บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 442 กระบี่หยางเปลวทอง
ตอนที่ 442: กระบี่หยางเปลวทอง
ตอนที่ 442: กระบี่หยางเปลวทอง
ครั้นเห็นจางอวิ๋นเทาแวบแรก ซูอี้ก็ดูออก ว่าแม้คนผู้นี้จะอยู่ขอบเขตรวบรวมดาราขั้นกลาง แต่กลิ่นอายเขานั้นไม่ธรรมดา!
เช่นเดียวกับหลิงอวิ๋นเหอที่มีขอบเขตรวบรวมดาราเหมือนกัน หากได้ต่อสู้กันจริง ๆ เกรงว่าคงถูกจางอวิ๋นเทาสยบได้อย่างง่ายดาย
สาเหตุนั้นเป็นเพราะสามหัวใจหลักของจางอวิ๋นเทา ได้บรรลุไปถึงขั้นบริสุทธิ์แล้ว!
และจำนวนเมล็ดของ ‘ปฐมญาณดารา’ ที่หลอมอยู่ในตันเถียนภายในร่างกายของคนผู้นี้ ก็มีมากกว่าหนึ่งพัน!
พื้นฐานเช่นนี้ เรียกได้ว่ายอดเยี่ยมที่สุดในมหาทวีปคังชิง
ในบรรดาคนที่มีขอบเขตรวบรวมดาราที่ซูอี้เจอในยามนี้ เขานับว่าเป็นคนที่แข็งแกร่งมากคนหนึ่ง
และจะเห็นได้ว่า ในฐานะที่เป็นผู้ฝึกตนแห่งวังเทพสวรรค์เมฆา โอกาสที่จะแสวงหาเส้นทางกับเรียนรู้สืบทอดวิชาของจางอวิ๋นเทานั้นมีมหาศาลเพียงใด
ด้วยเหตุนี้ ในตอนที่ลงมือ ซูอี้จึงไม่ประมาท
ตูม!
หลังจากที่ซูอี้ลุกขึ้นมาจากเก้าอี้หวาย พลังทั่วร่างเขาพลันเปลี่ยนไปทันที ร่างสูงใหญ่ที่ไม่ยินดียินร้ายดั่งเมฆาในคราแรก พลันปลดปล่อยภาวะดาบที่รุนแรงออกมา
คล้ายกับดาบยอดเยี่ยมที่ฝุ่นเกาะเป็นเวลานาน ได้เผยความคมกริบที่น่าทึ่งออกมาให้เห็นในยามนี้
ฟิ้ว! ฟิ้ว! ฟิ้ว!
กระแสอากาศบริเวณใกล้เคียงยุ่งเหยิงทันที คล้ายกับถูกความแหลมคมมากมายนับไม่ถ้วนตัดฉีก และเกิดเป็นเสียงขึ้นมา
บนผืนปฐพีใกล้เคียง ปรากฏรอยร้าวที่น่าตกใจออกมา
ในเวลานี้ ซูอี้ได้เผยพลังการฝึกฝนที่แท้จริงของเขาออกมา ประหนึ่งเซียนดาบที่กำเริบเสิบสาน และเต็มไปด้วยความสามารถ
หลิงอวิ๋นเหอกับชิงหยาตกตะลึง จนเผยท่าทางตกใจออกมา
ตั้งแต่ร่วมเดินทางมากับซูอี้จนถึงยามนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาอาจารย์ศิษย์ได้เห็นซูอี้ปลดปล่อยอานุภาพที่ยอดเยี่ยมและรุนแรงเช่นนี้ออกมา
เมื่อเผชิญหน้ากับซูอี้ ผิวหนัง ดวงตากับจิตใจของทั้งสองต่างรู้สึกเหมือนถูกทิ่มแทงอย่างต่อเนื่อง
“ลมปราณแข็งแกร่งมาก!!”
นัยน์ตาคู่งามของเริ่นโหยวโหย่วหดลงทันที
ในตอนที่อยู่บนเรือล่องล้อเมฆาก่อนหน้านี้ นางไม่ได้เห็นว่าซูอี้ปราบปรามเฉียนเทียนหลงอย่างไร ด้วยเหตุนี้จึงทำให้นางรู้เพียงว่าซูอี้ไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไป
แต่แม้จะเป็นเช่นนี้ เมื่อเห็นซูอี้ยั่วยุจางอวิ๋นเทา เริ่นโหยวโหย่วยังคงคิดว่าชายหนุ่มผู้นี้อวดดีเกินไปและไม่เจียมตัวเหมือนเดิม
ทว่ายามนี้ เมื่อสัมผัสถึงลมปราณรุนแรงมากมายมหาศาลบนตัวซูอี้ เริ่นโหยวโหย่วก็อดรู้สึกหวาดผวาออกมาไม่ได้ พลางหายใจอย่างยากลำบาก และไม่นึกเลยว่า นี่คืออานุภาพที่ตัวตนในขอบเขตไร้เบญจธัญจะสามารถมีได้
น่าสะพรึงกลัวเกินไปแล้ว!
ถึงขนาดแข็งแกร่งกว่าคนที่มีขอบเขตเปิดทวารเหล่านั้นอย่างมาก!
“หึ มิน่าล่ะ ถึงได้กล้าโอหังเช่นนั้น เจ้าที่มีอายุเท่านี้สามารถหลอมอานุภาพเช่นนี้ในขอบเขตไร้เบญจธัญออกมาได้ ถือว่าไม่ธรรมดาเลย”
ครั้นจางอวิ๋นเทาที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความเกรี้ยวโกรธเห็นเช่นนี้ ม่านตาเขาก็หรี่ลงทันที และมีความตกตะลึงเล็กน้อย พลันนึกถึงเมื่อครู่ เขาได้ประเมินชายหนุ่มที่มาจากต้าโจวต่ำเกินไปจริง ๆ
“น่าเสียดาย ที่มีนิสัยใช้อำนาจบาตรใหญ่เกินไป! จึงต้องสยบความหยิ่งยโสนั้น ไม่เช่นนั้น คงไม่รู้ว่าอะไรที่เรียกว่าฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ!”
ในขณะที่จางอวิ๋นเทาเอ่ย เขาก็ก้าวเท้าพุ่งออกไปทันที
ตูม!
ร่างซูบผอมของเขาเปล่งแสงจังหวะวิถีสีทองอร่ามออกมา คล้ายกับลมปราณทั่วร่างเชื่อมประสานกับฟ้าดิน ให้ความรู้สึกราวกับว่าสูงส่งขึ้นทันที
แค่พริบตาเดียว จังหวะวิถีที่ล้อมรอบตัวเขา คล้ายกับแปรเปลี่ยนเป็นดวงดาวมหาศาล ที่หมุนวนเป็นเกลียว เร้นลับและลวงตา
ขอบเขตรวบรวมดารา ดวงดาวที่หลอมภายในตันเถียน จะส่องแสงสะท้อนพลังชีวิต
ยิ่งหลอมรวมดวงดาวออกมามากเท่าไร รากฐานก็จะยิ่งมีมหาศาล พละกำลังก็จะยิ่งแข็งแกร่งมาก
ภายในอาณาเขตต้าเซี่ย คนที่สามารถหลอมรวมดวงดาวออกมานับพันในขอบเขตรวบรวมดาราเฉกเช่นจางอวิ๋นเทาได้ ต้องเรียกได้ว่าเป็นบุคคลยอดเยี่ยมในบรรดารุ่นเดียวกันแน่!
“หมัดนี้ สำหรับเจ้าที่ไม่รู้จักชั่วดี!”
ในน้ำเสียงอันเยือกเย็นน่าเกรงขาม จางอวิ๋นเทาเหวี่ยงหมัดออกไปทันใด
ตูม!
อากาศปั่นป่วน
กำปั้นสีทองอร่ามพุ่งไปในอากาศ ส่องแสงเจิดจ้าแสบตา แข็งแกร่งดุดัน ปกคลุมไปด้วยจังหวะวิถีที่ยอดเยี่ยม และปรากฏอานุภาพที่ทำให้คนกลัวออกมา
หมัดนี้พุ่งตรงไปอย่างเดียว ไม่มีการเลี้ยวลดคดเคี้ยวไปมาเลย
แต่พลังนั้นก็ทำให้หลิงอวิ๋นเหอที่มีขอบเขตเดียวกัน มีสีหน้าเปลี่ยนไป ขนลุกไปทั่วร่าง และรู้สึกถึงภัยคุกคามถึงชีวิตมาปะทะอยู่ตรงหน้า
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า หากเป็นเขา คงทำได้แค่หลบเลี่ยงพลัง มิอาจดึงดันที่จะต่อต้านได้ ไม่เช่นนั้นต้องถูกหมัดนี้ซัดแน่!
แต่ซูอี้กลับมีท่าทางสงบนิ่งไม่ตกใจ พลันฝ่ามือที่เหมือนดั่งดาบ… ตวัดออกไปทันที!
เมื่อเทียบกับหมัดอันทรงพลังของจางอวิ๋น ดาบนี้ของซูอี้ธรรมดาจนไม่มีกลิ่นอายควันไฟ คล้ายกับการชะล้างสิ่งสกปรกไปจนหมดสิ้น เรียบนิ่งจนถึงขั้นไม่มีสิ่งใดมาปรุงแต่ง
ในตอนที่ดาบนี้กับหมัดสีทองปะทะกัน กลิ่นอายพลังมหาศาลก็ปะทุออกมา
ชิ้ง!
หมัดสีทองถูกทำลายแตกเป็นเสี่ยง ๆ ประกายไฟดั่งฝนสาดกระจายไปทั่ว
การปะทะนี้ แม้จะเร็วเป็นอย่างมาก แต่ก็อยู่ในสายตาของทุกคน และยังคงทำให้พวกเขารู้สึกตกใจจนร่างกายนิ่งค้าง
โดยเฉพาะเริ่นโหยวโหย่วที่แทบจะอ้าปากตาค้าง
ไม่นึกเลยว่าปราณดาบจะน่ากลัวได้ถึงเพียงนี้?
แต่ทว่า
การต่อสู้นี้ยังไม่จบ หลังจากที่ปราณดาบของซูอี้ทำลายหมัดแล้ว ปราณดาบนั้นก็พุ่งไปทางจางอวิ๋นเทาทันทีด้วยพลังที่เต็มเปี่ยม!
“ปราณดาบน่าสะพรึงกลัวมาก!”
จางอวิ๋นเทามีสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย
อานุภาพของปราณดาบนี้น่าสะพรึงกลัวมากเหนือกว่าที่เขาคาดเดาเอาไว้
แต่เขาจะลังเลไม่ได้แล้ว ในตอนที่ปราณดาบนั้นตวัดมา ใบหน้าเขาพลันเย็นชาขึ้น แววตาเยือกเย็น บนร่างผอมแห้งเกิดเสียงคำรามสาดซัดดั่งน้ำตกขึ้นมาทันที
ดวงดาวนับพันภายในตันเถียนต่างเปล่งแสงสว่างออกมา ทำให้ความสามารถเขาถูกกระตุ้นไปถึงขั้นสูงสุด
“ทำลาย!”
จางอวิ๋นเทาสะบัดแขนเสื้อ พลางคำรามออกมา
ตูม!
พลันหมัดขวาเขายกขึ้น ประหนึ่งเทพมารยกภูเขาขนาดใหญ่และทุบลงไปอย่างรุนแรง หมัดสีทองอร่ามเจิดจ้าแสบตานั้น ทำให้ฟ้าดินล้วนมืดมน กระแสอากาศบริเวณใกล้ ๆ ระเบิดยุบลงทันที
ทลายสวรรค์!
กระบวนท่าสังหารในคัมภีร์หมัดมวยโบราณที่จางอวิ๋นเทาฝึกฝน เมื่อแสดงออกมา หมัดที่เหมือนดั่งไม้ตีกลอง ก็สามารถบดขยี้น่านฟ้า และทำลายภูเขาแม่น้ำได้
จางอวิ๋นเทาเพียรศึกษากระบวนท่านี้มาหลายปี เมื่อได้แสดงออกมา ราวกับบุคคลสูงส่งถือไม้ตีกลองจริง ๆ
อานุภาพนั้นแกร่งกล้ากว่าหมัดก่อนหน้านี้อย่างมาก!
ตูม! ตูม! ตูม!
เสียงระเบิดดังขึ้นข้างหู แรงหมัดกับปราณดาบปะทะกัน พลังที่เกิดขึ้นม้วนกระแสอากาศให้ยุ่งเหยิง ดอกไม้ใบหญ้าใกล้ ๆ ริมผา ถูกทำลายจนกลายเป็นผุยผง ผืนดินเกิดรอยแตกขึ้นมา
ไม่ว่าจะเป็นหลิงอวิ๋นเหอ ชิงหยา หรือเริ่นโหยวโหย่ว ต่างก็หลบเลี่ยงกันไปไกล
ท่ามกลางฝุ่นควันที่ตลบอบอวล พลันซูอี้เอ่ยขึ้นอย่างเฉยเมย “สามารถต้านปราณดาบข้าได้ ก็นับว่ามีความสามารถอยู่บ้าง แต่มันก็เท่านั้น”
ในขณะที่เอ่ย มือหนึ่งของเขาไพล่หลัง อีกมือง้างขึ้น แล้วตวัดปราณดาบออกมา
ตูม!
ทุกคนรู้แค่ว่าฟ้าดินสนั่นสั่นไหว ในกลางอากาศ ปราณดาบสีใสขนาดสามฉื่อกำลังหลอมรวมกัน จากนั้นก็คำรามและพุ่งออกไป
แม้ปราณดาบจะมีเพียงสามฉื่อ ทว่าภาวะแห่งดาบนั้นได้เติมเต็มระหว่างฟ้าดิน หลอมรวมหนาแน่นจนมิอาจจินตนาการได้ ราวกับสามารถทำลายสวรรค์ให้แตกแยก ผืนดินพังทลาย และทำลายการต่อต้านของอีกฝ่ายไป
นั่นคือจังหวะเทวะที่ไร้เทียมทานอย่างหนึ่ง
คือกระบวนท่าที่มาจากเพลงดาบสุดปรีดี!
เริ่นโหยวโหย่วมือไม้เย็นเฉียบ ปราณดาบนี้ทำให้นางตระหนักได้ว่าความห่างระหว่างนางกับซูอี้นั้นมีมากถึงเพียงใด
เมื่อย้อนกลับมาถามตัวเอง หากเป็นนางที่ต้องเผชิญหน้ากับปราณดาบนี้ จะต้องไม่มีแรงต้านทาน และทำได้แค่นั่งรอความตายแน่!
หลิงอวิ๋นเหอกับชิงหยายิ่งตกใจขึ้นไปอีก และรู้สึกสั่นกลัวต่ออานุภาพของปราณดาบตรงหน้า!
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับดาบนี้
จางอวิ๋นเทาก็มีท่าทางเคร่งขรึมอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เขาตระหนักได้ว่าตัวเองนั้นมองผิดไป ชายหนุ่มที่ต่อสู้ด้วยในครานี้ อาจจะมาจากอาณาจักรเล็ก ๆ และมีท่าทีหยิ่งยโส ทว่าพลังที่เหนือสวรรค์นั้น ไม่ต่างอะไรกับเหล่าปีศาจเก่าก่อนที่อยู่ในข่าวลือเลย!
“ลุก!”
สองมือจางอวิ๋นเทากวาดขึ้น และผสานรวมกันในอากาศ
ทันใดนั้น ปลายนิ้วมือทั้งสองของเขา ก็ปรากฏคมกระบี่สีทองออกมา ซึ่งยาวไม่เกินหนึ่งฉื่อ คล้ายกับสร้างขึ้นมาจากทองคำศักดิ์สิทธิ์ รินไหลไปด้วยจังหวะเทวะแห่งมหาวิถีอันแวววาว ทำให้อากาศสะท้อนแสงสีทองเรืองรองออกมา
กลิ่นอายทำลายล้างมหาศาล ได้แผ่กระจายออกมาจากคมกระบี่สีทองนั้น
กระบี่หยางเปลวทอง!
จากความสามารถของจางอวิ๋นเทาที่สั่งสมเอาไว้มานานเกือบยี่สิบปี ได้หลอมปราณกระบี่ออกมา ด้วยจังหวะวิถีเปลวทองที่เป็นพื้นฐาน และผสานรวมกับสามหัวใจหลักของเขา
อานุภาพนั้น มากพอที่จะสามารถสังหารบุคคลขอบเขตรวบรวมดารามากมายในโลกนี้ได้!
แม้แต่ในวังเทพสวรรค์เมฆา กระบี่นี้ได้รับคำชื่นชมจากบุคคลขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณมากมาย และถูกชมว่าเป็น ‘มากด้วยพลังทำลายล้าง สามารถทำให้ผีสางเทวดาตกใจได้’
หากไม่ถูกบีบจนมาถึงขั้นนี้ จางอวิ๋นเทาจะไม่ใช้วิชาที่ยอดเยี่ยมที่สุดนี้อย่างง่าย ๆ
“สังหาร!”
ในขณะที่ตะโกนออกมา จางอวิ๋นเทาก็ฟาดคมกระบี่สีทองที่กุมไว้อยู่ในมือลงไปทันที
ทุกคนแสบตาไปหมด แทบจะลืมตาไม่ขึ้น
ในความรู้สึกของพวกเขา ดาบที่ไร้เทียมทาน หนักหนามหาศาลของซูอี้ และกระบี่ที่รุนแรงมิอาจมีสิ่งใดเทียบ มีกลิ่นอายการทำลายล้างที่รุนแรงของจางอวิ๋นเทา
เมื่อกระบี่และดาบปะทะกันในอากาศ พลันเกิดเสียงระเบิดสั่นสะเทือนเลือนลั่นขึ้น
ตู้ม!
ปราณดาบและปราณกระบี่อันน่าสะพรึงกลัวม้วนวนดุจพายุโหมซัด ทำลายทุกสรรพสิ่งดั่งกระแสน้ำที่เดือดพล่าน ทุกที่ที่มันผ่านไป สิ่งก่อสร้างต่าง ๆ นานาต่างถูกกวาดล้างจนกลายเป็นซากปรักหักพัง
ทันใดนั้น ฝุ่นควันก็ตลบอบอวลไปทั่ว
“ผู้ใดชนะกัน?”
ในยามนี้ เริ่นโหยวโหย่วรู้สึกกังวล แต่นางกลับไม่คิดว่าจางอวิ๋นเทาจะพ่ายแพ้ เพราะถึงอย่างไร ในฐานะที่เป็นผู้อาวุโสแห่งวังเทพสวรรค์เมฆา ความสามารถของจางอวิ๋นเทาก็แข็งแกร่งมาก และเป็นที่ประจักษ์ต่อสายตาทุกคน
หลิงอวิ๋นเหอกับชิงหยาต่างตกตะลึง พลังกระบี่สุดท้ายของจางอวิ๋นเทาน่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างมาก แม้พวกเขาจะเชื่อมั่นในตัวซูอี้มากเพียงใด ทว่ายามนี้ก็มีความลังเลเล็กน้อย
เมื่อลำแสงที่สะสมเอาไว้ปลดปล่อยออกไป ฝุ่นควันที่ปกคลุมไปทั่วค่อย ๆ หายไปทันที
ไม่ว่าจะเป็นเริ่นโหยวโหย่ว หรือหลิงอวิ๋นเทากับชิงหยาต่างก็นิ่งอึ้งไป
ทั่วบริเวณเต็มไปด้วยซากปรักหักพัง ทุกที่เต็มไปด้วยร่องรอยการต่อสู้ที่น่าตกใจ จางอวิ๋นเทาคุกเข่าอยู่บนพื้น เสื้อผ้าฉีกขาด เส้นผมแผ่สยาย มุมปากมีเลือดไหลลงมา
ใบหน้าที่ผอมแห้งนั้นซีดเผือด ระหว่างคิ้วเต็มไปด้วยความหวาดผวาและเลื่อนลอย คล้ายกับสูญเสียจิตวิญญาณไป และคล้ายกับไม่อยากจะเชื่อ
และเบื้องหน้า ซูอี้กำลังเอามือไพล่หลัง ร่างสูงใหญ่ไม่มีฝุ่นเปรอะเปื้อนเลย ในยามที่แสงแดดส่องสะท้อนลงมา คล้ายกับเทพเซียนที่ถูกเนรเทศลงมาโลกมนุษย์ ช่างสงบและสง่างามมาก
ภาพเช่นนี้ สามารถเดาออกได้เลย!
“นี่…”
เริ่นโหยวโหย่วรู้สึกสั่นเทา ดวงตาเบิกกว้าง ตะลึงอย่างขีดสุด นางไม่นึกเลยว่า จางอวิ๋นเทาที่แข็งแกร่งจะได้รับบาดเจ็บสาหัสจนร่วงลงกับพื้น
ที่สำคัญคือ สามารถรับตำแหน่งผู้อาวุโสแห่งวังเทพสวรรค์เมฆาได้ ในโลกฝึกฝนแห่งต้าเซี่ยนี้ จะไม่ใช่คนที่ยอดเยี่ยมที่สุดในโลกได้อย่างไร?
แต่ทว่ายามนี้ ชายหนุ่มผู้หนึ่งที่มาจากต้าโจว ด้วยการฝึกฝนขอบเขตไร้เบญจธัญขั้นกลาง สามารถทำให้จางอวิ๋นเทาพ่ายแพ้ได้!!
แม้แต่หลิงอวิ๋นเหอกับชิงหยา ต่างก็มีท่าทางนิ่งค้างเล็กน้อย และตกใจจนไม่เอ่ยสิ่งใดออกมา
พวกเขารู้ดีว่าซูอี้นั้นแข็งแกร่งมาก เมื่อเทียบกับเนี่ยเฟิง หรือปีศาจที่มีความเป็นมาลึกลับอย่างกู่ชางหนิง ชายผู้นี้น่าจะแข็งแกร่งกว่ามาก…
แต่พวกเขากลับไม่นึกเลยว่า แค่เพียงสองดาบเท่านั้น ซูอี้ก็ชนะคนที่ยอดเยี่ยมที่มีชื่อเสียงในต้าเซี่ยอย่างจางอวิ๋นเทาได้!
และในยามนี้ ซูอี้เหลือบตามองไปทางที่ไกล ๆ “เห็นพอหรือยัง?”