บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 436 ธงนภาแปดฉาก
ตอนที่ 436: ธงนภาแปดฉาก
ตอนที่ 436: ธงนภาแปดฉาก
“คุณชายไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่?”
เฒ่าบอดปรากฏตัวอยู่ด้านข้างซูอี้
ซูอี้ส่ายหน้า และเอ่ย “ครานี้เป็นข้าที่ดูถูกบุคคลที่มีชีวิตรอดจากการจองจำแห่งยุคมืดเมื่อสามหมื่นปีก่อนเอง ทำให้ในตอนท้ายเขาหนีไปได้”
บุตรสวรรค์เนี่ยเฟิงผู้นี้ไม่ธรรมดาจริง ๆ มีระดับการบ่มเพาะอยู่ในขอบเขตเปิดทวาร ทว่ามีพลังมากพอจะสังหารฮูหยินเมี่ยวหัวและคนอื่น ๆ ที่อยู่ขอบเขตรวบรวมดาราได้
การโจมตีก่อนหน้านี้ของซูอี้ เดิมทีคิดว่าสามารถสังหารบุตรสวรรค์เนี่ยเฟิงได้ แต่ไม่นึกเลยว่า กลับทำให้อีกฝ่ายได้รับบาดเจ็บสาหัสเพียงเท่านั้น
เมื่อคิดในยามนี้ ซูอี้ก็ตระหนักได้ทันที ที่อีกฝ่ายมีชีวิตรอดจากการโจมตีของเขานั้น แสดงว่าคนผู้นี้จะต้องมีอาวุธป้องกันที่แกร่งกล้าติดตัวเอาไว้เป็นแน่
นอกจากนี้ คนผู้นี้ยังมีไพ่ตายรักษาชีวิตที่ไม่ธรรมดาอยู่
เฉกเช่นไข่มุกวิญญาณสีเงินเมื่อครู่ อานุภาพที่ระเบิดออกมาเทียบได้กับตัวตนในขอบเขตสยายวิญญาณที่ใช้พลังทั้งหมด ทำให้ซูอี้จำต้องหลบเลี่ยง
“ดูเหมือนปีศาจเฒ่าตนนั้น จะสามารถมีชีวิตรอดในความเงียบสามหมื่นปีมาได้ เช่นนั้นเขาจะต้องมีภูมิหลังที่ไม่ธรรมดาเป็นแน่ ยิ่งไปกว่านั้น ก่อนที่จะเข้าสู่ภาวะจำศีล ผู้อาวุโสของเขาจะต้องเตรียมวิธีการรักษาสำหรับเขาเอาไว้อย่างหลากหลาย ดังนั้นในบรรดาผู้ฝึกตนวิถีต้นกำเนิดในมหาทวีปคังชิงยามนี้ บุคคลเช่นนี้… จึงเรียกได้ว่าเป็นตัวตนที่เก่งกาจนัก!”
เฒ่าบอดเอ่ย “แต่คุณชายก็ทำให้เขาบาดเจ็บสาหัสได้อย่างง่ายดาย ไม่นับว่าแย่อะไร และข้าเดาว่า ในบรรดาผู้ฝึกตนวิถีต้นกำเนิดทั่วหล้านี้ เกรงว่าคงมิอาจหาผู้ใดมาเทียบเคียงกับคุณชายได้”
ชายชราสายเลือดโคมไฟผีเก็บโลงศพผู้นี้ มีวิธีประจบสอพลอที่เรียกได้ว่าไม่เป็นรองใคร ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร ตราบใดที่เกี่ยวข้องกับซูอี้ เขาก็สามารถหาคำเยินยอออกมาได้เสมอ
นับว่าเป็นคนแปลกประหลาดมากผู้หนึ่ง
“แต่อย่าได้ดูแคลนวีรบุรุษทั่วใต้หล้าเชียว”
ขณะที่ซูอี้เอ่ยอยู่ เขาก็เอามือไพล่หลัง และเดินออกไป
“คุณชาย แล้วจะทำอย่างไรกับคนของพรรคมารหยินเหล่านั้น?”
เฒ่าบอดรีบเอ่ยถาม
ที่เขากล่าวถึงคือเลี่ยนเหลิ่งเยว่และคนอื่น ๆ
“ข้าบอกไปแล้วไม่ใช่รึ แค่ตัดหัวคนชั่วช้าก็พอ แล้วก็… ประโยคที่เจ้าพูดก่อนหน้านี้ถูกใจข้ามาก เทพเซียนไม่ควรลดตัวไปลงมือกับมดปลวก เฉกเช่นดาบของแม่ทัพที่ไม่ได้มีไว้สังหารแมลงวัน”
ซูอี้ไม่หันกลับไปมอง พลางลอยออกไป
เฒ่าบอดชะงักค้าง ก่อนหัวเราะเสียงดังออกมาและตามหลังไป
ด้านหลังของพวกเขา มีเลี่ยนเหลิ่งเยว่และคนอื่น ๆ ที่บาดเจ็บสาหัสนอนเกลื่อนอยู่บนพื้น ซึ่งขณะนี้พวกเขาต่างมีความรู้สึกปีติยินดีราวกับรอดตายจากการถูกลงทัณฑ์
…..
“คุณชาย ข้าต้องจากไปแล้ว”
ระหว่างทาง ชายชราตาบอดลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยเสียงแผ่ว “หากจากนี้ไปคุณชายมีสิ่งใดต้องการให้ข้าช่วย เพียงแค่จุดไฟ ‘โคมสวรรค์’ นี้ ตราบใดที่อยู่ภายในอาณาเขตต้าเซี่ย ภายในหนึ่งวัน ข้าจะปรากฏออกมาอยู่ต่อหน้าคุณชาย”
เขานำโคมไฟกระดาษสีดำขนาดเท่าฝ่ามือออกมา พลางใช้สองมือส่งไปให้ซูอี้
ซูอี้รับสิ่งนี้มา แล้วถือขึ้นมาสำรวจไปพลางขณะเอ่ย “อย่าลืมคำพูดของข้า หากเจอเรื่องลำบาก ก็มาหาข้าได้ และข้าเชื่อว่าด้วยความสามารถของเจ้า การหาตัวข้าคงมิใช่เรื่องลำบากอะไร”
เฒ่าบอดยิ้มออกมา “ข้าน้อยจำได้ขึ้นใจแล้ว”
ไม่นาน ชายชราก็แยกจากไป
เมื่อร่างผอมจนเห็นกระดูกลับตาไปแล้ว ซูอี้จึงถอนหายใจออกมาเบา ๆ
เขากลับไม่นึกเลยว่า บุญคุณความแค้นในชาติก่อนที่เกี่ยวข้องกับเขา จะพัวพันไปถึงเชื้อสายโคมผีเก็บโลงศพ
“ผีหมัว… ก่อนข้าจะกลับมาผงาดในเก้ามหาแดนดินอีกครั้ง เจ้าห้ามตายเด็ดขาด…”
ซูอี้พึมพำ ท่าทางสงบนิ่งราวกับแม่น้ำ
…..
ภายในลานบ้าน
หลังจากที่ซูอี้กลับมา ก็เอนกายอยู่บนเก้าอี้หวายอย่างเกียจคร้าน ทั่วร่างผ่อนคลายอย่างยิ่ง
วันนี้เมื่อเข้าไปในเสี่ยวเฟิงตู ก็ไปที่ศาลเจ้าหลักเมืองก่อน จากนั้นก็เจอกับเฒ่าบอดเชื้อสายโคมผีเก็บโลงอยู่ในเมืองผี
จนมาถึงลานบ้านแห่งนี้ กำลังเตรียมพักผ่อน แต่กลับไม่นึกเลยว่า คนของบุตรสวรรค์เนี่ยเฟิงแห่งพรรคมารหยินกลับจะมาสังหาร…
ดังนั้นในตอนนี้เอง ซูอี้จึงเสมือนเพิ่งได้มีเวลาพักผ่อนจริง ๆ
ตอนที่ไม่ได้ฝึกฝน เขาก็จะเกียจคร้านเช่นนี้อยู่เสมอ เมื่อได้นอนแล้วก็จะไม่ลุกอย่างเด็ดขาด
“พี่ชายซูอี้ ท่านดูกำไลข้อมือนี้สิ”
ชิงหยายิ้มตาหยีพลางเดินมาข้างหน้า ดึงแขนเสื้อด้านซ้ายขึ้น เผยแขนขาวดุจหิมะออกมา ยื่นไปด้านหน้าซูอี้ และสั่นกำไลหยกบนข้อมือไปมา
แสงแดดอ่อนโยน สาดส่องอยู่บนแขนที่ขาวดุจหยก เผยแสงมันวาวคลุมเครือ กำไลข้อมือสีมรกตใสแวววาว รัศมีส่องประกายเคลื่อนไหวไปมาราวกับหมอก สว่างไสวเจิดจ้า
ข้อมือขาวกลั่นเกล็ดหมอกหิมะ กำไลหยกพันรอบนภากว้าง
ครั้นมองไปที่สาวน้อย ดวงหน้าที่งดงามไม่ว่าจะโกรธหรือสุข ดวงตากลมโตยิ่งเจือไปด้วยความสุขและความคาดหวัง
ภาพนี้ เรียกได้ว่าสบายตาสบายใจมาก
“ไม่เลวเลย ไม่เลวเลย” ซูอี้พยักหน้า
เขารู้อยู่แล้ว กำไลหยกนี้หลอมมาจากหยกเย็นมรกต ซึ่งหาได้ยากยิ่ง มันคือสมบัติวิญญาณชิ้นหนึ่งที่มีความมหัศจรรย์ลึกล้ำ
แต่เมื่อเทียบกับของล้ำค่า ความมีเสน่ห์ ไร้เดียงสา สวยงามดั่งนางฟ้าบนตัวสาวน้อย กลับยิ่งดึงดูดความสนใจมากกว่า
ชิงหยาหดแขนกลับ และเอ่ยเสียงกังวาน “พี่ชายซูอี้ นี่คือของล้ำค่าที่ข้าเลือกมาจากในโคมไฟผี มีชื่อว่า ‘กำไลแสงนภา’ สามารถกระตุ้นค่ายกลป้องกันที่มีชื่อว่า ‘ค่ายกลวงล้อวิญญาณเจ็ดดาว’ ออกมาได้ ว่ากันว่าสามารถต้านทานผู้แข็งแกร่งขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณที่โจมตีเต็มกำลังได้”
ขณะเอ่ย นางก็นำขวดหยกออกมา และส่งให้ซูอี้ “พี่ชายซูอี้ ที่ข้าได้ของล้ำค่าชิ้นนี้มา เพราะได้รับการช่วยเหลือจากท่าน ในขวดหยกนี้คือ ‘หยกมังกรล้ำลึก’ ท่านจะต้องเก็บเอาไว้”
ซูอี้แปลกใจ
หยกมังกรล้ำลึกคือโอสถวิญญาณที่หาได้ยาก ในตอนที่อยู่ขอบเขตรวบรวมดารา มีประโยชน์ที่มิอาจประเมินได้ต่อการหลอมธาตุวิถี และมีคุณค่าที่น่าทึ่งเป็นอย่างมาก
เมื่อมองสีหน้าที่จริงจังของสาวน้อย สุดท้ายซูอี้ก็เก็บยาหยกมังกรล้ำลึกขวดนี้ไว้
“สหายเต๋าซู ข้าได้รับข่าวมาก่อนหน้านี้ อีกประเดี๋ยวอาจารย์อาของชิงหยาจะมา…”
ในตอนนี้เอง หลิงอวิ๋นเหอยิ้มแล้วเดินเข้ามา พร้อมกับนำเรื่องมาบอกกล่าว
เมื่อซูอี้ฟังจบ ก็เอ่ยขึ้น “ฟังเจ้าเล่าเช่นนี้ แสดงว่าเหวินซินจ้าวผู้นั้นคือนักดาบที่มีพรสวรรค์เก่งกาจอย่างมากผู้หนึ่งรึ?”
หลิงอวิ๋นเหอพยักหน้าพลางเอ่ยด้วยความจริงใจ “ในบรรดาผู้ฝึกตนที่หลิงผู้นี้เคยพบมา หากเอ่ยถึงพรสวรรค์บนเส้นทางวิถีดาบแล้ว ข้ายังมิเคยพบผู้ใดที่แกร่งกล้าเฉกเช่นศิษย์น้องเหวินเลย”
ขณะที่เอ่ย เขาก็เล่าเรื่องราวในอดีตที่เกี่ยวข้องกับเหวินซินจ้าวออกมา
ในตอนอายุสิบสี่ปี ก็เป็นตัวตนมากความสามารถด้านวิถีดาบที่ไม่มีผู้ใดในหอหนึ่งดาบสวรรค์ยุคนั้นเทียบได้ และถูกเรียกขานว่าเป็น ‘มารดาบน้อย’
ในตอนอายุสิบหน้าปี เขาสามารถทำลาย ‘ค่ายกลดาบตาข่ายสวรรค์’ และกลายเป็นศิษย์ก้นกุฏิของเซียนหานเยียน ผู้ฝึกตนวิถีวิญญาณแห่งวังเทพสวรรค์เมฆา…
เรื่องราวที่โดดเด่นเช่นนี้ ทำให้ซูอี้เกิดความรู้สึกสนใจต่อหญิงสาวที่มีนามว่าเหวินซินจ้าวอย่างช่วยไม่ได้
วังเทพสวรรค์เมฆาคือหนึ่งในสี่ขุมกำลังฝึกฝนสูงสุดแห่งต้าเซี่ย เมื่อสามปีก่อนเหวินซินจ้าวอาศัยทักษะวิถีดาบของตัวเองและถูกผู้ฝึกตนระดับวิถีวิญญาณรับเป็นศิษย์ เรื่องนี้ช่างไม่ธรรมดาจริง ๆ
แต่จะเรียกว่าเป็นผู้มีความชำนาญแห่งวิถีดาบได้หรือไม่นั้น ต้องรอพบกันก่อน มีแต่ต้องเห็นด้วยตาจึงจะรู้ว่าจริงเท็จเพียงใด!
ทันทีที่เอ่ยอยู่ พลันบนน่านฟ้าไกล มีเรือล่องล้อเมฆาลอยบินมา
เรือล่องล้อเมฆานี้ยาวสิบกว่าจั้ง กดทับอยู่บนชั้นเมฆแฝงไปด้วยลำแสงหลากสีสัน ทำให้ผู้ฝึกตนมากมายในเมืองซานอิ่นล้วนตกตะลึง
“อานุภาพเรือล่องล้อเมฆานี้น่าทึ่งมาก คือผู้ใดกันที่ขับมาเมืองซานอิ่นของพวกเรา?”
ผู้ฝึกตนมากมายสงสัย
“ธงนภาแปดฉาก! สวรรค์! นี่คือเรือล่องล้อเมฆาของวังเทพสวรรค์เมฆา!!”
เหล่าอาวุโสที่เห็นเรื่องราวมาอย่างโชกโชน ต่างอ้าปากตาค้างด้วยรู้จักธงรบที่แขวนอยู่บนเรือล่องล้อเมฆานี้ ซึ่งมีเพียง ‘วังเทพสวรรค์เมฆา’ หนึ่งในสี่ขุมกำลังสูงสุดแห่งต้าเซี่ยเท่านั้นที่มี!
“ผู้แกร่งกล้าของวังเทพสวรรค์เมฆา!?”
ภายในเมืองซานอิ่นเกิดความโกลาหล มีผู้ฝึกตนมากมายตกใจกับสิ่งนี้ พลางมองเรือล่องล้อเมฆานั้นด้วยความเคารพนับถือที่มากจากใจจริง
อาณาเขตต้าเซี่ยนั้นกว้างขวาง แบ่งออกเป็นสิบสามแคว้น มีกองกำลังฝึกฝนภายในอาณาจักรมากกว่าหนึ่งร้อยกองกำลัง เรียกได้ว่าเป็นกลุ่มวิถีปราชญ์ที่เจริญรุ่งเรืองมาก
แต่ภายในต้าเซี่ย กลับมีเพียงสี่ขุมกำลังเท่านั้น ที่เป็นเหมือนเจ้าปกครองเหนือฟ้า และเชิดหน้าชูตาอยู่บนโลกนี้
ซึ่งหนึ่งในนั้นก็มีวังเทพสวรรค์เมฆาอยู่ด้วย!
สำหรับผู้ฝึกตนแห่งต้าเซี่ย วังเทพสวรรค์เมฆาไม่ต่างอะไรกับสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ไกลเกินเอื้อมมาก
หากเอ่ยอย่างไม่เยินยอ ภายในแคว้นเทียนหนาน ศิษย์แห่งวังเทพสวรรค์เมฆาคือบุคคลที่ไม่มีผู้ใดกล้าไปยั่วยุด้วย!
และยามนี้ เรือล่องล้อเมฆาที่มาจากวังเทพสวรรค์เมฆา กลับลอยอยู่เหนือน่านฟ้าทิศเหนือสุดของเมืองซานอิ่นที่ตั้งอยู่แคว้นเทียนหนานแห่งอาณาจักรต้าเซี่ย แล้วจะไม่ทำให้ผู้คนตกตะลึงได้อย่างไร?
“ธงนภาแปดฉาก! ชิงหยา น่าจะเป็นอาจารย์อาของเจ้ามาแล้ว”
ในยามนี้ หลิงอวิ๋นเหอรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย
ในสายตาที่จับจ้องของพวกเขา เรือล่องล้อเมฆาที่มีลำแสงสว่างไสวโดยรอบลำนั้น ใกล้จะมาถึงน่านฟ้าเหนือลานบ้าน และค่อย ๆ ลอยอยู่ตรงนั้น
จากนั้น สามบุรุษหนึ่งสตรีก็เดินออกมาจากเรือล่องล้อเมฆา
ผู้นำมาคนแรกคือ ชายหนุ่มหล่อเหลาห้าวหาญ ไหล่กว้างเอวสอบ สวมชุดคลุมยาวสีขาวดุจหิมะ แบกปลอกดาบสีเทายาวสี่ฉื่อไว้ด้านหลัง และมีเสน่ห์ดึงดูด
ส่วนชายสองหญิงหนึ่งที่เหลือ ต่างก็มีท่วงท่าสง่างาม แค่มองก็รู้แล้วว่าเป็นมังกรที่อยู่ในฝูงหงส์ ท่าทางไม่ธรรมดา และมีบุคลิกที่โดดเด่น
เพียงแต่ เมื่อเห็นพวกเขา หลิงอวิ๋นเหอกับชิงหยาต่างชะงักค้างไปตาม ๆ กัน
เพราะในนั้นกลับไม่มีเหวินซินจ้าวอยู่เลย!
ในเวลานี้เอง ชายหนุ่มสวมชุดขาวแบกฝักดาบไว้ด้านหลังพาคนอื่น ๆ ลอยลงมาในลานบ้าน
สายตาของชายสวมชุดขาวกวาดมองทุกคน ก่อนจะยิ้มและคำนับหลิงอวิ๋นเหอกับชิงหยา “ทั้งสองท่านคงเป็นสหายเต๋าหลิงอวิ๋นเหอ กับแม่นางชิงหยาสินะ?”
หลิงอวิ๋นเหอกุมมือคำนับ “ถูกต้อง ขอริอาจถามสหายเต๋า ท่านมีชื่อเสียงเรียงนามว่าอะไร?”
“ข้ามีนามว่าฮั่วอวิ๋นเซิง ได้รับคำสั่งจากศิษย์พี่เหวินให้เดินทางมารับทุกท่าน”
ชายสวมชุดขาวยิ้มแย้มแจ่มใส
“เหตุใดท่านอาจารย์อาถึงไม่มา?”
ชิงหยาอดเอ่ยถามไม่ได้
อาจารย์อา?
ฮั่วอวิ๋นเซิงที่สวมชุดขาวชะงักค้าง พลันเข้าใจขึ้นมาทันที ก่อนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ในตอนที่ผ่านเมืองหลิงชวี ศิษย์พี่เหวินเจอเรื่องที่สำคัญมาก จึงมิอาจจากมาได้ทันที และกังวลว่าทั้งสองท่านจะรอนาน จึงส่งพวกข้ามา เพื่อพาทั้งสองไปเมืองหลิงชวีเพื่อพบกับศิษย์พี่เหวิน”
ทุกคนถึงได้เข้าใจทันที
หลิงอวิ๋นเหอเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ช่างบังเอิญจริง ๆ พวกเราที่ได้รับข่าวก่อนหน้านี้ ก็กำลังเตรียมออกเดินทางไปเมืองหลิงชวีในวันพรุ่งนี้เช่นกัน”
สายตาของฮั่วอวิ๋นเซิงกวาดมองไปทางซูอี้ หยวนเหิงกับไป๋เวิ่นฉิงและเอ่ยถาม “สหายเต๋าหลิง สหายเต๋าทั้งสามท่านคือ?”
หลิงอวิ๋นเหอแนะนำฐานะของซูอี้และคนอื่น ๆ ในขณะที่ยิ้ม
เมื่อรู้ว่าเป็นสหายของชิงหยากับหลิงอวิ๋นเหอ ฮั่วอวิ๋นเซิงก็พยักหน้ารับพลางยิ้ม จากนั้นจึงเอ่ยกับหลิงอวิ๋นเหอ “เวลาไม่คอยท่า พวกเราออกเดินทางในยามนี้เลยดีหรือไม่?”
หลิงอวิ๋นเหอหันกลับมองไปทางซูอี้ “สหายเต๋าซู ท่านคิดเห็นอย่างไร?”
ภาพนี้ทำให้ฮั่วอวิ๋นเซิงชะงักค้าง ก่อนตระหนักได้ว่า ดูเหมือนชายหนุ่มขอบเขตไร้เบญจธัญผู้นี้ จะไม่ธรรมดาอย่างที่เขาคิดไว้
เพราะในตอนที่ตัดสินใจ หลิงอวิ๋นเหอที่เป็นผู้ฝึกตนเขตรวบรวมดารา กลับขอคำอนุญาตจากชายหนุ่มที่มีนามว่าซูอี้!
“ก็ดีเหมือนกัน”
ซูอี้ที่เอนกายอยู่บนเก้าอี้หวายยืดตัวบิดขี้เกียจพลางลุกขึ้น ก่อนเก้าอี้กลับไปแล้วเอ่ยปาก “ไปกันเถิด”