บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 44 สืบทอดหมัดจิตรูปหกประสาน
ตอนที่ 44 สืบทอดหมัดจิตรูปหกประสาน
เช้าวันรุ่งขึ้น
ริมแม่น้ำต้าฉาง ณ ป่าหม่อน
ยังไม่ทันรุ่งสางดี หวงเฉียนจวินก็มารอท่าอยู่ก่อนแล้ว
ยามฟ้าเริ่มสว่าง เห็นร่างเพรียวเดินเอื่อยเฉื่อยมาแต่ไกล
ชุดคลุมสีฟ้าพลิ้วไหวตามแรงลม สะอาดสะอ้านดุจดั่งหยกที่เพิ่งถูกเจียระไน
ซูอี้นั่นเอง
“พี่ซู!” หวงเฉียนจวินยิ้มและเอ่ยทักทายอีกฝ่ายทันที
ในมือถือกล่องอาหารสลักลายดอกสาลี่งดงาม พร้อมโถสุรา
“ท่านยังไม่ได้ทานอาหาร นี่เป็นน้ำแกงกระดูกหมูและอาหารเช้าที่ข้าสั่งให้พ่อครัวทำให้ ส่วนโถสุรานี้คือสุราหมักอายุสามสิบปีของพ่อข้า” หวงเฉียนจวินเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม
ซูอี้ชะงักไปชั่วขณะ เอ่ยคำ “วางลงก่อนเถิด เอาไว้หลังข้าฝึกเสร็จแล้วค่อยกินให้สำราญใจยังไม่สาย”
สิ้นคำ เขาเดินเข้าไปฝึกเคล็ดวิชาหลอมกายกระเรียนล่องลอยในป่าหม่อน
หวงเฉียนจวินอยู่รอไม่ห่างออกไป
เขาเดาว่าเคล็ดวิชาที่ซูอี้ฝึกฝนนั้นย่อมไม่ใช่วิชาดาษดื่นทั่วไป ทว่าเมื่อไม่อาจเข้าใจแก่นแท้ของมันได้ เขาจึงดูใจเย็น ผิดกับท่าทีประหลาดใจของเซียวเทียนเชวี่ยและจื่อจิ่นเมื่อเห็นภาพนี้
ผ่านไปราวครึ่งชั่วยาม ซูอี้ก็ฝึกฝนเสร็จสรรพ
หวงเฉียนจวินรีบเปิดกล่องอาหาร นำน้ำแกงกระดูกหมูและอาหารเช้าออกมา วางลงบนแท่นหินในป่า พร้อมเปิดโถสุรารินลงถ้วย
ซูอี้ไม่ปฏิเสธ นั่งลงบนหินใหญ่พลางคีบอาหารกินอย่างเพลิดเพลิน กล่าวขึ้น “เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดข้าให้เจ้ามาที่นี่ในวันนี้?”
อีกฝ่ายส่ายหน้า “ข้าเองก็ครุ่นคิดเช่นกัน เพียงแต่ไม่อาจรู้ได้”
“อีกครึ่งเดือนงานประลองประตูมังกรจะจัดขึ้น ในเมื่อตอนนี้เจ้าติดตามข้า ข้าย่อมไม่อาจปล่อยให้เจ้าแสดงฝีมืออ่อนหัดเมื่อเข้าประลองในงานได้”
ซูอี้จิบสุรา หลับตาดื่มด่ำรสชาติชั่วครู่ ก่อนพยักหน้าพึงใจ รสชาติของสุราหมักนี้ช่างไม่ธรรมดา
หวงเฉียนจวินพลันมีท่าทีตื่นตัว อยู่ไม่สุข เอ่ยเสียงสั่นเครือ “พี่ซู… ท่านจะสอนข้าฝึกยุทธ์หรือ?”
“ถูกต้อง”
ซูอี้ชิมน้ำแกงกระดูกหมูในหม้อ รสชาติอร่อยล้ำ เด่นชัดว่าสมุนไพรมีค่ามากมายถูกนำไปใช้ปรุง ซึ่งมีประโยชน์ต่อการฝึกยุทธ์มากทีเดียว
“นี่มัน…นี่มัน…” หวงเฉียนจวินเหมือนได้รับขนมร่วงหล่นจากฟ้า*[1] รู้สึกงุนงงไม่น้อย
เขาคิดหาเหตุผลสารพัดเมื่อคืนก่อน ทว่านึกไม่ถึงว่าซูอี้จะถ่ายทอดวิชาให้เขา!
“อย่ามัวแต่อึ้ง ไปแสดงวิชาที่เจ้าถนัดที่สุดให้ข้าดูเถิด” ซูอี้ชี้ไปยังลานเปิดโล่งซึ่งอยู่ไม่ห่างออกไป
หวงเฉซียนจวินรีบขานรับ ตรงไปยังลานกว้าง
เขาสูดหายใจ หยุดนิ่งเงียบกระทั่งตั้งสมาธิมั่น ก่อนออกกระบวนท่าในท้ายที่สุด
ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ!
ท่วงท่าแข็งแรง ทั้งหมัดและการเคลื่อนไหวปราดเปรียวว่องไวและทรงพลัง
มันคือวิชา ‘หมัดจิตรูปหกประสาน’ ประจำตระกูลหวง
ซูอี้เฝ้ามองขณะดื่มกิน
เวลาผ่านไป เขากลับกินไม่ลงดื่มไม่คล่อง
หน้านิ่วคิ้วขมวด
กระทั่งหวงเฉียนจวินแสดงวิชา ‘หมัดจิตรูปหกประสาน’ เสร็จสิ้น ซูอี้ยกมือกุมขมับพร้อมความกลัดกลุ้ม
“พี่ซู เสร็จแล้ว” หวงเฉียนจวินภาคภูมิใจ กระปรี้กระเปร่ายิ่งนัก
“แนวคิดของวิชาเจ้ายังพอไปวัดไปวา แต่กระบวนท่าที่เจ้าแสดงออกกลับอ่อนด้อย ไม่ใช่สิ มันเละเทะอย่างสิ้นเชิงต่างหาก”
ซูอี้ถอนหายใจ เขาแทบทนมองหวงเฉียนจวินแสดงวิชาไม่ได้ แม้แต่อาหารยังกลืนไม่ลง
หวงเฉียนจวินหน้าเสีย เขาผิดหวังอยู่เต็มอก เอ่ยด้วยความอับอาย “พี่ซู ข้าจะพยายามแก้ไขให้ถูกต้อง!”
อย่างไรก็ตามเขายังคลางแคลงใจ แม้ตอนนี้เขาจะอยู่ในขั้นขัดเกลาภายใน แต่เขามั่นใจมากว่า เขาช่ำชองกระบวนหมัดหกประสานเป็นที่สุดเพราะฝึกมาเนิ่นนาน แต่เหตุใดซูอี้ถึงเอ่ยกล่าวว่ากระบวนท่าของเขาไม่ได้เรื่อง?
ทว่าเขาเป็นคนมีไหวพริบ ฉะนั้นจึงไม่เอ่ยปากเถียง
ซูอี้ยืนขึ้น ก้าวไปยังลานกว้าง ก่อนเอ่ยปาก “สิ่งใดคือจิตรูป? หมายถึงต้องมีทั้งจิตและรูปอย่างไรเล่า!”
“หมัดจิตรูปหกประสานหมายถึงทั้งจิตและรูป รูปเชื่อมลมปราณ ลมปราณผสานเป็นกำลัง ทั้งหัวไหล่ สะโพก ข้อศอก หัวเข่า มือ และเท้า ปลดปล่อยพลังออกไปในคราเดียว ทั้งหมดจึงรวมเป็นหนึ่งได้”
สิ้นคำ ร่างซูอี้เคลื่อนขยับฉับพลัน เป็นวิชา ‘หมัดจิตรูปหกประสาน’ แห่งตระกูลหวง
เมื่อออกหมัด หมุนกาย ม้วนร่าง พุ่งทะลุทะลวง ก่อนหันกลับมาในระยะประชิด พร้อมผสานเคล็ดวิชา ทั้งร่างฉวัดเฉวียนดั่งเชือก ทั้งเคลื่อนไหวหนักแน่นราวขุนเขาอันยิ่งใหญ่แข็งแกร่ง
ยามขยับร่าง เท้าก้าวลื่นไหลไม่ต่างสายน้ำ แต่เมื่อย่ำลงกลับคล้ายรากไม้หยั่งปฐพี!
กายแกร่งทว่าไม่เกร็ง นุ่มนวลแต่ไม่อ่อนแอ เปี่ยมกำลังยืดหยุ่นหนักแน่น
หวงเฉียนจวินตาเบิกโพลง ใจเต้นระรัว สิ่งนี้…
“จงจำไว้ แก่นแท้ของกระบวนหมัดนี้คือสี่คำนี้ ‘จิตรูปรวมหนึ่ง’ เช่นนี้จึงจะมีจิตมายาและรูปแท้ควบคู่กัน ผสานแข็งแกร่งและนุ่มนวลไว้ด้วยกัน และเคลื่อนไหวได้อย่างมั่นคงและเหมาะสม”
“ทุกครั้งที่เจ้าออกหมัด ให้เหมือนยกค้อนโหมกระหน่ำฟากฟ้า เมื่อปล่อยพลังจึงจะสะเทือนผืนดินสะท้านวิญญาณ!”
เมื่อมองจากที่ห่าง ในขณะที่ซูอี้ออกหมัด มันรุนแรงราวกับสามารถสั่นคลอนภูผาเลื่อนลั่นไปถึงประตูสวรรค์ได้ ไม่ต่างค้อนยักษ์ที่ตีระรัวไปถึงสรวงสวรรค์
ช่างน่าเกรงขามนัก!
หวงเฉียนจวินใจเต้นถี่ด้วยความตกตะลึง ลมหายใจติดขัด อดเกร็งไปทั้งร่าง พร้อมขนลุกขนชัน
เพียงแค่มองอยู่ระยะห่างยังน่าประทับใจ!
“นี่… คือหมัดจิตรูปหกประสานแห่งตระกูลหวงของข้าจริงหรือ?”
หวงเฉียนจวินพรึงเพริด แทบกัดลิ้นตนเอง สายตาฉายแววงุนงง
แม้แต่บิดาของเขายังห่างชั้นจากการสำแดงอำนาจของซูอี้เมื่อครู่นี้!
ล่วงเลยไปครู่หนึ่ง
ซูอี้ยืนนิ่ง สงบจิตใจก่อนจะเอ่ยถาม
“เจ้าเข้าใจแล้วหรือยัง?”
หวงเฉียนจวินละล่ำละลัก ว่าอย่างกระดากใจ “พี่ซู ข้า… เข้าใจเพียงเล็กน้อย ยังไม่อาจเข้าถึงแก่นแท้ของมัน”
เสียงแผ่วเบาลงทุกที ขณะก้มหน้าลง
เขาเอาแต่ตื่นตะลึง จะมีสมาธิเรียนรู้ได้อย่างไร
“เจ้าเด็กคนนี้หัวช้ากว่าผีหยินอย่างชิงหว่านเสียอีก…” ซูอี้แอบส่ายหน้า
ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งจึงหักไม้หม่อนมาเขียนลงบนดิน
หลังจากเขียนจบ เขาก็โยนไม้ทิ้งก่อนเอ่ย “นี่เป็นวิธีการกำหนดลมหายใจที่ข้าคิดค้นเพื่อให้เจ้าใช้มันเป็นการชั่วคราวเพื่อฝึกกระบวนหมัด เจ้าจดจำให้ดี ต่อจากนี้ไปจงฝึกด้วยการกำหนดลมหายใจเช่นนี้ไปก่อน”
หวงเฉียนจวินรีบก้าวเข้าไปอ่าน
“นอกจากนี้ ทุกเช้าเจ้าจงมารอข้าที่นี่ ข้าจะได้สอนวิชาหมัดของเจ้าให้เพิ่มเติม”
“แต่ข้าให้เวลาเจ้าเพียงเจ็ดวันเท่านั้น หากเจ้ายังไม่อาจเข้าใจแก่นแท้ได้สำเร็จ ต่อไปห้ามติดตามข้าเป็นอันขาด”
“เอาล่ะ วันนี้เจ้าใช้เวลาจดจำสิ่งที่ข้าเขียนให้เต็มที่ ข้าไปก่อนล่ะ”
ว่าจบซูอี้จึงหันหลังกลับ
หวงเฉียนจวินยืนเหม่ออยู่ครู่หนึ่ง ก่อนสูดหายใจลึก กัดฟันตะโกนบอกไล่หลัง
“พี่ซูอุตส่าห์มีเมตตาสั่งสอนข้า หากข้าหวงเฉียนจวินทำไม่สำเร็จ ข้ายอมตาย!”
…
“เอาเถอะ มิใช่ทุกคนในโลกนี้ที่จะมีพรสวรรค์แต่กำเนิด ไม่นับรวมเรื่องที่โลกนี้พลังวิญญาณเหือดแห้ง คงจะคาดหวังกับหวงเฉียนจวินไม่ได้มากนัก…”
ซูอี้ทอดถอนใจจนกระทั่งกลับไปถึงสำนักแพทย์ซิ่งเหอ
ท้ายที่สุด เขาได้ข้อสรุปว่าชาติก่อนเขาได้พบพานอัจฉริยะหาผู้ใดเทียบเทียมเป็นจำนวนมากมายเกินไป ดังนั้นเขาจึงคาดหวังกับหวงเฉียนจวินมากเกินอย่างไม่รู้ตัว
ภายในสำนักแพทย์
หูเฉวียนรีบมาแจ้งข่าวเมื่อเห็นซูอี้ “ท่านบุตรเขย คุณหนูหลิงเสวี่ยพาแขกสองคนมา ตอนนี้นางกำลังรอท่านอยู่ที่ ‘เรือนเล็กเหมยอำพัน’ ขอรับ”
เรือนเล็กเหมยอำพัน
มันคือชื่อบ้านที่ซูอี้พักอาศัยอยู่
“แขกสองคนหรือ?”
ซูอี้ชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนพยักหน้ารับและออกไปทางประตูหลังสำนักแพทย์
เมื่อเปิดประตูบ้าน เห็นทั้งสามคนยืนอยู่ใต้ต้นแคฝรั่ง
หนึ่งในนั้นคือเหวินหลิงเสวี่ย
วันนี้เด็กสาวอยู่ในชุดสีเขียวน้ำทะเล เสริมรูปร่างเพรียวบางน่ามอง ผูกผมเป็นหางม้าด้วยผ้าไหมสีฟ้าห้อยระย้าลงมาคล้ายน้ำตก เผยให้เห็นลำคอระหง นางยืนอยู่กลางแสงแดด ขับผิวขาวให้ยิ่งเจิดจ้า ใบหน้างดงามสดใส ดูอ่อนเยาว์
ตั้งแต่งานเลี้ยงวันเกิดจบลง เขากับน้องภรรยาคนนี้ก็ไม่ได้พบหน้ากันมานับสัปดาห์
“พี่เขย ท่านกลับมาแล้ว”
เมื่อนางเห็นเขา รอยยิ้มถูกส่งมาให้อย่างไม่ทันตั้งตัว ขนตางอนยาว ดวงตาหยาดเยิ้มคล้ายสายธาร นางยกโบกมือทักทายเขา
แม้แต่น้ำเสียงยังร่าเริงอ่อนหวาน
ซูอี้ขยับยิ้มมุมปาก ได้พบกับเด็กสาวงามผู้ร่าเริงสดใสปานนี้ เขาจะไม่มีความสุขได้อย่างไร?
ทว่าเมื่อเห็นชายหญิงข้างนาง ซูอี้คิ้วขมวด รอยยิ้มจางหายลงไป
“ศิษย์พี่ซู” หญิงสาวหันมาทักทายและมองหน้าซูอี้ด้วยแววตาอ่านยาก
นางแต่งกายสง่า ดวงหน้างามพิสุทธิ์ ยืนสงบนิ่งราวกล้วยไม้ในหุบเขารกร้าง ครั้นเมื่อสบตากลับเผยแววหดหู่เศร้าสร้อย ชวนให้สงสารจับใจ
“เจ้ามาที่นี่ด้วยเหตุใด?” ท่าทีซูอี้เฉยเมย แต่เขาจดจำหญิงสาวคนนี้ได้ขึ้นใจ
หนานอิ่ง
ในบรรดาศิษย์สายนอกของสำนักดาบชิงเหอ นางเป็นหญิงสาวเพียงผู้เดียวที่เคยมีสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเขา
เมื่อตอนนั้นเขายังไม่ได้ความทรงจำจากชาติก่อนกลับมา เขาทั้งเก็บตัวและหงอยเหงา มีสหายน้อยคนนัก หนานอิ่งเป็นผู้ที่เข้ามาปลอบประโลมเขา
พวกเขาอยู่เคียงข้างกันมาสามปี
แม้นางจะไม่เคยประกาศตัวว่าเป็นคนรัก ทว่ามันก็ไม่ได้ต่างกันนักในสายตาของคนภายนอก
แต่เมื่อเขาสูญเสียการบ่มเพาะ กลับกลายเป็นศิษย์ที่ถูกเนรเทศจากสำนัก หนานอิ่งได้หายตัวไปและไม่เคยปรากฏตัวในชีวิตเขาอีก
กระทั่งเขาแต่งเข้าตระกูลเหวิน เขายังคงโศกเศร้าและไม่อาจทำใจได้ หมายมั่นจะออกตามหาหนานอิ่งหลายครั้ง เพื่อถามนางว่าเหตุใดจึงเลือดเย็นเช่นนี้
นับว่าความรู้สึกต่อหนานอิ่งเป็นปมในใจของเขามาเนิ่นนาน เขามักสิ้นหวังและเศร้าใจทุกครั้งที่นึกถึง
อย่างไรก็ตามหลังจากความทรงจำในชาติก่อนฟื้นคืน ทุกอย่างได้เปลี่ยนแปลงไป
ซูอี้คาดไม่ถึงว่าบัดนี้นางจะกลับมาหา
นางมาที่นี่ด้วยเหตุใดกัน?
“ข้า… ตอนนี้ข้าอยู่กับท่านพี่หนีเฮ่า ติดตามท่านลุงโจวฮวายชิวเพื่อฝึกตน ผ่านมาเมืองกว่างหลิงเมื่อวานนี้ และได้ยินเรื่องราวของศิษย์พี่ซู ข้าจึงต้องการพบหน้าท่าน”
หนานอิ่งกัดริมฝีปากสีแดงสดของตน เผยความไม่สบายใจที่หว่างคิ้ว ชวนให้น่าเห็นใจ
“ศิษย์พี่ซู”
นอกจากหนานอิ่ง ยังมีชายหนุ่มหล่อเหลาร่างสูงในชุดปักลายสีทอง เขาค้อมศีรษะทักทายซูอี้ที่อยู่ไม่ห่างออกไป ออกอาการกระอักกระอ่วนอยู่บ้าง
แต่ลึกลงไปในดวงตาของเขา ยังฉายแววเฉยชาและรังเกียจ
เห็นได้ชัดว่าทักทายเป็นมารยาทเท่านั้น ไม่ได้เคารพซูอี้จากใจจริง
[1] ขนมร่วงหล่นจากฟ้า หมายถึงได้สิ่งที่อยากได้โดยไม่ต้องออกแรง