บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 439 ทะเลทุกข์
ตอนที่ 439: ทะเลทุกข์
ตอนที่ 439: ทะเลทุกข์
เฉียนเทียนหลงหมอบกราบลงกับพื้น
ในฐานะที่เป็นศิษย์ฝ่ายในของวังเทพสวรรค์เมฆา ฝึกตนมาจนถึงตอนนี้ เป็นครั้งแรกที่เขาถูกบังคับให้คุกเข่า!
รสชาติของการถูกเหยียดหยามเช่นนี้ถาโถมเข้าสู่หัวใจไม่หยุดราวกับคลื่นทะเลอันดุร้าย ไฟโทสะลุกโชนกระตุ้นให้เขาตกอยู่ในความโกรธแค้นอย่างที่สุด
เสียงของซูอี้ยังคงดังก้อง เขาลุกขึ้นพลางสะบัดแขนเสื้ออย่างแรง
“ไปตายเสีย!”
สวบ!
มีดบินสีทองคล้ายกับจะงอยปากนกแก้วพุ่งออกมา รวดเร็วปานสายฟ้าแลบ
สีหน้าของฮั่วอวิ๋นเซิงกับซุนเฟิงเปลี่ยนไปเล็กน้อย มีดบินกระดูกนกทองคำ!
นี่คืออาวุธร้ายกาจอย่างที่สุดของเฉียนเทียนหลง ปกติจะไม่นำออกมาใช้ง่าย ๆ หลอมสร้างขึ้นโดยผู้อาวุโสในสำนักท่านหนึ่งซึ่งอยู่ในขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณ ซึ่งมีกำลังสังหารอันน่าสะพรึงกลัว
ฉึบ!
พอซูอี้ดีดนิ้ว มีดบินสีทองที่มีลักษณะคล้ายกับจะงอยปากนกแก้วเล่มนี้ก็ระเบิดกลางอากาศ เศษมีดแตกกระจายไปทั่วราวกับกระดาษ
และเมื่อฝ่ามือของซูอี้กดลงไปกลางอากาศ
ปัง!
เฉียนเทียนหลงถูกบีบให้คุกเข่าลงไปอีกครั้ง พลังสะกดที่ครอบคลุมไปทั่วผืนดินได้รับความสั่นสะเทือนประดุจคลื่นทะเลถาโถม
ฮั่วอวิ๋นเซิงกับซุนเฟิงถึงกับสูดปาก
หากบอกว่าครั้งแรกที่เฉียนเทียนหลงถูกบังคับให้คุกเข่านั้นเป็นเพราะความประมาท ถ้าเช่นนั้นการถูกบังคับให้คุกเข่าในครั้งนี้จะบอกว่าเป็นเพราะประมาทได้อีกเช่นนั้นหรือ?
เช่นนี้สามารถกล่าวได้แต่เพียง ซูอี้ผู้ที่มาจากอาณาจักรต้าโจวคนนี้ร้ายกาจพอที่จะบดขยี้เฉียนเทียนหลงได้!
“ให้ตายสิ!”
เฉียนเทียนหลงร้องตวาดด้วยความโกรธจนหน้าเขียว ราวกับสัตว์ป่าที่กำลังบ้าคลั่ง เมื่อฝืนดิ้นรนจนลุกขึ้นได้อีกครั้ง พลังในตัวถูกปลดปล่อยพยายามจะพุ่งเข้าหา
ปัง!
เมื่อซูอี้กดฝ่ามือลง เฉียนเทียนหลงคุกเข่ากับพื้นอีกครั้ง เลือดไหลซึมออกมาจากหัวเข่า ร่างกระตุกเล็กน้อยเพราะความเจ็บปวด
ชิงหยาทนไม่ไหวอยากจะปรบมือชมเชย ดวงตาที่สว่างแวววาวเต็มไปด้วยความปีติยินดี วิธีการกดทับง่าย ๆ เช่นนี้ทำให้รู้สึกสาสมแก่ใจเสียเหลือเกิน
หยวนเหิงกับไป๋เวิ่นฉิงรู้สึกตื่นตะลึงไม่หยุดเช่นกัน รู้สึกสาแก่ใจยิ่งนัก
ก่อนหน้านี้ เฉียนเทียนหลงมักจะพูดจาประหลาด วางตนสูงส่งจนติดเพดาน กิริยาวาจาเต็มไปด้วยความดูถูกดูแคลน
ทว่าตอนนี้ ถูกกดให้คุกเข่ากับพื้นไม่หยุดราวกับลูกบอล ช่างน่าสมเพชและน่าขันเสียเหลือเกิน!
แม้กระทั่งหลิงอวิ๋นเหอเองก็ยังแอบสะใจ
ผู้ฝึกตนทั่วไปไม่กล้าหาเรื่องผู้สืบทอดของวังเทพสวรรค์เมฆาเหล่านี้ ต่อให้พวกเขาทำตัวจองหองยิ่งกว่านี้ ผู้ฝึกตนส่วนใหญ่ก็ไม่กล้าจะมีเรื่องด้วย
แต่เสียดายที่ครั้งนี้พวกเขามาเจอกับซูอี้!
“ยังจะมัวหมอบกราบอยู่อีก ต่อสิ”
หลังโต๊ะ ซูอี้เอ่ยพูด ตั้งแต่เริ่มจนถึงตอนนี้เขายังคงนั่งสบายอยู่เช่นเดิม
“ฆ่า…”
คำพูดประโยคเดียวถึงกับทำให้เฉียนเทียนหลงขาดสติ สู้อย่างสุดกำลัง
“พอได้แล้ว!”
ฮั่วอวิ๋นเซิงตะคอกเสียงดัง สีหน้าเย็นยะเยือกประดุจน้ำแข็ง “ศิษย์น้องเฉียน ยังขายหน้าไม่พออีกเช่นนั้นหรือ!? ขืนต่อสู้ต่อไป เจ้าคิดว่าตัวเองมีโอกาสชนะเช่นนั้นหรือ?”
สีหน้าของเฉียนเทียนหลงหมองคล้ำ ทว่าก็สงบลงไปบ้างแล้ว ไม่กล้ากระทำการเหลวไหลอีก
เขาไม่ได้โง่ เมื่อสักครู่เพียงแค่โทสะครอบงำหัวใจเท่านั้น หลังจากที่สงบใจลงแล้ว ไหนเลยจะไม่รู้ว่า ถึงแม้จะมีระดับการฝึกตนในขอบเขตไร้เบญจธัญขั้นกลางเช่นเดียวกัน ทว่าเวลาที่ต่อสู้ขึ้นมาจริง ๆ ตนเองกลับไม่ใช่คู่ต่อสู้ของซูอี้เลย
เพียงแต่ว่า พอนึกถึงภาพเหตุการณ์ที่ตัวเองถูกบังคับให้คุกเข่ากราบเมื่อสักครู่แล้ว เฉียนเทียนหลงก็รู้สึกโกรธจนยากจะระงับอยู่ อับอายขายหน้าจนเคียดแค้นซูอี้เข้ากระดูก
ฮั่วอวิ๋นเซิงเบนสายตามองไปที่ซูอี้ แววตาเย็นเฉียบ พลางกล่าว “พวกข้าไม่คิดมาก่อนเลยว่า อาณาจักรต้าโจวไม่เพียงแต่มีเยว่ซือฉานเท่านั้น ยังมีบุคคลผู้ร้ายกาจอย่างสหายเต๋าซูอีก”
ซูอี้ยกสุราเทใส่จอกสุราแล้วเอ่ยขึ้นมา “หากพวกเจ้ายังไม่ยอมแพ้ สามารถถือโอกาสนี้ลองดูได้ มิเช่นนั้น…”
เขายกจอกสุราขึ้นมาดื่มจนหมดในรวดเดียว จึงกล่าว “หากวันข้างหน้าต้องการให้ข้าซูผู้นี้สั่งสอนความเป็นคนให้แก่พวกเจ้า คงไม่มีโอกาสเช่นนี้อีกแล้ว”
“เจ้า…”
สีหน้าของฮั่วอวิ๋นเซิงดำทะมึน
ซุนเฟิงเข้ามาพูดไกล่เกลี่ย “ศิษย์พี่ฮั่ว อย่าได้เสียอารมณ์กับคนเช่นเขาเลย เหมือนดังที่ศิษย์พี่กล่าว ต่อให้พวกเราโกรธมากกว่านี้ก็ยังต้องคำนึงถึงหน้าตาของศิษย์พี่เหวิน รอให้ถึงเมืองหลิงชวีแล้ว ต่างคนต่างเดินเส้นทางของตัว”
ฮั่วอวิ๋นเซิงสบถเสียงฮึแล้วสะบัดแขนเสื้อเดินจากไป
ซุนเฟิงพยุงเฉียนเทียนหลงให้ลุกขึ้น จากนั้นมองไปที่ซูอี้ด้วยสายตาเย็นยะเยือกประดุจน้ำแข็ง พลางกล่าว “เรื่องในวันนี้ ไม่มีทางจบเพียงเท่านี้แน่ สหายเต๋าซูอย่าได้นิ่งนอนใจไป”
พูดจบก็พาเฉียนเทียนหลงจากไป
ในตำหนัก เหลือแต่พวกของซูอี้
“พี่ชายซูอี้ เห็นชัด ๆ ว่าคนพวกนั้นจดจำความแค้นครั้งนี้ไว้แล้ว แต่จงวางใจ เมื่อข้าได้พบกับอาจารย์อาแล้ว จะช่วยพูดให้”
ชิงหยากล่าวเสียงใส
ซูอี้หัวเราะพลางกล่าว “ข้ารับน้ำใจของเจ้าแล้ว ข้าเพียงแต่หวังว่าพวกเขาจะสามารถหาตัวตนที่ร้ายกาจกว่านี้มาล้างแค้นเอากับข้า”
พูดจบ เขาก็ถอนใจเบา ๆ
เดิมทีเข้าใจว่าความสามารถของศิษย์ฝ่ายในของวังเทพสวรรค์เมฆาจะเหนือกว่าคนอื่น ๆ ทั่วไป ใครจะคาดคิดว่า… ก็เพียงเท่านี้ ผิดหวังแย่!
สีหน้าของหลิงอวิ๋นเหอแปลกไป เขาไหนเลยจะมองไม่ออกว่าซูอี้ผิดหวังเอามาก?
มาคิดดูให้ละเอียด ในวิถีต้นกำเนิดเช่นนี้จะหาตัวตนที่เก่งกาจจนสามารถประลองกำลังกับซูอี้ผู้แข็งแกร่งเช่นนี้ได้ ยากมากจริง ๆ…
ยืนในจุดสูงย่อมต้องเจอความเหน็บหนาว เป็นเช่นนี้นี่เอง
“พี่ชายซูอี้ ไม่กลัววังเทพสวรรค์เมฆาพวกนั้นมาล้างแค้นจริง ๆ หรือ?”
ชิงหยาถามด้วยความอยากรู้
ซูอี้กล่าวแบบใจลอย “วังเทพสวรรค์เมฆาเสียอีกที่ควรจะพิจารณาว่าหากเลือกที่จะเป็นศัตรูกับข้า จะสามารถแบกรับผลที่ตามมาได้หรือไม่”
ชิงหยานิ่งตะลึงไปชั่วครู่ จากนั้นก็ชูนิ้วโป้งพร้อมกับกล่าวชื่นชม “พี่ชายซูอี้ ในบรรดาคนที่ข้ารู้จัก หากพูดถึงความอหังการแล้ว พี่ชายซูอี้เป็นที่หนึ่ง!”
หลิงอวิ๋นเหอครุ่นคิดสักครู่จึงกล่าว “ลำพังแค่เฉียนเทียนหลงคนเดียว ไม่อาจเป็นตัวแทนของวังเทพสวรรค์เมฆาได้ ยิ่งไปกว่านั้น เฉียนเทียนหลงก็เป็นเพียงแค่ศิษย์ฝ่ายในคนหนึ่งเท่านั้น ด้วยฐานะของบุคคลผู้ยิ่งใหญ่ในวังเทพสวรรค์เมฆา ยังไม่ถึงกับต้องออกหน้าแทนเพราะเรื่องนี้”
นิ่งเงียบไปสักครู่ เขากล่าวต่อ “แต่ว่า หากว่าเฉียนเทียนหลงคิดเคียดแค้นในใจ จะต้องหาคนมาช่วยอย่างแน่นอน หากว่าทำให้กลายเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมา วังเทพสวรรค์เมฆาคงจะไม่เพิกเฉยดูดายเช่นกัน”
ซูอี้โบกมือ พลางกล่าว “สหายเต๋าหลิง ไม่ต้องคาดเดาในเรื่องเหล่านี้หรอก อย่าว่าแต่วังเทพสวรรค์เมฆาเลย ต่อให้ทั้งอาณาจักรต้าเซี่ยคิดจะเป็นศัตรู พวกเขาก็ไม่อยู่ในสายตาข้า”
พูดแบบเรื่อยเปื่อย ทว่าความหมายที่พูดกลับทำให้หลิงอวิ๋นเหอถึงกับสะดุ้ง
เขาไม่รู้ว่าซูอี้เอาความมั่นใจมาจากไหน รู้แต่เพียงว่าซูอี้ไม่ใช่คนที่ชอบพูดโอ้อวดตัวเองอย่างนั้นแน่นอน
ในเมื่อเขากล้าพูดออกมาเช่นนี้ ก็แสดงว่า เขาไม่กลัวที่จะเป็นศัตรูกับทุก ๆ คนบนโลก!
——
บนเรือล่องล้อเมฆา ในตำหนักที่ถูกครอบงำด้วยค่ายกลปิดกั้นเสียง
“ข้าจะต้องฆ่าซูอี้ ต้องฆ่าให้ได้!!”
ตาของเฉียนเทียนหลงแดงก่ำ บนใบหน้ามีแต่ความเคียดแค้น
“ศิษย์น้องเฉียน เรื่องนี้ไม่อาจจบง่าย ๆ เช่นนี้ได้ แต่ว่า ตอนนี้เจ้าต้องอดทนไว้ก่อน จะวู่วามไม่ได้”
สายตาของฮั่วอวิ๋นเซิงเกิดประกาย “รอให้ถึงเมืองหลิงชวีแล้ว ค่อยจัดการกับคนแซ่ซูก็ยังไม่สาย”
“ศิษย์พี่ฮั่ว คิดจะเชิญศิษย์พี่เหวินมาช่วยเช่นนั้นหรือ?”
ซุนเฟิงขมวดคิ้ว
ฮั่วอวิ๋นเซิงส่ายหน้า “ข้ายังไม่โง่ถึงเพียงนั้น ต่อให้หลิงอวิ๋นเหอกับชิงหยาไม่เล่าความให้ศิษย์พี่เหวินฟัง ด้วยนิสัยชอบตัดสินคนด้วยชัยชนะของศิษย์พี่เหวิน หากรู้เรื่องในวันนี้แล้ว จะต้องคิดว่าศิษย์น้องเฉียนไม่รู้จักประมาณตน หาเรื่องใส่ตัวเอง”
คำกล่าวนี้ทำให้เฉียนเทียนหลงรู้สึกเสียหน้าอย่างมาก ไม่รู้จักประมาณตน หาเรื่องใส่ตัวเอง หมายความว่าอย่างไร?
แต่พอนึกถึงนิสัยกับวิธีจัดการปัญหาของเหวินซินจ้าวแล้ว เฉียนเทียนหลงกลับนิ่งเงียบไป ไม่อาจโต้แย้งได้
“ถ้าเช่นนั้นศิษย์พี่ฮั่วคิดจะทำเช่นใด ขอให้ผู้อาวุโสในสำนักมาช่วยเช่นนั้นหรือ?”
ซุนเฟิงสงสัย
“หากผู้อาวุโสในสำนักรู้เรื่องในวันนี้ บางทีอาจจะออกหน้าช่วยเหลือศิษย์น้องเฉียน แต่ชื่อเสียงอันเกรียงไกรของศิษย์น้องเฉียนก็จะพังทลายลง เพราะอย่างไรเสียการแข่งขันในสำนักมีความทารุณโหดร้าย หากให้คนในสำนักรู้ว่าศิษย์น้องเฉียนโดนคนจากอาณาจักรเล็ก ๆ บังคับให้คุกเข่า คนในสำนักควรจะมองศิษย์น้องเฉียนเช่นใด?”
พอฮั่วอวิ๋นเซิงเอ่ยเช่นนี้ออกมา สีหน้าของเฉียนเทียนหลงก็เปลี่ยนไป ก่อนจะกล่าวคำออก “เรื่องนี้จะให้คนในสำนักรู้ไม่ได้เด็ดขาด!”
พูดเป็นเล่นไป หากเรื่องเสียหน้าเช่นนี้แพร่สะพัดกลับไปถึงคนในสำนัก เขาเฉียนเทียนหลงก็จะต้องกลายเป็นตัวตลกให้คนอื่นมาชี้หน้าหัวเราะเยาะ ชาตินี้ทั้งชาติไม่ต้องคิดลบรอยแปดเปื้อนนี้อีก!
ฮั่วอวิ๋นเซิงกล่าว “พวกข้าไม่เอาเรื่องนี้ไปป่าวประกาศแน่ แต่ว่า หากไม่จัดการกับพวกซูอี้ ปล่อยให้พวกเขานำเรื่องนี้ไปพูด…”
เฉียนเทียนหลงสะดุ้งในใจ กัดฟันแน่นกรอด “ใช่!จะต้องฆ่าพวกเขาทั้งหมด!”
“แต่หลิงอวิ๋นเหอกับชิงหยาก็รู้เรื่องนี้เช่นกัน ต้องฆ่าพวกเขาด้วยเช่นนั้นหรือ?”
ซุนเฟิงขมวดคิ้ว
ฮั่วอวิ๋นเซิงกล่าว “เรื่องนี้จัดการได้ง่าย ๆ จัดการกับพวกของซูอี้อย่างเงียบ ๆ ไม่ให้ใครรู้เสียก่อน จากนั้นค่อยไปขอความเห็นใจจากศิษย์พี่เหวิน”
“ฆ่าคนอย่างเงียบ ๆ ไม่ให้ใครรู้เช่นนั้นหรือ?”
เฉียนเทียนหลงคิดสักครู่ ฉับพลันก็ลุกขึ้นเดินไปโค้งคำนับต่อฮั่วอวิ๋นเซิง “ศิษย์พี่ฮั่วได้โปรดชี้แนะ ไม่ว่าจะต้องทำเช่นใด ขอเพียงกำจัดพวกของซูอี้ได้ ข้า เฉียนเทียนหลงจะทำตามทุกประการ ไม่แม้แต่ขมวดคิ้วหน้างอ!”
ฮั่วอวิ๋นเซิงยิ้มน้อย ๆ พลางกล่าวคำ “ต้องการจะกำจัดพวกเขา มีวิธีที่ดีอยู่วิธีการหนึ่ง ศิษย์น้องทั้งสองเคยได้ยินชื่อขุมกำลัง ‘ทะเลทุกข์’ หรือไม่?”
ทะเลทุกข์?
ซุนเฟิงหรี่ตาลง ก่อนจะกล่าวคำ “ศิษย์พี่พูดถึงนั้นคงไม่ใช่ขุมกำลังนักฆ่าลึกลับที่เพิ่งก่อตัวขึ้นในช่วงหลายปีมานี้หรอกกระมัง?”
ฮั่วอวิ๋นเซิงพยักหน้า พลางกล่าว “ถูกต้อง ดังคำกล่าวที่ว่าทะลุทุกข์ไร้ขอบเขต กลับตัวกลับใจก็คือฝั่ง นักฆ่าจากกลุุ่มทะเลทุกข์ต่างก็สร้างตนจากการ ‘ฉุดช่วยคนจากทะเลทุกข์’ ขอเพียงให้ข้อแลกเปลี่ยนที่สมราคาได้ อย่าว่าแต่ลอบฆ่าผู้ฝึกตนวิถีต้นกำเนิดเลย ให้ไปฆ่าผู้ฝึกตนขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณล้วนไม่ใช่เรื่องยากสำหรับกลุ่มทะเลทุกข์นี้”
พูดถึงตรงนี้ เขาก็หัวเราะมีเลศนัย พลางกล่าว “ศิษย์น้องทั้งสองยังจำโศกนาฏกรรมของ ‘สำนัก’ ซึ่งเป็นขุมกำลังอันดับหนึ่งของ ‘แคว้นตงอวิ๋น’ เมื่อครึ่งปีก่อนได้หรือไม่?”
เฉียนเทียนหลงกับซุนเฟิงมองตากัน เรื่องใหญ่ที่สั่นสะเทือนไปทั่วใต้หล้าเรื่องนี้ พวกเขาย่อมรู้อยู่แล้ว
ตอนนั้น ‘นักพรตมู่’ ผู้อาวุโสสูงสุดแห่งสำนักหลิวเจี่ยเพิ่งผ่านพ้นพิบัติฟ้า กลายเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณอันดับหนึ่งในประวัติศาสตร์ของสำนักหลิวเจี่ย
ทว่าในคืนวันเดียวกันขณะที่นักพรตมู่กำลังแสดงวิถีขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณ ก็ดับชีวิตลงในห้องของตัวเอง กลางหัวคิ้วถูกเจาะเป็นหลุม จิตวิญญาณแตกระเบิด ตายตาไม่หลับ
ข้างศพของเขา มีเรือกระดาษสีดำขนาดเท่ากับฝ่ามือวางอยู่
ทว่าสุดท้าย นอกจากเรือกระดาษสีดำที่มีรูปร่างประหลาดลำนี้แล้ว ผู้ที่ลงมือฆ่าคือใคร จนถึงวันนี้ก็ยังคงเป็นปริศนา
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ถูกยกมาพูดคุยจนเป็นกระแสในแวดวงผู้ฝึกตนของอาณาจักรต้าเซี่ย
แววตาของฮั่วอวิ๋นเซิงแปลกไปเล็กน้อย เขากล่าวขึ้นมาเบา ๆ “เรื่องนี้ เป็นฝีมือของนักฆ่าคนหนึ่งในทะเลทุกข์ ว่ากันว่านักฆ่าคนนั้นมีการฝึกตนถึงขอบเขตรวบรวมดาราเท่านั้น จึงได้รับสมญานามในกลุ่มทะเลทุกข์ให้เป็น ‘คนพายเรือ’!”
“เรือกระดาษสีดำที่พบข้างกายศพของนักพรตมู่ลำนั้นก็คือ ‘เรือมืดมิด’ ที่คนพายเรือทิ้งไว้! หมายความว่าคน ๆ นี้ได้รับการฉุดช่วยจากคนพายเรือแล้ว”
ฟังถึงตรงนี้ เฉียนเทียนหลงกับซุนเฟิงต่างก็สูดปาก มองหน้ากันด้วยความตื่นตระหนก