี้จะมีเมล็ดพันธุ์แห่งการฝึกฝนเกิดขึ้นมากมาย ซึ่งเป็นโอกาสดีสำหรับเจ้าที่จะหาผู้สืบทอดต่อไปได้”
ซูอี้กล่าว
ชายชราตาบอดพยักหน้าและพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ชายชราเองก็มีแผนเช่นนั้น เหตุผลที่ข้าอยู่ในเมืองผีแห่งนี้ตลอดหลายปีที่ผ่านมาก็เพื่อเฟ้นหาผู้สืบทอด รวมทั้งหมายรวบรวมสมบัติและวัตถุจิตวิญญาณที่เหมาะสมกับการฝึกฝน”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้น “ชายชราขอบังอาจถามถึงความสัมพันธ์ระหว่างคุณชายกับ… ‘คนทวงหนี้’ ผู้นั้นได้หรือไม่?”
“คนทวงหนี้?”
ซูอี้ตะลึงครู่หนึ่งก่อนพลันเข้าใจ เขาจึงอดกล่าวขึ้นมาไม่ได้ว่า “เมื่อผู้เฒ่าของเจ้าปรากฏตัวขึ้นในโลกอีกครั้ง เขาย่อมรู้เองว่าข้าเป็นใคร”
คนตาบอดชราได้ยินแล้วจะไม่ทราบได้อย่างไรว่าซูอี้ไม่ต้องการพูดอีก เขาจึงไม่ถามต่ออย่างรู้ความ
ซูอี้คิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนเอ่ย “ในอนาคต ถ้าเจ้าต้องการความช่วยเหลือ เจ้าสามารถมาหาข้าได้ จำไว้ว่าข้ามีนามว่าซูอี้”
ทั้งหมดนี้เกี่ยวข้องกับผีหมัว
ซึ่งเหตุผลที่ผีหมัวทำเช่นนี้เป็นไปได้อย่างมากว่าจะเกี่ยวข้องกับการกลับชาติมาเกิดของเขา
นี่ทำให้ในใจซูอี้สุมด้วยโทสะ ทว่าเขาเองก็ค่อนข้างรู้สึกละอายใจต่อพวกเฒ่าบอดไม่น้อย
เพราะถึงอย่างไร คนกลุ่มนี้ก็ถูกเขาลากเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยจนต้องประสบกับภัยพิบัติที่ไม่อาจคาดเดา
“ซูอี้…”
เฒ่าบอดท่องมันในใจ แล้วกล่าวด้วยความเคารพว่า “เช่นนั้นชายชราต้องขอบคุณคุณชายล่วงหน้า”
ในใจของเขา ซูอี้ดูเหมือนจะมีบทบาทในฐานะ ‘คนทวงหนี้’ เขาจึงไม่กล้าไม่ถือคำพูดของซูอี้เป็นจริงเป็นจัง
ทว่าถึงอย่างไรซูอี้ก็อยู่เพียงขอบเขตไร้เบญจธัญเท่านั้น และเขาก็ยังเด็กเกินไป เฒ่าบอดคิดกับตัวเอง แม้ว่าตนจะเจอปัญหาใด ๆ ก็ตาม เกรงว่าเขาคงจะไม่สามารถพึ่งพาอีกฝ่ายได้จริง ๆ
แล้วซูอี้จะมองความคิดของเฒ่าบอดไม่ออกได้อย่างไร?
เขาไม่ได้อธิบายอะไร เพียงหยิบแผ่นหยกออกมา ครุ่นคิดครู่หนึ่ง และสลักเคล็ดวิชาลับลงในนั้น
จากนั้นเขาก็ยื่นแผ่นหยกให้เฒ่าบอดและกล่าวว่า “นี่เป็นวิธีการ ‘รวมวิญญาณและเปลี่ยนจิต’ ในวิถีพุทธ แต่เจ้าต้องรวบรวมโอสถหายากบางอย่างมาเสริม เพื่อช่วยเติมเต็มวิญญาณและรักษาจิตที่เสียหาย รักษาไว้ให้ดีและอย่าปล่อยให้รั่วไหลออกไป มิฉะนั้นมันจะนำภัยพิบัติมา”
เฒ่าบอดตะลึงไปครู่หนึ่ง จากนั้นเขาก็ตื่นเต้นจนมือเท้าสั่นเทาและแทบพูดไม่ออก “วิธีรวมวิญญาณและเปลี่ยนจิต? มันมีเคล็ดวิชาเช่นนั้นอยู่ในโลกด้วยหรือ!”
ทุกชีวิตต่างมีจิตวิญญาณ
เช่นเดียวกับมนุษย์ ซึ่งประกอบไปด้วยสามวิญญาณและเจ็ดจิต
หากจิตวิญญาณของมนุษย์ทั่วไปแตกสลาย พวกเขาจะตายทันที
จิตวิญญาณที่แตกสลายของผู้ฝึกฝนสามารถอยู่รอดได้ แต่มันแทบไม่มีความหวังที่จะซ่อมแซม
เฒ่าบอดในปัจจุบันประสบภัยพิบัติครั้งใหญ่มาจึงเหลือเพียงหนึ่งวิญญาณหนึ่งจิต นั่นคือเหตุผลที่เขากล่าวว่าตนไม่สามารถฟื้นฟูพลังฝึกฝนกลับไปยังช่วงรุ่งโรจน์ในอดีตได้อีกต่อไป
อันที่จริง เมื่อวิญญาณแตกสลาย การซ่อมแซมย่อมยากกว่าการปีนขึ้นไปบนสวรรค์
เท่าที่เฒ่าบอดรู้ แม้อาจารย์ของเขาที่ก้าวเข้าสู่ขอบเขตจักรพรรดิจะยังมีชีวิตอยู่ อีกฝ่ายก็คงทำอะไรไม่ได้
ทว่ายามนี้ ซูอี้ได้เผยวิธีลับในการรวมวิญญาณและฟื้นฟูจิตออกมา!!
เฒ่าบอดจะไม่ประหลาดใจได้อย่างไร?
“จริงหรือไม่จริงก็ลองพิสูจน์ดูเสียสิ”
ซูอี้กล่าวอย่างไม่แยแส
ทักษะลับในแผ่นหยกที่เรียกว่า ‘วิถีแปรผันปฐมจิตวิญญาณ’ เป็นสิ่งที่สืบทอดต่อกันมาอย่างลับ ๆ ใน ‘แดนบูรพาน้อย’ ซึ่งเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งแรกของวิถีพุทธในเก้ามหาแดนดิน โดยถูกใช้เพื่อซ่อมแซมและบ่มเพาะจิตวิญญาณโดยเฉพาะ
ก่อนหน้านี้ เหตุผลที่ซูอี้บอกไม่ให้เฒ่าบอดเปิดเผยวิธีลับนี้ออกไป เพราะเขากังวลว่าหากเฒ่าบอดเจอผู้ฝึกตนชาวพุทธแห่งแดนบูรพาน้อยในอนาคต อีกฝ่ายอาจจะถูกตามล่า…
เฒ่าบอดถือแผ่นหยกไว้ในมือแล้วพูดอย่างตื่นเต้นว่า “ไม่จำเป็นต้องลอง ชายชราเชื่อว่าคุณชายซูจะไม่หลอกลวงชายชราในเรื่องดังกล่าวอย่างแน่นอน”
หลังจากพูดเสร็จเขาก็คุกเข่าลงโขกศีรษะ “เคล็ดอันล้ำค่าที่คุณชายมอบให้ชายชรา ไม่ต่างจากการมอบชีวิตใหม่ ในอนาคตชายชราจะตอบแทนบุญคุณของท่านเป็นอย่างดี!”
ซูอี้ถอนหายใจเบา ๆ “นี่คือสิ่งที่ข้าควรทำ ภายหลังเจ้าจะเข้าใจเอง ลุกขึ้น ข้าหมดคำถามแล้ว”
จู่ ๆ ก็มีเสียงเคาะประตูด้านนอกลานบ้าน
หลิงอวิ๋นเหอ หยวนเหิง และพรรคพวกที่กำลังพักผ่อนอยู่ในห้องโถงใหญ่ก็ได้ยินเสียงเคาะประตูเช่นกัน
“เป็นไปได้หรือไม่ว่าอารองมาถึงแล้ว แต่นี่มันเร็วเกินไปหรือไม่?”
ดวงตาของชิงหยาเป็นประกาย นางลุกขึ้นทันที และรีบวิ่งออกไปราวกับสายลม
แต่เมื่อนางเปิดประตูลานบ้านออก นางกลับพบว่าผู้ยืนอยู่ข้างนอกไม่ใช่อารองเหวินซินจ้าวอย่างที่นางคิด
แต่เป็นกลุ่มผู้ฝึกตน!!
“ยัยหนู เราพบกันอีกแล้ว”
ผู้นำมาเป็นชายชราผมขาวสวมชุดดำ เขาพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม
คนผู้นี้คืออวี๋ซ่างหลิน ผู้ฝึกตนจากพรรคมารหยิน!!
“ที่แท้ก็เป็นเจ้า”
ชิงหยาตกตะลึง
เมื่อพวกเขาอยู่ที่ศาลเจ้าหลักเมืองในวันนี้ คนผู้นี้ได้เชื้อเชิญพวกเขาให้ไปพบบุตรสวรรค์เนี่ยเฟิงแห่งพรรคมารหยิน แต่ถูกซูอี้ปฏิเสธ
ในเวลานี้ หลิงอวิ๋นเหอและหยวนเหิงก็ออกมาเช่นกัน
เมื่อพวกเขาเห็นอวี๋ซ่างหลินและผู้ฝึกตนรอบตัวอีกฝ่าย คิ้วของหลิงอวิ๋นเหอก็ย่นเข้าหากันเล็กน้อย “สหายเต๋าช่างเก่งกาจนัก กระทั่งที่นี่ยังหาพบ”
อวี๋ซ่างหลินยิ้มเล็กน้อยและกล่าวว่า “ไม่ละอายที่จะพูดเรื่องใหญ่ ถ้าเป็นในเมืองแห่งนี้ ไม่มีที่ใดที่เราหาไม่พบ”
หลังจากหยุดชั่วครู่ เขาก็ประสานหมัดแล้วพูด “อย่าเข้าใจผิดไป พวกเรามาที่นี่หาได้มีเจตนาร้าย ตรงข้าม พวกเราต้องการทำการค้ากับสหายบางคนข้างกายท่าน”
หลังจากพูด เขาก็เหลือบมองไปทางหลิงอวิ๋นเหอและคนอื่น ๆ ก่อนจะถามอย่างสับสน “ข้าขอถามว่าคุณชายในชุดเขียวอยู่ที่นี่หรือไม่?”
หลิงอวิ๋นเหอและคนอื่น ๆ เข้าใจทันทีว่าอวี๋ซ่างหลินกับพวกกำลังมองหาซูอี้
“นายท่านของข้ากำลังต้อนรับแขกอยู่ ถ้าเจ้ามีอะไรจะพูดก็พูดมาเถิด”
หยวนเหิงกล่าวอย่างเคร่งขรึม
อวี๋ซ่างหลินขมวดคิ้วอย่างไตร่ตรอง “ข้าขอพบเจ้านายของเจ้าด้วยตนเองได้หรือไม่? ถ้าเจ้ากังวล ข้าสามารถไปหาคุณชายผู้นั้นตามลำพังได้”
หลิงอวิ๋นเหอคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ได้โปรดเข้ามา”
อวี๋ซ่างหลินหัวเราะอย่างกะทันหัน และพูดกับผู้ฝึกตนที่อยู่รอบ ๆ ตัวเขาว่า ” พวกเจ้าควรรออยู่ข้างนอก จำไว้ อย่าใช้จิตสัมผัสสอดแนมสิ่งของในลานบ้าน เพื่อไม่ให้เกิดความเข้าใจผิดโดยไม่จำเป็น”
ผู้ฝึกตนทั้งหมดพยักหน้า
จากนั้น เขาก็เข้าไปในลานคนเดียว
หยวนเหิงรีบไปที่ห้องของซูอี้เพื่อรายงาน
ซูอี้อดคิดไม่ได้สักครู่แล้วลุกขึ้นเดินไปยังทางออกแล้วพูดว่า “ไปสิ ข้าอยากรู้เช่นกันว่าเขาต้องการทำการค้าใด”
เฒ่าบอดและหยวนเหิงติดตามไป
ในลานบ้าน เมื่อเขาเห็นซูอี้เดินออกมา อวี๋ซ่างหลินที่รออยู่ก็เอ่ยทักทายทันที เขายิ้มและพูดว่า “อวี๋ผู้นี้คารวะคุณชาย”
คนผู้นี้เองก็เป็นผู้ฝึกฝนขอบเขตรวบรวมดารา อีกทั้งเขายังมาจากพรรคมารหยิน ดังนั้นภายในเมืองซานอิ่นจึงไม่ต่างจากอาณาเขตของเขา
ทว่า เมื่อเผชิญหน้ากับซูอี้ มารยาทไม่อาจกล่าวว่าไม่สุภาพ ท่าทีไม่อาจกล่าวว่าไม่อ่อนน้อม
ซูอี้พยักหน้าพลางกล่าว “บอกข้ามา เจ้าคิดจะทำการค้าใด?
อวี๋ซ่างหลินตกตะลึงไปครู่หนึ่ง คล้ายไม่คิดว่าซูอี้ที่เป็นเพียงชายหนุ่มขอบเขตไร้เบญจธัญ เมื่อเผชิญหน้ากับเขาจะพูดออกมาตรง ๆ โดยไม่คิดเชิญเขาเข้าไปนั่งในโถงตามมารยาทเลย…
หากเป็นเวลาอื่น อย่าว่าแต่ผู้ฝึกตนขอบเขตไร้เบญจธัญเลย ต่อให้เป็นผู้ที่อยู่ขอบเขตเปิดทวารก็ไม่อยู่ในสายตาของเขา!
แม้ว่าในใจของเขาจะคิดอย่างนั้น แต่อวี๋ซ่างหลินก็ยิ้มออกมาอย่างอบอุ่น “คุณชายช่างตรงไปตรงมานัก เช่นนั้นอวี๋ผู้นี้ก็จะพูดตรง ๆ ความจริงคุณชายของข้าสังเกตเห็นว่ามีร่างวิญญาณบริสุทธิ์ในน้ำเต้าปลุกวิญญาณของคุณชาย…”
ซูอี้ขมวดคิ้วเมื่อได้ยินเรื่องนี้ เขาจึงเอ่ยขัดขึ้น “ถ้าเจ้ามาที่นี่เพื่อสิ่งนี้ ก็ล้มเลิกไปเสีย”
หลิงอวิ๋นเหอ หยวนเหิง และคนอื่น ๆ ต่างพากันขมวดคิ้ว ตอนนี้เองที่พวกเขาเพิ่งทราบว่าผู้ฝึกตนจากพรรคมารหยินเหล่านี้มาเพื่อชิงหว่าน!
ซูอี้จะตกลงทำการค้าดังกล่าวได้อย่างไร?
อวี๋ซ่างหลินไม่ทราบเรื่องนี้ แม้ว่าเขาจะถูกปฏิเสธโดยซูอี้ เขาก็ไม่ได้จริงจังกับมันและพูดขึ้นพลางแย้มยิ้ม
“เอาเช่นนี้ ตราบใดที่คุณชายยอมตัดใจ ไม่ว่าคุณชายต้องการสิ่งใดขอเพียงเสนอมา ตราบเท่าที่ข้าทำได้ ข้าสัญญาว่าจะไม่บอกปัด!”
เขาพูดอย่างกล้าหาญและเสียงดัง
ซูอี้ไม่แยแส เขาไม่สนใจที่จะมองคนผู้นี้อีกจึงโบกมือแล้วพูดว่า “หยวนเหิง ส่งแขก”
“ขอรับ!”
หยวนเหิงก้าวไปข้างหน้าทันทีและพูดว่า “สหายผู้นี้ ถึงเวลาที่ต้องจากไปแล้ว”
รอยยิ้มบนใบหน้าของอวี๋ซ่างหลินแข็งค้างและความมืดมนก็ค่อย ๆ ปรากฏขึ้นระหว่างคิ้วของเขา
เขาเชื่อว่าท่าทางของตนอ่อนน้อมและจริงใจพอแล้ว แต่ไม่เคยคิดว่าชายหนุ่มในขอบเขตไร้เบญจธัญจะไม่ยอมไว้หน้ากันเลย!
อวี๋ซ่างหลินสูดหายใจเข้าลึก แล้วมองไปยังหลิงอวิ๋นเหอพลางกล่าว “สหายเต๋า ข้ากล่าวว่าตราบเท่าที่เจ้ายินยอมตัดใจจากของรัก ไม่ว่าจะเป็นเงื่อนไขใด ข้าก็สามารถตอบสนองได้ทั้งหมด เจ้า… เจ้าตั้งใจไม่ไว้หน้าอวี๋ผู้นี้จริง ๆ หรือ?”
ในความเห็นของเขา ที่ซูอี้มั่นใจมากก็เพราะเขามีหลิงอวิ๋นเหอ ผู้ฝึกตนในขอบเขตรวบรวมดาราคอยสนับสนุน
หลิงอวิ๋นเหอกล่าวด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ว่า “แล้วจะอย่างไรถ้าข้าไม่ไว้หน้าที่ไร้ยางอายของเจ้า? เจ้าคิดจะใช้กำลังชิงไปรึ?”
เมื่อเห็นเช่นนี้ อวี๋ซ่างหลินก็อดถอนหายใจออกมาไม่ได้แล้วพูดด้วยสีหน้าเศร้า ๆ “ก่อนข้าจะมา คุณชายของครอบครัวข้าบอกว่าในการค้าขาย หากทำได้ก็ให้สุภาพหน่อย แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่า… จะไม่ลงมือไม่ได้จริง ๆ”