บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 438 ข้าจะสอนเจ้าเอง
ตอนที่ 438: ข้าจะสอนเจ้าเอง
ตอนที่ 438: ข้าจะสอนเจ้าเอง
เมื่อได้ยินชื่อของเยว่ซือฉาน พลันมีร่างผู้หญิงที่งดงามดุจเซียน คิ้วโค้งมนดวงตากลมโตดั่งรูปวาด สวมชุดขาวแบกดาบไว้ด้านหลังผุดขึ้นในหัวซูอี้
จำได้ว่าตอนนั้นที่อยู่มหานครหลวงอวี้จิง หญิงสาวเคยเชื้อเชิญเขาด้วยตัวเอง และรอคอยที่จะเดินทางไปเข้าร่วมชุมนุมมวลพฤกษาในต้าเซี่ยร่วมกับเขา
แค่พริบตาเดียว ก็ผ่านไปสามเดือนแล้ว
แต่ซูอี้กลับไม่แปลกใจที่เยว่ซือฉานจะสามารถมีชื่อเสียงอยู่ในต้าเซี่ยได้
ในตอนที่เจออีกฝ่ายคราแรก ซูอี้จึงรู้ได้ทันที เยว่ซือฉานผู้นี้มีพรสวรรค์มาก ทั้งยังมีจิตใจมั่นคงต่อวิถีดาบ นับว่าเป็นบุคคลยอดเยี่ยมไร้ที่ติ
ยามนั้น เขาถึงขั้นเกิดความรู้สึกเสียดายเล็กน้อย จึงยินยอมเป็นผู้ชี้แนะให้แก่เยว่ซือฉานที่กำลังแสวงหาเส้นทาง
แน่นอนว่าเยว่ซือฉานที่ ‘พิจารณา’ ในตอนนั้นได้ปฏิเสธกลับ
ทว่าสิ่งนี้ยังคงมิอาจปิดบังความรู้สึกชื่นชมของซูอี้ที่มีต่อนางได้
ในฐานะที่เป็นนักดาบ ซูอี้ค่อนข้างพอใจเยว่ซือฉานที่หมกมุ่นกับวิถีดาบเหมือนกันเป็นพิเศษ
และในยามนี้เอง เมื่อรับรู้ว่าสายตาหยวนเหิงมองไปทางซูอี้ ชิงหยาจึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามอย่างอยากรู้ “พี่หยวนเหิง หรือว่าท่านกับพี่ชายซูอี้รู้จักเยว่ซือฉานผู้นั้น?”
เมื่อเห็นซูอี้ไม่คัดค้านใด ๆ หยวนเหิงถึงได้เอ่ยขึ้น ” รู้จักสิ เยว่ซือฉานมาจากต้าโจวเหมือนกับเรา ก่อนที่จะเดินทางมาต้าเซี่ย เยว่ซือฉานก็มีชื่อเสียงสั่นสะเทือนไปทั่วต้าโจวในนามราชาขนนก เรียกได้ว่าเป็นบุคคลในตำนานที่น่าทึ่งเป็นอย่างมาก”
“ต้าโจว?”
เมื่อฮั่วอวิ๋นเซิง เฉียนเทียนหลง ซุนเฟิงได้ยินเช่นนี้ พวกเขาก็ตะลึงค้าง ก่อนจะนึกขึ้นได้ทันใดว่าต้าโจวคือสถานที่แบบใด
“ไม่นึกเลยว่า พื้นที่เล็กน้อยและแห้งแล้งอย่างต้าโจว จะมีบุคคลที่มีพรสวรรค์อย่างเยว่ซือฉานออกมาได้ ช่างหาได้ยากจริง ๆ”
ฮั่วอวิ๋นเซิงรู้สึกซาบซึ้ง
“อาจจะเป็นเพราะพลังการจองจำแห่งยุคมืดใกล้จะหายไปแล้ว จึงไม่แปลกหรอกที่ในช่วงหลายปีนี้ หลายร้อยกว่าอาณาจักรในมหาทวีปคังชิง จะปรากฏเมล็ดพันธุ์การฝึกฝนที่นับว่าโดดเด่นมากมายออกมา”
เฉียนเทียนหลงที่สวมชุดสีเงินเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “แน่นอนว่า ยังรวมถึงผู้สิงสถิตมากมาย และผู้โชคดีที่สืบทอดกลุ่มวิถีปราชญ์โบราณด้วย”
ซุนเฟิงลูบคางไปมา พลางเอ่ย “ใต้โลกหล้านี้มีปีศาจและผู้ที่มีพรสวรรค์มากมาย ทว่าสามารถโจมตี ‘หลัวหานชวน’ ศิษย์สายในของสำนักเต๋าชิงอี่พ่ายแพ้ได้อย่างเยว่ซือฉานผู้นี้ กลับมีไม่มากนัก ยิ่งไปกว่านั้น บุคคลธรรมดาทั่วไป ใครจะกล้าปฏิเสธเข้าร่วมฝึกฝนในสำนักดาบเทียนชูเฉกเช่นเยว่ซือฉานกัน?”
ในคำพูดนั้น ยังแฝงไปด้วยความชื่นชมที่ปิดบังเอาไว้ไม่มิดอยู่
ชิงหยากะพริบตา มองไปทางซูอี้ “พี่ชายซูอี้ ในใจข้า ท่านเป็นบุคคลที่มีพรสวรรค์มากที่สุดในต้าโจว!”
ซูอี้อดยิ้มออกมาไม่ได้ พลางส่ายหน้า “ข้าไม่ใช่ผู้ที่มีพรสวรรค์หรอก”
เฉียนเทียนหลงระเบิดเสียงหัวเราะออกมา แม้ไม่เอ่ยสิ่งใด ทว่าท่าทางที่ไม่แยแสนั้น ใคร ๆ ก็มองออก
สิ่งนี้ทำให้หยวนเหิงมีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้น เขาทนคนอื่นดูถูกเขาได้ และไม่สนใจการเหยียดหยามของเหล่าผู้สืบทอดแห่งวังเทพสวรรค์เมฆาที่มีต่อผู้ฝึกปีศาจเช่นเขา
ทว่าเมื่อเห็นซูอี้ถูกกระทำเช่นนี้เหมือนกัน เขากลับมิอาจทนได้!
เขาสูดหายใจเข้าลึก และเอ่ยเสียงต่ำ “เดิมทีข้าคิดว่าผู้ฝึกตนแห่งวังเทพสวรรค์เมฆาจะสง่างามและมีจิตใจที่เหนือกว่าปกติ แต่ต้องยอมรับว่า การแสดงออกของพวกเจ้าในยามนี้ ช่างไร้มารยาทเกินไปแล้ว!”
เมื่อประโยคนี้ดังออกไป บรรยากาศภายในนั้นพลันอึดอัดทันที
ฮั่วอวิ๋นเซิงกับซุนเฟิงต่างขมวดคิ้ว คล้ายกับไม่อยากเชื่อว่าหยวนเหิงจะกล้าตำหนิเฉียนเทียนหลง
ครั้นมองไปที่เฉียนเทียนหลง ใบหน้าเขาพลันเคร่งขรึมขึ้น พลางเอ่ยด้วยรอยยิ้มที่ไม่จริงใจ “นี่… เจ้ากำลังสอนข้ารึ?”
หลิงอวิ๋นเหอที่มีสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย จึงรีบเอ่ยขึ้น “แค่โต้แย้งกันเล็กน้อยเท่านั้น ทั้งสองโปรดใจเย็น ๆ เอาไว้ อย่าได้ทะเลาะกันจนลำบากใจเลย”
เฉียนเทียนหลงเอ่ยออกมาอย่างเย็นชา “สหายเต๋าหลิง ในเมื่อผู้ฝึกปีศาจตนนั้นไม่พอใจ ถ้าเช่นนั้นข้าจะเอ่ยให้มันชัดเจนไปเลย หากไม่ใช่เพราะเห็นแก่หน้าเจ้ากับแม่นางชิงหยา พวกเราคงไม่สนใจผู้ฝึกปีศาจกับผู้ฝึกไม่มีสำนักที่มาจากพื้นที่เล็กน้อยเหล่านี้หรอก!”
ในคำพูดนั้นไม่ปิดบังความรู้สึกเหยียดหยามและดูถูกอีก
สิ่งนี้ทำให้หยวนเหิงกับไป๋เวิ่นฉิงมีสีหน้าบิดเบี้ยวขึ้นอย่างมาก
หลิงอวิ๋นเหอเหลือบมองซูอี้อย่างช่วยไม่ได้ แต่กลับเห็นอีกฝ่ายเทสุราดื่มเอง และไม่เอ่ยสิ่งใด
ทว่าท่าทางเมินเฉยไม่สะทกสะท้านใด ๆ นั้น กลับทำให้หลิงอวิ๋นเหอรู้สึกกังวล
“สหายเต๋าเฉียน เจ้าหมายความว่าอย่างไร?”
หลิงอวิ๋นเหอกัดฟันตบโต๊ะทันที พลางเอ่ยด้วยความโมโห “สหายเต๋าซูและพวกเขา คือสหายของพวกข้า แต่เจ้ากลับใส่ร้ายป้ายสีพวกเขาครั้งแล้วครั้งเล่าต่อหน้าข้าหลิงผู้นี้ นี่มันจะไม่เกินไปหน่อยรึ!”
ชิงหยาก็เอ่ยขึ้นอย่างไม่พอใจ “ใช่แล้ว พวกเจ้าคิดว่าตัวเองเป็นผู้สืบทอดวังเทพสวรรค์เมฆา แล้วจะสามารถอยู่เหนือกว่าคนอื่นได้รึ? รอข้าได้พบอาจารย์อาเมื่อใด ข้าจะต้องถามนางว่านี่มันเกิดอะไรขึ้น!”
ครั้นเห็นหลิงอวิ๋นเหอกับชิงหยาโมโหอย่างไม่ค่อยเห็นบ่อยนัก ภาพนี้จึงเกินกว่าที่ฮั่วอวิ๋นเซิง เฉียนเทียนหลง และซุนเฟิงคาดเดาเอาไว้
โดยเฉพาะเฉียนเทียนหลงที่มีสีหน้าเปลี่ยนไปจนคาดเดาไม่ได้ และในใจรู้สึกโกรธมาก
เขาไม่สนใจซูอี้และคนอื่น ๆ ได้ ทว่ามิอาจไม่สนใจต่อท่าทีของหลิงอวิ๋นเหอกับชิงหยาได้ ไม่เช่นนั้น หากเหวินซินจ้าวรู้เรื่องนี้เข้าจริง ๆ เช่นนั้นผลที่ตามคงยากที่จะบอกได้
บรรยากาศกดดันหนักอึ้ง
ฮั่วอวิ๋นเซิงเริ่มเอ่ย “ศิษย์น้องเฉียน ศิษย์พี่เหวินให้พวกเรามารับคน เจ้าอย่าได้ก่อเรื่อง”
ขณะเอ่ย เขาก็หันไปกล่าวกับหลิงอวิ๋นเหอกับชิงหยาด้วยรอยยิ้ม “ขอทั้งสองโปรดใจเย็น ๆ ศิษย์น้องเฉียนพูดไม่รู้จักกาลเทศะ จึงไปยั่วโมโหทั้งสองเข้า ข้าขอโทษแทนความผิดของเขาด้วย”
คำพูดนี้ของเขา คล้ายกับยอมถอยให้ ทว่าจริง ๆ แล้วแค่แสดงการขอโทษต่อหลิงอวิ๋นเหอกับชิงหยาเท่านั้น
ส่วนซูอี้และคนอื่น ๆ ล้วนถูกมองข้าม
ท่าทางของพวกเขาได้เปิดเผยตัวตนที่แท้จริงออกมาอย่างชัดเจน
หลิงอวิ๋นเหอจะแยกแยะไม่ออกได้อย่างไร?
เขาลอบโมโหอยู่ในใจ ศิษย์กองกำลังใหญ่ที่มีตาหามีแววไม่เหล่านี้ ช่างโง่เขลาสิ้นดี หากทำให้ซูอี้โมโหแล้ว ไม่สนว่าพวกเจ้าจะอยู่ในฐานะใด ก็ถูกสังหารอยู่ดี!
หลิงอวิ๋นเหอสูดหายใจเข้าลึก แล้วก็ไม่สนใจฮั่วอวิ๋นเซิง พลางหันไปคำนับขอโทษซูอี้ “สหายเต๋าซู ขอให้ท่านใจเย็น ๆ และอย่าได้เอาความเรื่องเหล่านี้เลย รอไปถึงเมืองหลิงชวีเมื่อใด หลิงผู้นี้จะจัดงานเลี้ยงเพื่อแสดงการขอโทษสหายเต๋าอีกครั้งหนึ่ง”
“เจ้าไม่ได้ทำสิ่งใดผิด ไม่จำเป็นต้องขอโทษ”
ซูอี้เอ่ยทันที
“ความหมายของสหายเต๋าซูคือ เรื่องนี้ข้าเฉียนเทียนหลงคือคนที่ทำผิด และต้องการให้ข้าขอโทษเจ้าด้วยตัวเองรึ?”
เฉินเทียนหลงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น
ทันทีที่คำพูดนี้ออกมา หลิงอวิ๋นเหอก็รู้สึกว่ามันต้องแย่แน่ ๆ
ทันใดนั้นซูอี้วางจอกสุราที่อยู่ในมือลง พลางมองไปทางเฉียนเทียนหลง และเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “เจ้าไม่เพียงแต่ต้องแสดงความขอโทษเท่านั้น แต่ต้องคุกเข่าแสดงการขอโทษด้วย ไม่เช่นนั้น วันนี้ข้าก็ไม่รังเกียจที่จะสั่งสอนเจ้า”
ฮั่วอวิ๋นเซิงและซุนเฟิงต่างตกตะลึง พลันสีหน้าเปลี่ยนไปจนคาดเดาไม่ได้ นี่คือคำพูดของผู้ฝึกไม่มีสำนักควรจะพูดรึ?
ก่อนหน้านี้ พวกเขาตั้งใจว่าจะไกล่เกลี่ยเพื่อเห็นแก่หน้าหลิงอวิ๋นเหอกับชิงหยา
แต่กลับไม่นึกเลยว่า จะมีคนที่ไม่รู้ว่าสิ่งใดดีหรือไม่ดี!!
เฉียนเทียนหลงที่โมโหมากหัวเราะออกมา พลางตบโต๊ะและลุกขึ้น “ข้าอยากเห็นจริง ๆ ผู้ฝึกตนด้วยตัวเองเช่นเจ้า จะเอาอะไรมาสั่งสอนข้ากัน!”
ขณะเอ่ยอยู่ เขากวาดสายตามองไปทางฮั่วอวิ๋นเซิง ซุนเฟิงรวมถึงหลิงอวิ๋นเหอ ชิงหยา และเอ่ยว่า “ทุกท่านอย่าได้มาขัดขวางเรื่องนี้ ข้ากับสหายเต๋าซูจะสะสางกันให้เรียบร้อย แต่พวกท่านไม่ต้องห่วง ข้ารับปากว่าจะไม่ฆ่าคนแน่นอน!”
ในคำพูดเยือกเย็นนั้นยังคงยโสโอหังเช่นเดิม
ฮั่วอวิ๋นเซิงกับซุนเฟิงต่างก็เงียบ และมองดูอย่างเงียบ ๆ ไม่เข้าไปห้ามปรามอีก เพราะท่าทางของซูอี้ ก็ทำให้พวกเขาโมโหเช่นกัน หากให้เฉียนเทียนหลงลงมือมอบบทเรียนให้แก่อีกฝ่าย และทำให้อีกฝ่ายได้สติรับรู้ถึงความต่าง ก็นับว่าเป็นเรื่องที่ไม่ได้เลวร้ายอะไร
หลิงอวิ๋นเหอเองก็โกรธเกรี้ยวเป็นอย่างมาก เขาจึงไม่เอ่ยสิ่งใดอีก
ส่วนชิงหยาเอ่ยว่า “เจ้าก็ไม่ต้องเป็นห่วง ข้ารับปากว่าจะไม่ไปขัดขวางแน่นอน”
สายตาของหยวนเหิงกับไป๋เวิ่นฉิงที่มองไปทางเฉียนเทียนหลง แฝงไปด้วยความสงสาร
“มาสิ สหายเต๋าซู ข้ายืนอยู่ตรงนี้ รอเจ้ามาสั่งสอนอยู่!”
เฉียนเทียนหลงเอ่ยอย่างเยาะเย้ย
เขาสวมชุดสีเงิน ท่าทางดูสง่างาม แม้จะอยู่เพียงแค่ขอบเขตไร้เบญจธัญ ทว่าในฐานะที่เป็นศิษย์สายในวังเทพสวรรค์เมฆา ไม่ว่าจะเป็นรากฐาน หรือการเรียนรู้วิชาและสืบทอดต่าง ๆ ล้วนเหนือกว่าผู้ฝึกตนบนโลกนี้
ไม่ต้องเอ่ยถึงขอบเขตไร้เบญจธัญ แม้แต่ผู้ฝึกตนขอบเขตเปิดทวารในโลกนี้ ก็ไม่อยู่ในสายตาของเฉียนเทียนหลง!
นี่คือศิษย์ของกองกำลังสูงสุด แต่ละคนผ่านการคัดเลือกและตรวจสอบมามากมายนับไม่ถ้วน สุดท้ายความสามารถที่มีอยู่ก็ได้เปิดเผยออกมา โดดเด่นในหมู่ฝูงชนและมีพรสวรรค์!
ช่างน่าเสียดาย ครั้งนี้ที่เขาเจอคือซูอี้ บุคคลอันน่าสะพรึงกลัวที่ถูกชื่นชมยกย่องในชาติก่อน ผู้เคยใช้ดาบสยบไปทั่วใต้หล้ามาแล้ว!
แม้ระดับการฝึกฝนในยามนี้คือขอบเขตไร้เบญจธัญ แต่เขาจะสนบุคคลเช่นเฉียนเทียนหลงได้อย่างไรกัน?
“ชายผู้นี้รนหาที่ตายจริง ๆ…”
ชิงหยาเอ่ยพึมพำกับตัวเอง
หลิงอวิ๋นเหอแอบถอนกลั้นหายใจ พลางมองด้วยสายตาเย็นชา ภายใต้น้ำมือซูอี้ ตัวตนขอบเขตรวบรวมดาราก็เหมือนกับไก่กระเบื้องสุนัขดินเผา คนของบุตรสวรรค์เนี่ยเฟิงก็ยังเกือบถูกสังหารตาย และหลบหนีไปอย่างตื่นตระหนก
เฉียนเทียนหลงผู้นี้… ช่างแกว่งเท้าหาเสี้ยนจริง ๆ!
เป็นธรรมดาที่หยวนเหิงกับไป๋เวิ่นฉิงไม่กังวลใจแทนซูอี้เลย เพราะตั้งแต่ผู้ฝึกปีศาจทั้งสองก้าวขึ้นเรือลำนี้มา ก็ถูกเหยียดหยามและดูถูกซ้ำแล้วซ้ำเล่า ในใจนั้นเต็มไปด้วยความเดือดดาล และแทบอยากเก็บเฉียนเทียนหลงผู้นี้ในทันที
“หากจะให้ผู้อื่นสั่งสอนเจ้า ก็ต้องปรับท่าให้ถูกต้อง อืม… คุกเข่าลงก่อนสิ”
ขณะที่ซูอี้เอ่ย เขาก็ยื่นมือกดลงไปในอากาศ
การโจมตีที่ธรรมดา ทว่ามีกลุ่มพลังที่มองไม่เห็น ประหนึ่งภูเขาศักดิ์สิทธิ์กดทับลงมา
ตูม!
ห่างไปสามจั้ง ร่างเฉียนเทียนหลงพลันแข็งทื่อ การขับเคลื่อนลมปราณทั่วร่างเขาคำรามทันที พลังพุ่งสูงขึ้นจนถึงขีดสุด สองมือยกขึ้นราวกับแบกกระถางสำริดสามขา
แค่เพียงพริบตาเดียวเท่านั้น ทุกคนก็สังเกตเห็นว่า ใบหน้าเฉียนเทียนหลงแดงก่ำ หน้าผากเขาเต็มไปด้วยเส้นเลือดปูดโปน คล้ายกับมิอาจทนได้ และกระดูกภายในร่างเกิดเสียงควบแน่นราวกับเสียงผัดถั่ว
โครม!
จากนั้น โต๊ะที่อยู่ด้านหน้าเฉียนเทียนหลงก็แตกออก จอกสุราและจานเล็กต่างแตกเป็นผุยผง
ที่ข้างใต้เท้าของเขา พลังค่ายกลต้องห้ามที่ปกคลุมอยู่บนพื้นพลันขับเคลื่อนทำงาน ก่อให้เกิดประกายไฟที่แสบตา ซึ่งคล้ายกับหักล้างพลังกดทับข้างใต้เท้าเฉียนเทียนหลง
ภาพนี้ ทำให้ม่านตาของฮั่วอวิ๋นเซิงและซุนเฟิงหดลงทันที
ทว่าไม่รอให้พวกเขาได้ตอบสนอง
ตุบ!!
ร่างเฉียนเทียนหลงล้มลงทันใด เข่าทั้งสองทุบลงบนพื้นอย่างรุนแรง ทำให้ทั้งตำหนักสั่นสะเทือนทันที
จานถ้วยที่อยู่บนโต๊ะด้านหน้าต่างส่งเสียงสั่นสะเทือน
ทั่วทั้งลานล้วนเงียบสงัด จนได้ยินเสียงเข็มหล่น
ด้วยฝ่ามือหนึ่ง ก็สามารถกดดันเฉียนเทียนหลงคุกเข่าลงพื้นได้!
ในยุคคนรุ่นใหม่แห่งต้าเซี่ย ศิษย์สายในวังเทพสวรรค์เมฆาผู้นี้ เรียกได้ว่าเป็นผู้ที่มีความฉลาดเป็นเลิศ และมากพอที่จะทำให้เหล่าผู้อาวุโสในโลกสามัญละอายใจ
แต่ ภายใต้ฝ่ามือนี้ เขากลับยืนหยัดไม่ถึงสามลมหายใจ และคุกเข่าลงในรอบร้อยปี!
เพราะไม่สามารถทนการโจมตีนี้ได้!
ซูอี้ดื่มสุราจากโต๊ะด้านหลังที่อยู่ไม่ไกล พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงธรรมดา “หากไม่พอใจก็ลุกขึ้นมา ถึงอย่างไรก็ไม่มีสิ่งใดทำอยู่แล้ว ข้าจะทำให้เจ้าคุกเข่าจนเลื่อมใสอย่างสุดหัวใจ”