บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 437 เทพอยู่ต่อหน้า คนโง่เขลาย่อมไม่รู้
ตอนที่ 437: เทพอยู่ต่อหน้า คนโง่เขลาย่อมไม่รู้
ตอนที่ 437: เทพอยู่ต่อหน้า คนโง่เขลาย่อมไม่รู้
วันนั้น เรือล่องล้อเมฆาแห่งวังเทพสวรรค์เมฆาได้พากลุ่มของซูอี้ออกจากเมืองซานอิ่นไป และบินลอยไปยังเมืองหลิงชวีแห่งแคว้นเทียนหนาน
ในตอนที่เรือล่องล้อเมฆาลอยอยู่บนชั้นเมฆ ตัวเรือที่ยาวสิบกว่าจั้งได้แปรเปลี่ยนเป็นหนึ่งร้อยจั้ง ราวกับเรือรบ
ภายในจวนห้องหนึ่ง
“ทุกท่านเชิญเข้ามา”
ฮั่วอวิ๋นเซิงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม และจัดเตรียมงานเลี้ยงต้อนรับกลุ่มของซูอี้
เมื่อซูอี้และคนอื่น ๆ นั่งลง หญิงสาวที่อยู่ด้านข้างของฮั่วอวิ๋นเซิงเอ่ยทันที
“ศิษย์พี่ ข้าขอตัวกลับห้องก่อนนะ”
หญิงสาวผู้นี้น่าจะมีอายุราว ๆ สิบเจ็ดสิบแปดปี ดวงหน้างดงาม ผมเกลาขึ้นสูง สวมชุดกระโปรงสีดำ บุคลิกเยือกเย็นราวกับภูเขาน้ำแข็ง
นางมีนามว่า เริ่นโหยวโหย่ว ศิษย์สำนักสายในของวังเทพสวรรค์เมฆา ซึ่งมีระดับการบ่มเพาะอยู่ในขอบเขตไร้เบญจธัญ
ฮั่วอวิ๋นเซิงชะงักครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ย “ศิษย์น้องเป็นอะไรหรือเปล่า?”
เริ่นโหยวโหย่วส่ายหน้า พลางเอ่ย “ไม่เป็นอะไร”
เมื่อเอ่ยจบ นางก็แยกตัวออกไป
จนกระทั่งเริ่นโหยวโหย่วออกไปแล้ว ชายสวมชุดเงินผู้หนึ่งฉีกยิ้มฉายแววหยอกล้อออกมา “หรือศิษย์พี่ฮั่วลืมแล้ว ศิษย์น้องเริ่นเกลียดเผ่าปีศาจมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ยามนี้ จะอยู่สังสรรค์กับสหายผู้ฝึกปีศาจทั้งสองท่านได้อย่างไรกัน?”
เขามีนามว่าเฉียนเทียนหลง เป็นศิษย์สายในวังเทพสวรรค์เมฆา และมีระดับการบ่มเพาะอยู่ในขอบเขตไร้เบญจธัญเช่นเดียวกัน
ในตอนที่กล่าวอยู่นั้น สายตาของเฉียนเทียนหลงกวาดมองไปทางหยวนเหิงกับไป๋เวิ่นฉิงที่นั่งอยู่ตรงข้าม
หยวนเหิงกับไป๋เวิ่นฉิงมีสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย พร้อมกับเกิดความรู้สึกอับอายและโกรธเคืองอยู่ภายในใจ ความหมายในประโยคนี้ พวกเขาจะฟังไม่ออกได้อย่างไร?
“ทั้งสองอย่าได้คิดมากไปเลย ศิษย์น้องเริ่นเป็นคนที่มีนิสัยและอารมณ์เช่นนี้ล่ะ คำพูดข้าอาจจะตรงเกินไปเล็กน้อย แต่ข้าไม่ได้มีเจตนาร้ายอะไร”
เฉียนเทียนหลงชายที่สวมชุดสีเงินหัวเราะขึ้นมาเสียงดัง
หยวนเหิงกับไป๋เวิ่นฉิงต่างเงียบไป
เห็นได้ชัดว่า เหล่าผู้สืบทอดแห่งวังเทพสวรรค์เมฆากลุ่มนี้ ไม่ชอบพวกเขาที่เป็นผู้ฝึกปีศาจทั้งสองคนอยู่แล้ว!
หลิงอวิ๋นเหอขมวดคิ้ว
ชิงหยาเผยใบหน้าไม่สบายใจเล็กน้อย
เมื่อเห็นว่าบรรยากาศแปลกไป ฮั่วอวิ๋นเซิงก็ยิ้มและเอ่ยอย่างประนีประนอม “มามามา พวกเรามาดื่มสุรากันเถิด”
เฉียนเทียนหลงยิ้มอยู่ครู่หนึ่ง และไม่เอ่ยสิ่งใดออกไปอีก
และตั้งแต่ต้นจนจบ ซูอี้นั่งอยู่ตรงนั้น รินสุราเองดื่มเอง พลางมองภาพนี้อย่างเฉยเมย
เขาจะไม่เข้าใจได้อย่างไร เหล่าผู้สืบทอดแห่งวังเทพสวรรค์เมฆา ไม่ว่าจะเป็นเริ่นโหยวโหย่วที่กลับไปก่อนหน้า หรือเฉียนเทียนหลง รวมถึงฮั่วอวิ๋นเซิงที่ดูเหมือนมีมารยาท ไม่ได้ให้ความสำคัญกับพวกเขาอย่างเห็นได้ชัด
มีเพียงแค่ในตอนปฏิบัติต่อหลิงอวิ๋นเหอกับชิงหยาเท่านั้น ถึงมีท่าทางเกรงใจและกระตือรือร้นขึ้นมา
แต่อย่างไรเสียเรื่องนี้ก็ไม่ใช่เรื่องที่สำคัญอะไร และซูอี้ก็คร้านที่จะสนใจ
ศิษย์ที่ส่งมาจากสำนักใหญ่ มักมีความเย่อหยิ่งและความถือดีสูงกว่าคนอื่นอยู่ในตัวไม่มากก็น้อย ทว่าไม่ถึงกับแย่มาก แต่ก็นับว่าเป็นข้อเสียอย่างหนึ่ง
งานเลี้ยงได้เริ่มขึ้น
ฮั่วอวิ๋นเซิงกับศิษย์วังเทพสวรรค์เมฆาที่เหลืออีกสองคน คล้ายกับจงใจมองข้ามซูอี้ หยวนเหิง และไป๋เวิ่นฉิง แล้วดื่มสุราพลางสนทนากับหลิงอวิ๋นเหอและชิงหยาสองคนเท่านั้น
ภาพเช่นนี้ ทำให้หลิงอวิ๋นเหอที่มองอยู่รู้สึกผิดเล็กน้อย และแอบถอนหายใจออกมาไม่หยุด
วังเทพสวรรค์เมฆาคือหนึ่งในสี่กลุ่มวิถีปราชญ์สูงสุดแห่งต้าเซี่ย เมื่อมีฐานะเป็นศิษย์แห่งวังเทพสวรรค์เมฆา แน่นอนว่ามันก็คือต้นทุนที่น่าภาคภูมิใจ
ในแคว้นเทียนหนาน แม้เหล่าผู้ฝึกตนอาวุโสที่เผชิญหน้ากับพวกเขา ก็ยังต้องเคารพยำเกรง และมีมารยาทไปสามส่วน
แล้วพวกเขาจะรู้ได้อย่างไร ซูอี้ที่ถูกพวกเขามองข้ามนั้น คือบุคคลแข็งแกร่งน่าสะพรึงกลัวมากเท่าใด?
“สหายเต๋าซู ข้าดื่มให้ท่านหนึ่งจอก”
หลิงอวิ๋นเหอยกจอกสุราขึ้นด้วยรอยยิ้ม
ซูอี้พยักหน้า พลางยกจอกสุราขึ้นและดื่มจนหมด
“พี่ชายซูอี้ ข้าก็ดื่มให้ท่านเช่นกัน”
ชิงหยาก็นำจอกสุราขึ้นมา และเอ่ยด้วยน้ำเสียงสดใสกังวาน
ซูอี้ไม่ปฏิเสธอยู่แล้ว
จากนั้นหลิงอวิ๋นเหอกับชิงหยา ก็แบ่งกันดื่มเหล้าให้กับหยวนเหิงและไป๋เวิ่นฉิง
ในเวลานี้เอง จู่ ๆ เฉียนเทียนหลงก็เอ่ยถามขึ้น “สหายเต๋าซู ข้าขอริอาจถามสักประโยคหนึ่งได้หรือไม่ ไม่ทราบว่าท่านมาจากที่แห่งใด และเป็นอาจารย์สอนสำนักใด?”
ซูอี้เอ่ยอย่างเย็นชา “ไม่มีสำนัก”
เฉียนเทียนหลงชะงักค้าง พลางเล่นกับจอกสุราที่อยู่ในมือ แววตาลุ่มลึกเล็กน้อย
หลิงอวิ๋นเหอเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ทุกท่านอย่าได้ดูถูกสหายเต๋าซูไป จริง ๆ เขาแล้วมีธาตุวิถีล้ำลึกจนมิอาจคาดเดาได้ และยังเหนือกว่าบุคคลธรรมดา…”
เฉียนเทียนหลงหัวเราะขัดขึ้นมาเสียงดัง “มันก็เป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว ในฐานะที่สหายเต๋าซูผู้นี้ฝึกฝนด้วยตัวเอง และยังสามารถก้าวเข้าสู่เส้นทางวิถีต้นกำเนิดได้ในตอนอายุเท่านี้ ภายในอาณาจักรต้าเซี่ย แม้อาจจะมิอาจเทียบกับศิษย์แห่งกองกำลังใหญ่เหล่านั้นได้ แต่ก็นับว่าไม่เลวเลย”
ในคำพูดนั้น แฝงไว้ด้วยกลิ่นอายการวิจารณ์ที่เหนือกว่าผู้อื่น
หลิงอวิ๋นเหอขมวดคิ้ว กำลังจะเปิดปากพูด ฮั่วอวิ๋นเซิงก็พลันยกจอกสุราขึ้นมา พลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “สหายเต๋าหลิง มา ข้าดื่มให้ท่านหนึ่งถ้วย”
“เชิญ”
หลิงอวิ๋นเหอยกจอกสุราขึ้นมาเช่นกัน กลืนคำพูดมากมายกลับไปทันที
เขาตระหนักได้ว่า ต่อให้นำเรื่องในอดีตของซูอี้เล่าออกไปหมด เกรงว่าเหล่าศิษย์แห่งกองกำลังสูงสุดก็คงไม่เชื่อ
ชิงหยาแอบพึมพำกับตัวเอง “ชายหนุ่มพวกนี้ จะหยิ่งเกินไปแล้ว พี่ชายซูอี้จะเทียบกับคนธรรมดาที่ฝึกด้วยตัวเองได้อย่างไร? ช่างมีตาหามีแววไม่”
แม้นางจะมีนิสัยที่ไร้เดียงสา แต่ลางสังหรณ์กลับยอดเยี่ยมอย่างมาก และสังเกตได้นานแล้วว่าในตอนที่พวกฮั่วอวิ๋นเซิงปฏิบัติต่อซูอี้กับหยวนเหิงและไป๋เวิ่นฉิง มีท่าทางแปลก ๆ!
“แม่นางชิงหยา ในตอนที่พวกเรากำลังจะออกจากสำนัก ศิษย์พี่เหวินได้บอกว่า จะแนะนำเจ้าให้เข้าร่วมวังเทพสวรรค์เมฆาของพวกเรา”
ในเวลานี้เอง จู่ ๆ ชายที่มีท่าทางดูดี สวมชุดขาวอีกคนหนึ่งเอ่ยขึ้นพร้อมกับยิ้ม “เพียงแค่บอกไว้เท่านั้น จากนี้พวกเราก็จะเป็นศิษย์สำนักเดียวกันแล้ว”
ซุนเฟิงก็เหมือนกับฮั่วอวิ๋นเซิง เริ่นโหยวโหย่ว เฉียนเทียนหลง เขาก็เป็นศิษย์สายในแห่งวังเทพสวรรค์เมฆา ซึ่งอยู่ในขอบเขตไร้เบญจธัญเช่นกัน
ชิงหยาส่งเสียงตอบรับออกมาเป็นการเข้าใจ และเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ “เรื่องนี้ข้าต้องคิดให้ดีก่อน”
หลังจากเห็นการเสแสร้งของเหล่าศิษย์แห่งวังเทพสวรรค์เมฆา ชิงหยากลับเกิดความลังเลใจว่าจะเชื่อคำอาจารย์อาเหวินซินจ้าว แล้วเข้าร่วมเป็นผู้ฝึกฝนในวังเทพสวรรค์เมฆาดีหรือไม่
“ฮ่า ๆ เรื่องนี้ไม่ต้องให้เจ้ามาลำบากหรอก ด้วยตำแหน่งศิษย์พี่เหวินในยามนี้ที่เหนือกว่าผู้ใดในสำนัก หากต้องการจัดให้แม่นางชิงหยาเข้าร่วมฝึกฝนที่สำนักเรา เพียงแค่เอ่ยประโยคเดียวก็ได้แล้ว”
ซุนเฟิงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม เขาเข้าใจผิดอย่างเห็นได้ชัด และยังคิดว่าชิงหยากำลังกังวลว่าจะเข้าร่วมสำนักอย่างราบรื่นอย่างไร
ชิงหยาชะงักค้างไปครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ย “อาจารย์อามีตำแหน่งสูงมากในวังเทพสวรรค์เมฆาเลยรึ?”
แม้แต่หลิงอวิ๋นเหอก็เผยท่าทางอยากรู้ออกมา
ทันใดนั้นซุนเฟิงก็เผยสีหน้าที่เลื่อมใส “ศิษย์พี่เหวินกวาดสหายรุ่นเดียวกันทั้งหมดและขึ้นมาเป็นอันดับหนึ่งในการแข่งขันครั้งใหญ่ของศิษย์สายในเมื่อครึ่งปีที่แล้ว ตามความคิดของอาจารย์ เห็นว่าท่านตั้งใจจะให้ศิษย์พี่เหวินเป็นผู้อาวุโสสายใน ทว่าศิษย์พี่เหวินกลับตั้งใจฝึกฝนเท่านั้น จึงได้ปฏิเสธไป”
ฮั่วอวิ๋นเซิงก็เอ่ยอย่างจริงใจ “ไม่เพียงเท่านี้ แม้แต่ผู้อาวุโสในวิถีวิญญาณ พวกเขายังล้วนเอ่ยชมเชยศิษย์พี่เหวินไม่หยุด และมองนางเป็นผู้ที่มีความสามารถแห่งวิถีดาบที่โดดเด่นที่สุดของสำนักในรอบเกือบแปดร้อยปี! ในอาณาเขตต้าเซี่ยยามนี้ ชื่อเสียง ‘มารดาบน้อย’ ของศิษย์พี่เหวินดังขจรไปทั่วแล้ว!”
หา!
หลิงอวิ๋นเหออดไม่ได้ที่จะตกใจ
วังเทพสวรรค์เมฆาที่เป็นหนึ่งในกลุ่มวิถีปราชญ์สูงสุดแห่งต้าเซี่ย ซึ่งมีผู้มีความสามารถมากมายในสำนัก แต่เหวินซินจ้าวกลับสามารถกวาดคนเหล่านั้นและเป็นอันดับหนึ่งในการแข่งขันภายในสำนักได้ นี่ก็ยืนยันได้แล้วว่า เหวินซินจ้าวในยามนี้ ยิ่งแข็งแกร่งกว่าสามปีที่แล้วอย่างไม่ต้องสงสัย!
“อาจารย์อาเก่งขนาดนี้เชียวรึ?”
นัยน์ตาชิงหยาเปล่งประกาย
“ความสามารถของศิษย์พี่เหวิน เอาคำว่าเก่งกาจสองคำนี้มาบรรยายก็ยังไม่พอ”
ซุนเฟิงเอ่ยอย่างไม่ทุกข์ร้อน “ทั่วทั้งต้าเซี่ย มีเพียงอวี่เหวินซู่ นักดาบอันดับหนึ่งแห่งสำนักดาบเทียนชู หลี่หานเติง ปีศาจแห่งสำนักเต๋าชิงอี่ ‘เฉินลวี่’ ศิษย์วัดมหาจันทราที่มี ‘จิตใจที่บริสุทธิ์’ มาโดยกำเนิด… บุคคลเหล่านี้นับว่าเป็นตัวตนที่โดดเด่น และสามารถเทียบเคียงกับศิษย์พี่เหวินได้”
เมื่อฟังจบ หลิงอวิ๋นเหอตื่นเต้นอย่างมาก พลันใบหน้าเต็มไปด้วยความปีติ
เหวินซินจ้าวมาจากหอหนึ่งดาบสวรรค์แห่งต้าฉี หากข่าวเช่นนี้เผยแพร่ออกไป ต้องเกิดความตกใจไปทั่วแน่!
“บุคคลเก่งกาจในต้าเซี่ยมีมากมายขนาดนี้เชียวรึ?”
ชิงหยาประหลาดใจ
“นี่คือเรื่องปกติ ต้าเซี่ยคือเจ้าแห่งการปกครองแห่งมหาทวีปคังชิง อาณาเขตกว้างขวาง กลุ่มวิถีปราชญ์เจริญรุ่งเรือง ไม่ต้องเอ่ยถึงอวี่เหวินซู่ หลี่หานเติง และเฉินลวี่ เพราะแม้แต่อาณาเขตต่าง ๆ ในต้าเซี่ย ก็มีบุคคลที่เป็นอัจฉริยะและมีพรสวรรค์โดดเด่นมากมายเช่นกัน”
ฮั่วอวิ๋นเซิงเอ่ยด้วยเสียงราบเรียบ “ตามคำพูดของอาจารย์พวกเรา ก่อนที่แสงสว่างแห่งโลกกว้างจะมาถึง ทั่วใต้หล้าจะต้องมีเมล็ดพันธุ์ที่เหมาะแก่การฝึกฝนออกมามากมาย ดั่งกลุ่มดาวบนท้องฟ้า เปล่งแสงสะท้อนซึ่งกันและกัน และแสดงความงามออกมาประชัน”
หลังจากได้ฟังเรื่องทั้งหมดจบแล้ว หยวนเหิงกับไป๋เวิ่นฉิงรู้สึกปั่นป่วนทันใด
โลกแห่งการฝึกฝนอย่างต้าเซี่ยนี้ แข็งแกร่งกว่าที่พวกเขาคิดไว้อย่างมาก!
มีเพียงซูอี้ผู้เดียวที่ยังสงบนิ่งเหมือนเดิม
ในชาติก่อน เขาเคยเจอผู้กล้าแห่งยุคที่น่าทึ่งหลากหลายมาตลอดชั่วชีวิต
ในบรรดาคนเหล่านั้น มีทั้งนักบุญที่เป็นผู้รู้มาโดยกำเนิด บุคคลที่เปี่ยมไปด้วยพรสวรรค์ตลอดกาล เทพธิดาที่มีความสามารถปกครองไปทั่วใต้หล้า และชนรุ่นหลังที่มีวิญญาณเลือดบริสุทธิ์…
เมื่อเห็นมานักต่อนักแล้ว จึงเป็นธรรมดาที่จะไม่แปลกใจ
ยิ่งไปกว่านั้น สุดท้ายต้าเซี่ยนี้ก็คือโลกสามัญ แม้จะมีผู้กล้าและผู้ที่มีพรสวรรค์กระจายอยู่ในนั้นมากมาย แต่ก็มิอาจเปรียบเทียบกับเก้ามหาแดนดินได้!
“พี่ชายซูอี้ ในสายตาข้า ท่านไม่ได้แย่กว่าอาจารย์อาของข้าเลย”
ชิงหยายิ้มตาหยี
ฮั่วอวิ๋นเซิงและคนอื่น ๆ ชะงักค้าง พลันหัวเราะขึ้นมาอย่างไม่แยแส ทำเหมือนคำพูดที่ออกมาจากปากสาวน้อยเป็นเรื่องตลก และคร้านที่จะเอ่ยโต้แย้ง
ในความคิดพวกเขา ในอาณาจักรต้าเซี่ย บุคคลที่ไม่ได้แย่ไปกว่าศิษย์พี่เหวินซินจ้าวจริง ๆ ก็ยังมีเพียงแค่หยิบมืออยู่ดี
ทว่าในหยิบมือนั้น ไม่มีแซ่ซูผู้นี้แน่นอน!
ก็แค่คนไม่มีสำนักที่ฝึกด้วยตัวเองเท่านั้น จะนำมาเทียบกับเหวินซินจ้าวที่เป็นเหมือนเซียนบนสวรรค์ได้อย่างไรกัน?
“แม่นางชิงหยา จากนี้ไปอย่าได้เอ่ยเช่นนี้กับผู้ใดเชียวนะ ไม่เช่นนั้นคงถูกผู้อื่นหัวเราะเยาะเอา”
ซุนเฟิงเอ่ยเตือนด้วยความหวังดี
“เรื่องตลก?” ชิงหยาตะลึงค้าง
ไม่รอให้นางเอ่ยสิ่งใด ฮั่วอวิ๋นเซิงจึงเอ่ยขึ้นทันที “พูดขึ้นมาแล้ว ข้าก็นึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ ช่วงนี้มีบุคคลโดดเด่นนามว่าเยว่ซือฉานปรากฏตัวอยู่ในต้าเซี่ย”
“ครึ่งเดือนก่อน ในการชุมนุมผู้ฝึกตนแห่งหนึ่ง หญิงผู้นี้โจมตีผู้ฝึกตนที่มาจากต่างกองกำลังฝึกฝนกว่าสิบสามคนจนแตกพ่ายด้วยกระบวนท่าเดียว แม้แต่ ‘หลัวหานชวน’ ศิษย์สายในสำนักเต๋าชิงอี่ก็พ่ายแพ้ให้แก่หญิงผู้นี้!”
“การต่อสู้ในครั้งนั้น ทำให้บุคคลที่อยู่ที่นั่นตกใจกับความสามารถของเยว่ซือฉาน ว่ากันว่าตอนนั้น ผู้อาวุโสวิถีวิญญาณแห่งสำนักดาบเทียนชูผู้หนึ่งถูกใจหญิงผู้นี้ อยากพานางไปฝึกฝนที่สำนักดาบเทียนชู และรับปากจะทำลายกฎ ยอมเลือกนางมาเป็นศิษย์สายใน”
“แต่ไม่นึกเลยว่า เยว่ซือฉานผู้นี้กลับปฏิเสธ เรื่องนี้จึงกลายเป็นเรื่องที่แปลก และกลายเป็นหัวข้อสนทนายามว่างของเหล่ากองกำลังฝึกฝนมากมาย”
ในตอนนี้เอง เฉียนเทียนหลงก็เอ่ยอย่างไม่ทุกข์ร้อนขึ้นมาทันที “ถูกต้อง ข้าก็เคยได้ยินเรื่องนี้ ว่ากันว่าเยว่ซือฉานงดงามดั่งนางเซียน วิถีแห่งดาบก็ยิ่งเหนือผู้ใด และร้ายกาจอย่างมาก แม้แต่ข้ายังทนไม่ไหวอยากไปชื่นชมความสามารถของนางด้วยเองเลย”
ราชาขนนก เยว่ซือฉาน?
หยวนเหิงแปลกใจ พลางมองไปทางซูอี้
ท่าทางเช่นนี้ของเขา ได้ดึงดูดความสนใจจากคนที่เหลือที่นั่งอยู่ตรงนั้นทันที