บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 441 แสงเทียนคิดเทียบกับแสงจันทร์ดารา
ตอนที่ 441: แสงเทียนคิดเทียบกับแสงจันทร์ดารา
ตอนที่ 441: แสงเทียนคิดเทียบกับแสงจันทร์ดารา
เมื่อรู้สึกได้ถึงปฏิกิริยาของซูอี้ ชายชราก็ตะลึงไปเล็กน้อย
ทว่า เมื่อมองระดับการฝึกตนของซูอี้ออกแล้ว ชายชราก็ไม่ใส่ใจ เพียงแต่เก็บสายตากลับมา
“เหตุใดพวกศิษย์พี่ฮั่วของเจ้าจึงยังไม่กลับมาอีก?”
ชายชรามองไปที่เริ่นโหยวโหย่ว
“พวกศิษย์พี่มีธุระอื่น ไม่นานนักก็คงจะกลับมาเจ้าค่ะ”
เริ่นโหยวโหย่วตอบเบา ๆ
ชายชราพยักหน้า ก่อนจะเบนสายตามองไปที่ชิงหยา เขายิ้มด้วยความเมตตาพลางกล่าว “คิดว่าเจ้าคงจะเป็นแม่นางชิงหยากระมัง?”
ชิงหยาตอบเสียงใส “ถูกต้อง ขอเรียนถามท่านลุงมีชื่อเสียงเรียงนามว่าอันใด?”
ชายชรายิ้มพลางตอบ “ข้ามีนามว่าจางอวิ๋นเทา รับตำแหน่งผู้อาวุโสของวังเทพสวรรค์เมฆา”
เขารู้สึกถูกชะตาชิงหยา
“หลิงอวิ๋นเหอแห่งหอดาบหนึ่งสวรรค์คารวะสหายเต๋า”
หลิงอวิ๋นเหอก้าวเดินมาข้างหน้า ประสานมือทำความเคารพ
“ข้าเคยได้ยินซินจ้าวกล่าวถึงเจ้า”
จางอวิ๋นเทายิ้มพลางพยักหน้า
จากนั้น หลิงอวิ๋นเหอก็แนะนำฐานะของซูอี้ หยวนเหิง และไป๋เวิ่นฉิง
เมื่อรู้ว่าพวกของซูอี้มาจากอาณาจักรต้าโจว และสองคนในจำนวนยังเป็นผู้ฝึกปีศาจ จางอวิ๋นเทาก็แสดงท่าทีเย็นชาลงไปไม่น้อยอย่างเห็นได้ชัด เพียงแค่พยักหน้าน้อย ๆ เท่านั้น
ท่าทีเช่นนั้น เหมือนกับตอนที่พวกของฮั่วอวิ๋นเซิงพบกับพวกของซูอี้ไม่มีผิดเพี้ยน ต่างก็ทำท่าแสดงตนสูงส่งเสียเหลือเกิน
ด้วยฐานะผู้อาวุโสแห่งวังเทพสวรรค์เมฆาของเขา หากว่าอยู่ในแคว้นเทียนหนานแห่งนี้ ต่อให้เป็นผู้กุมอำนาจในสำนักผู้ฝึกตนก็ยังต้องแสดงความเคารพนบนอบ เทิดทูนราวกับเป็นเทพผู้รอบรู้
ในสถานการณ์เช่นนี้ ไหนเลยจะให้ความใส่ใจกับผู้ฝึกตนที่มาจากอาณาจักรเล็ก ๆ อย่างพวกของซูอี้
อย่างไรเสียก็ดีนี่ก็คือความแตกต่างด้านฐานะและตำแหน่ง เวลาที่จางอวิ๋นเทาอยู่ต่อหน้าพวกของซูอี้จึงเปรียบเสมือนกำลังมองดูคนรุ่นหลังที่ไม่มีความพิเศษอันใด
หากไม่ใช่เพราะพวกของซูอี้อยู่กับหลิงอวิ๋นเหอ จางอวิ๋นเทาก็ยังคร้านจะมองเสียด้วยซ้ำไป
ซูอี้ไม่ใส่ใจกับเรื่องเหล่านี้เป็นธรรมดา
หลังจากที่ได้เห็นท่าทางการแสดงตนของพวกฮั่วอวิ๋นเซิงแล้ว เมื่อเจอกับท่าทีเช่นนี้ หยวนเหิงกับไป๋เวิ่นฉิงจึงไม่รู้สึกแปลกอะไรอีก
ไม่ว่าจะอยู่ในโลกสามัญ หรือในแวดวงผู้ฝึกตน หากต้องการจะได้รับความเคารพจากผู้อื่น ก็ต้องมีความสามารถและฐานะที่ทัดเทียมกัน
มิเช่นนั้น ทุกอย่างล้วนเป็นแค่คำพูดเลื่อนลอย
ถึงแม้จะโกรธ แต่นั่นก็มีแต่จะทำให้ตัวเองแลดูไร้ความสามารถมากขึ้น
“ท่านลุง อาจารย์อาของข้าอยู่ที่ใด?”
ชิงหยาอดถามขึ้นมาไม่ได้
จางอวิ๋นเทาตอบ “นางกำลังฝึกตนอยู่ ประเดี๋ยวก็ออกมาแล้ว พวกเจ้าจงรออยู่ตรงนี้”
ชิงหยาพยักหน้า
ซูอี้เห็นเช่นนี้ จึงหยิบย่ามวิเศษออกมาแล้วยื่นให้หยวนเหิง พลางกล่าว “เจ้ากับแม่นางไป๋จงเข้าไปในเมืองเพื่อนำของเหล่านี้ไปขาย จงแลกเป็นหินวิญญาณระดับห้าขึ้นไปให้หมด”
สิ่งที่บรรจุอยู่ในย่ามวิเศษคือสมบัติที่ไร้คุณค่าต่อซูอี้ ซึ่งมีอยู่จำนวนมากมาย
มาเมืองหลิงชวีในครั้งนี้ เดิมทีเขาตั้งใจว่าจะขายสมบัติเหล่านี้เพื่อแลกกับทรัพยากรการฝึกตนที่เหมาะสมต่อตัวเอง
“ขอรับ”
หยวนเหิงยื่นสองมือไปรับ
“ไปได้แล้ว”
ซูอี้โบกมือ
หยวนเหิงกับไป๋เวิ่นฉิงหมุนตัวออกไป
ซูอี้หยิบเก้าอี้หวายออกมา แล้วก็เอนกายลงบนนั้นด้วยท่าทีผ่อนคลาย
ท่าทางเกียจคร้านเช่นนี้ของเขาทำให้จางอวิ๋นเทาตะลึงเล็กน้อย คิ้วขมวดขึ้นมา เจ้าหนุ่มคนนี้… ไม่มีความเกรงใจกันบ้างเลย!
คิดสักครู่ จางอวิ๋นเทาก็กล่าวกับหลิงอวิ๋นเหอ “สหายเต๋าหลิง หลังจากที่พบกับซินจ้าวแล้ว แม่นางชิงหยาจะต้องไปฝึกตนที่วังเทพสวรรค์เมฆาพร้อมกับพวกเราเป็นแน่ สหายเต๋ามีความคิดเห็นเช่นใด?”
หลิงอวิ๋นเหอยิ้มพลางตอบ “เป้าหมายในการมาครั้งนี้ ก็เพื่อส่งชิงหยาไปยังวังเทพสวรรค์เมฆา เมื่อพบกับอาจารย์อาของนางแล้วค่อยพิจารณาเรื่องย้อนกลับไปสู่อาณาจักรต้าฉี”
“แล้วเขาเล่า?”
จางอวิ๋นเทาเบนสายตามองไปที่ซูอี้ซึ่งนอนเอนกายอยู่บนเก้าอี้หวาย
“เรื่องนี้…”
หลิงอวิ๋นเหอตะลึง เขาไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อน
เมื่อเห็นเช่นนี้แล้ว จางอวิ๋นเทาจึงกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “สหายเต๋าหลิง ถึงแม้เวลานี้ซินจ้าวจะไม่อยู่ แต่ข้าต้องบอกเรื่องหนึ่งให้เจ้ารู้ก่อนล่วงหน้า ครั้งนี้แม่นางชิงหยามีโอกาสเข้าฝึกตนในวังเทพสวรรค์เมฆาได้ เพราะเห็นแก่หน้าของซินจ้าว ไม่ได้ทำตามกฎ เรื่องเช่นนี้ไม่อาจเกิดขึ้นเป็นครั้งที่สองได้”
หลิงอวิ๋นเหอกล่าวด้วยความลังเล “สหายเต๋าหมายความเช่นใด?”
ซูอี้กลับหัวเราะขึ้นมา พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงสบาย “เขากลัวว่าที่ข้าอยู่กับพวกเจ้า ก็เพราะต้องการจะเข้าฝึกตนในวังเทพสวรรค์เมฆาเช่นกัน”
หลิงอวิ๋นเหอจึงเข้าใจขึ้นมา
จางอวิ๋นเทาเลิกคิ้วกล่าว “ไม่ใช่หรอกหรือ?”
หลิงอวิ๋นเหออธิบาย “สหายเต๋าคิดมากเกินไปแล้ว ด้วยระดับวิถีและพรสวรรค์ของสหายเต๋าซู หากว่าเขาต้องการจะไปฝึกตนที่วังเทพสวรรค์เมฆา ก็ไม่จำเป็นต้องใช้วิธีนี้เลย อาศัยเพียงแค่ความสามารถของตัวเขาเองก็สามารถผ่านการทดสอบต่าง ๆ ได้อย่างง่ายดาย”
ชิงหยาพยักหน้าด้วยเช่นกันพลางกล่าว “เป็นเช่นนี้จริง ๆ พี่ชายซูอี้ร้ายกาจมาก!”
จางอวิ๋นเทาอดหัวเราะขึ้นมาไม่ได้ กล่าวน้ำเสียงราบเรียบ “พวกเจ้ามาจากอาณาจักรต้าฉี คงจะไม่รู้ว่าวังเทพสวรรค์เมฆาของข้าเคร่งครัดในการคัดเลือกศิษย์ ในเขตแคว้นของต้าเซี่ยมีคนเก่งมากมาย คนมีพรสวรรค์มีนับไม่ถ้วน ทว่าผู้ที่ผ่านการทดสอบของวังเทพสวรรค์เมฆาในแต่ละปีกลับมีไม่ถึงสามสิบคน ในจำนวนนี้ มีคนใดบ้างที่ไม่ใช้เมล็ดพันธุ์ผู้ฝึกตนที่หายาก?”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ ความภาคภูมิใจก็ปรากฏขึ้นบนสีหน้าแววตาของเขา “มองดูคนรุ่นใหม่ในใต้หล้า ไม่มีใครคนใดกล้าพูดว่าเป็นศิษย์ของวังเทพสวรรค์เมฆาได้อย่างง่ายดาย”
ความหมายทั้งหมดที่กล่าวมาเต็มไปด้วยหยิ่งทะนงตน
หลิงอวิ๋นเหอแอบหัวเราะเยาะในใจ หากตาเฒ่าคนนี้รู้ว่าศิษย์ฝ่ายในอย่างเฉียนเทียนหลงต้องอยู่ในสภาพน่าสมเพชด้วยฝีมือของซูอี้ เกรงว่าคงไม่กล้าที่จะกล่าวเช่นนี้อีก
เมื่อนึกถึงตรงนี้ เขาก็อดมองไปที่เริ่นโหยวโหย่วไม่ได้
เริ่นโหยวโหย่วรู้ว่าซูอี้กดดันเฉียนเทียนหลงเช่นใด ทว่าสิ่งที่ทำให้หลิงอวิ๋นเหอรู้สึกคาดไม่ถึงก็คือ เริ่นโหยวโหย่วกลับนิ่งเงียบ ไม่เอ่ยถึงเรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย
‘หรือเป็นเพราะว่าเฉียนเทียนหลงรู้สึกขายหน้า จึงสั่งกำชับเริ่นโหยวโหย่วไว้ก่อนแล้ว ไม่ให้นางเปิดเผยเรื่องนี้?’
หลิงอวิ๋นเหอครุ่นคิด
ส่วนซูอี้ เขาคร้านจะใส่ใจกับเรื่องเหล่านี้
ชิงหยากล่าวเสียงใส “ท่านลุง ที่กล่าวมาเช่นนี้ก็เพราะว่าท่านลุงไม่รู้ความร้ายกาจของพี่ซูอี้ แต่… พูดสิ่งเหล่านี้ไปก็ไร้ประโยชน์ เพราะเป็นไปไม่ได้ที่ตัวตนอย่างพี่ชายซูอี้เข้าไปฝึกตนในวังเทพรสวรรค์เมฆา”
จางอวิ๋นเทาตะลึง หัวเราะเสียงหลง พลางกล่าว “แม่นางชิงหยา ความหมายของเจ้าก็คือ วัดของวังเทพสวรรค์เมฆาของข้าเล็กเกินไป จึงไม่อาจรับเทพองค์ใหญ่อย่างสหายน้อยซูได้เช่นนั้นหรือ?”
กล่าวคำหยอกล้อแฝงไว้ซึ่งการเหน็บแนม เห็นได้ชัดว่าไม่เห็นด้วยเลยสักนิด
ใครจะคาดคิดว่าชิงหยากลับกล่าวจริงจังขึ้นมา “ตอนที่อาจารย์อาของข้าเข้าสู่วังเทพสวรรค์เมฆา เซียนหานเยียนก็กล่าวไว้แล้วไม่ใช่หรือว่า เมื่อไม่มีความสามารถสั่งสอนถ่ายทอดวิถีดาบให้แก่อาจารย์อาน้อยของข้า ก็จะยกเลิกความเป็นศิษย์กับอาจารย์ ให้อาจารย์อาเลือกหนทางอีกทาง ข้าคิดว่า หากพี่ชายซูอี้เข้าสู่วังเทพสวรรค์เมฆาแล้ว เกรงว่าคงไม่มีใครสามารถชี้แนะการฝึกตนให้เขาได้…”
เพิ่งพูดถึงตรงนี้ สีหน้าของหลิงอวิ๋นเหอก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย ก่อนจะกล่าว “ชิงหยา อย่าได้พูดจาเหลวไหล!”
ทว่าจางอวิ๋นเทากลับหัวเราะเสียงดังขึ้นมา และกล่าวคำว่า “สหายเต๋าหลิงอย่าได้ดุแม่นางชิงหยา นางอายุยังน้อย ไหนเลยจะเข้าใจในเรื่องเหล่านี้?”
นิ่งเงียบไปสักครู่ เขาพิจารณามองดูซูอี้อีกครั้งอย่างละเอียด แสร้งทำเป็นกล่าวขึ้นมา “เพียงแต่ว่า ข้าอยากจะรู้นัก ว่าสหายเต๋าน้อยซูผู้มาจากอาณาจักรต้าโจวคนนี้มีความสามารถอันใด จึงทำให้แม่นางชิงหยาเข้าใจว่า เขาสามารถเทียบตัวเองกับเหวินซินจ้าวได้? เหตุใดข้าจึงรู้สึกเหมือนกับเอาแสงเทียนมาเปรียบกับแสงจันทร์ดารา?”
ท่าทีและคำพูดจาเช่นนี้อธิบายได้อย่างชัดเจนว่าแท้ที่จริงเขาหมายถึงสิ่งใด
ขณะที่ชิงหยากำลังจะพูดอะไรต่อ ก็เห็นซูอี้ผู้ที่นอนเอนกายอยู่บนเก้าอี้หวายขมวดคิ้ว ก่อนจะกล่าวคำออก
“เจ้าอยากจะทดสอบความสามารถของข้าเช่นนั้นหรือ?”
หลิงอวิ๋นเหอสะดุ้งในใจ แอบร้องขึ้นมาว่าแย่แล้ว
ในดวงตาของเริ่นโหยวโหย่วผู้นิ่งเงียบมาโดยตลอดเกิดประกายตื่นตระหนก คน ๆ นี้บังอาจถึงขั้นท้าทายผู้อาวุโสจางเลยเชียวหรือ?
สีหน้าของจางอวิ๋นเทาเคร่งขรึมลง สายตาบีบคั้นราวกับมีดดาบอันแหลมคม ก่อนจะกล่าวคำ “ฟังน้ำเสียงของสหายซูน้อยแล้ว ดูเหมือนจะไม่พอใจที่ข้าพูดเช่นนั้นหรือ?”
ซูอี้กล่าวน้ำเสียงราบเรียบ “ไม่ถึงกับไม่พอใจ เพียงแต่รู้สึกว่าเจ้าพูดมากเกินไปแล้ว ถ้าเช่นนั้นข้าก็จะพูดให้เข้าใจยิ่งขึ้น ข้อที่หนึ่ง ข้าไม่สนใจวังเทพสวรรค์เมฆาของเจ้าแม้แต่น้อย”
“ข้อที่สอง นับแต่ตอนนี้เป็นต้นไป หากพูดถึงข้าพล่อย ๆ อีก ข้าจะให้เจ้าได้รู้ความแตกต่างระหว่างแสงเทียนกับแสงเดือนดารา”
พูดจบ เขาก็เอนกายลงบนเก้าอี้หวาย หลับตาพักใจ
ทว่าภาพเช่นนี้กลับทำให้จางอวิ๋นเทาโกรธจนหน้าดำทะมึนขึ้นมา ภายในใจบันดาลโทสะจนหนวดกระตุก
เขาไม่คาดคิดมาก่อนเลยว่า คนหนุ่มผู้อยู่ในขอบเขตไร้เบญจธัญผู้มาจากอาณาจักรต้าโจวจะบังอาจแสดงท่าทีลบหลู่ต่อเขาเช่นนี้!
หลิงอวิ๋นเหอแอบถอนใจ เขาประสานมือคารวะ สีหน้าเคร่งเครียด กล่าวอย่างจริงจัง “สหายเต๋าอย่าได้โกรธไป ขอให้หลิงผู้นี้ได้กล่าวเตือนสักประโยค หากว่าทำให้สหายเต๋าซูโกรธขึ้นมา จะเกิดเป็นเรื่องแย่จริง ๆ”
หลิงอวิ๋นเทาตะลึง ฉับพลันโกรธจนหัวเราะออกมา พลางกล่าว “สหายเต๋าหลิง เจ้า… กำลังเตือนข้าอยู่เช่นนั้นหรือ?”
เขาโมโหแล้วจริง ๆ
เป็นถึงผู้อาวุโสแห่งวังเทพสวรรค์เมฆา อย่าว่าแต่แคว้นเทียนหนานแห่งนี้เลย แม้กระทั่งในอาณาจักรต้าเซี่ยทั้งหมด ผู้ฝึกตนในโลกล้วนต้องให้ความเคารพต่อเขา
ทว่าตอนนี้ คนหนุ่มผู้มาจากอาณาจักรเล็ก ๆ ไม่เพียงแต่มาพูดลบหลู่ดูแคลนเขา กระทั่งผู้ฝึกตนคนเก่าคนแก่เช่นหลิงอวิ๋นเหอก็ยังบังอาจมองข้ามหัวเขาไปได้!
“หลิงผู้นี้เพียงแค่พูดตามความจริงเท่านั้น”
หลิงอวิ๋นเหอกล่าวสีหน้าราบเรียบ
เวลานี้ เริ่นโหยวโหย่วผู้ที่นิ่งเงียบมาโดยตลอดพลันเอ่ยขึ้นมาเบา ๆ “ผู้อาวุโสจาง ศิษย์พี่เหวินยังคงฝึกตนอยู่ หากรบกวนไปถึงนางจะไม่เป็นการดีนะเจ้าคะ”
นางไม่พูดก็ยังไม่มีเรื่องอะไร พอเอ่ยถึงเรื่องนี้ขึ้นมา จางอวิ๋นเทาก็ระงับความโกรธภายในใจไว้ไม่ได้อีก จนลุกพรวดพราดขึ้นมา
แววตาของเขาเย็นเฉียบ น้ำเสียงดุดันกล่าวออก “ก่อนหน้านี้ เป็นเพราะเห็นแก่หน้าของศิษย์พี่เหวินของเจ้า ข้าจึงได้อดทนแล้วอดทนอีก ไม่อยากจะเอาผิดกับกบในกะลา แต่ตอนนี้ เขาหยามหน้าข้าแล้ว ยังจะให้ข้าอดทนอีกเช่นนั้นหรือ?”
พูดจบ เขามองไปที่หลิงอวิ๋นเหอ กล่าวน้ำเสียงเย็นชาไม่ต่างกับน้ำแข็ง “สหายเต๋าหลิง ข้าถามเพียงแค่ประโยคเดียวเท่านั้น เจ้ายังจะพูดออกหน้าแทนเจ้าหนุ่มสกุลซูคนนี้อีกหรือไม่?”
หลิงอวิ๋นเหอแอบถอนใจ ส่ายหน้าพลางกล่าว “ด้วยความสามารถของข้า ยังไม่มีคุณสมบัติพอจะช่วยออกหน้าแทนสหายเต๋าซูได้ แต่ว่า ข้ายังอยากจะเตือนสหายเต๋าอีกสักประโยค อย่าได้ปล่อยให้ไฟโกรธครอบงำจนขาดสติ”
จางอวิ๋นเทากล่าวเสียงเย็นชา “วางใจเถิด ตอนนี้ข้ามีสติกว่าตอนไหน ๆ มาก! และรู้ดีว่าตอนนี้ควรจะทำอะไร ไม่ต้องให้เจ้ามาชี้มือชี้ไม้บอก!”
พูดจบ เขาเบนสายตามองไปที่ซูอี้ซึ่งนอนเอนกายอยู่บนเก้าอี้หวาย สีหน้าเต็มไปด้วยความชิงชังและเย็นชา พลางกล่าว “เจ้าหนุ่ม ตอนนี้ข้าอยากจะรู้ความแตกต่างระหว่างแสงเทียนกับแสงจันทร์ดาราที่เจ้าพูดถึง เจ้า… แสดงให้ข้าได้เห็นหน่อยได้หรือไม่?”
เริ่นโหยวโหย่วมองไปที่ซูอี้ด้วยเช่นกัน สายตามีความประหลาด คน ๆ นี้คิดว่าตัวเองเอาชนะเฉียนเทียนหลงได้ จึงมองไม่เห็นหัวผู้อาวุโสจางเช่นนั้นหรือ?
เช่นนี้ จะโอหังเกินไปเสียแล้ว!
ความผิดหวังอย่างบอกไม่ถูกผุดขึ้นในใจของชิงหยา นี่คือวิธีการแสดงตัวของผู้ใหญ่ในวังเทพสวรรค์เมฆาเช่นนั้นหรือ?
ซูอี้กำลังเอนกายอยู่บนเก้าอี้หวายลืมตาขึ้น มองเห็นใบหน้าโกรธจัดของจางอวิ๋นเทาแล้ว อดรำพึงกับตัวเองขึ้นมาไม่ได้
“หลวงจีนแห่งสำนักพุทธกล่าวตักเตือนแล้วสามารถตื่นจากความหลับใหลได้ เช่นนี้เรียกว่าพระฉุดช่วยผู้มีวาสนา ทว่าข้าซูผู้นี้ชอบใช้ดาบในมือตัดสิน เพราะว่าในโลกนี้มีพวกโง่เขลาอย่างเจ้าอยู่มากมาย เช่นนี้สามารถเรียกได้ว่าคำกล่าวตักเตือนยากจะฉุดช่วยผีที่สมควรตาย”
พูดจบ ซูอี้ก็หมดสนุก ลงมือในทันใด!