บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 443 ถือว่าธรรมดา
ตอนที่ 443: ถือว่าธรรมดา
ตอนที่ 443: ถือว่าธรรมดา
หอสามชั้นด้านหลังนั้นได้กลายเป็นซากปรักหักพักไปแล้ว
เมื่อเสียงของซูอี้ดังขึ้น ก็มีร่างหนึ่งเดินออกมาจากซากปรักหักพังนั้น
นางมีรูปร่างผอมสูง ดูอวบอิ่มเต็มไม้เต็มมือ ขาเรียวยาว สวมชุดกระโปรงรัดรูปธรรมดา เส้นผมดำขลับแซมด้วยสีม่วงอ่อน และถูกมัดขึ้นเป็นมวยผม เผยลำคอเรียวยาวขาวดุจหิมะออกมา
หญิงสาวผู้นี้ทั้งงดงามและน่าทึ่งนัก
ดูเหมือนนางเพิ่งจะมีอายุราว ๆ สิบแปดสิบเก้าปี ผิวขาวนวลผ่อง ดวงตางามมีชีวิตชีวา ริมฝีปากแดงอวบอิ่ม ดวงหน้างามหยด มีความงามที่ทำให้ผู้คนเคลิบเคลิ้มได้
เพียงแต่ ในยามนี้นางอยู่ในสภาพไม่น่ามอง บนเสื้อผ้าและผมยาวนั้นเต็มไปด้วยฝุ่น
“อาจารย์อา!”
แววตาชิงหยาเปล่งประกาย นางดีใจจนพุ่งออกไปกอดหญิงสาวไว้ พลางเขย่งเท้าขึ้น หอมแก้มหญิงสาวด้วยความสนิทสนม และเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ยังหอมเหมือนเดิมเลย!”
ดวงหน้างามของหญิงสาวเผยความลำบากใจออกมาเล็กน้อย ยื่นมือหิ้วคอเสื้อของชิงหยาดึงไปอยู่อีกด้านหนึ่ง พลางเอ่ยตำหนิ “โตขนาดนี้แล้ว เหตุใดถึงยังทำตัวเหมือนเด็ก”
น้ำเสียงนุ่มนวลไพเราะดังนกขมิ้นขันในหุบเขาว่างเปล่า
“ศิษย์น้องเหวิน ไม่ได้เจอกันนานเลย”
ไม่ไกลนัก หลิงอวิ๋นเหอกุมมือคำนับ
หญิงสาวที่มีบุคลิกมีเสน่ห์ราวกับงามที่สุดในแผ่นดิน คือเหวินซินจ้าวที่มีนามในต้าเซี่ยว่า ‘มารดาบน้อย’ นางเป็นศิษย์สืบทอดของวังเทพสวรรค์เมฆา และยังเป็นหญิงงามโดดเด่นดังเทพธิดาในหัวใจของเหล่าผู้ฝึกหนุ่มสาวมากมาย
“ศิษย์พี่หลิง ไม่เจอกันนานเลยจริง ๆ”
เหวินซินจ้าวเผยรอยยิ้มออกมา ดวงตาใสแจ๋ว ฟันขาวผ่อง แค่ยิ้มก็ทำให้ทั้งเมืองถล่มลงมา บุคลิกที่มีเสน่ห์เช่นนี้ก็มากพอที่จะทำให้เหล่าบุรุษใจเต้นแรง
แม้แต่ซูอี้ เมื่อได้เห็นเหวินซินจ้าว แววตาพลันเปล่งประกายทันที คราแรกที่รู้เรื่องราวของเหวินซินจ้าว ซูอี้ยังคาดเดาว่าหญิงสาวผู้นี้จะโดดเด่นเหมือนในข่าวลือหรือไม่
แต่เมื่อได้เห็นในยามนี้ จึงได้พบว่ารูปโฉมและความมีเสน่ห์ของเหวินซินจ้าว เหนือกว่าที่เขาคาดเดาเอาไว้ในคราแรกมาก
“ศิษย์พี่เหวิน ยามนี้ไม่ใช่เวลามารำลึกถึงเรื่องราวในอดีตนะ”
ในขณะที่เริ่นโหยวโหย่วเอ่ย สายตาก็เหลือบมองไปทางจางอวิ๋นเทาที่อยู่ไกล ๆ
จางอวิ๋นเทาล้มนั่งอยู่ตรงนั้น เขาตกอยู่ในสภาพตื่นตระหนกน่าเวทนา ผู้อาวุโสของวังเทพสวรรค์เมฆาที่สูงส่งกลับอับอายในยามนี้
“เรื่องก่อนหน้านี้ ข้าเห็นหมดแล้ว”
เหวินซินจ้าวถอนหายใจออกมาเบา ๆ “ข้าก็ไม่นึกเลยว่าอาจารย์จางจะพ่ายแพ้”
เริ่นโหยวโหย่วนิ่งไปครู่หนึ่ง และไร้เรี่ยวแรงที่จะไปโต้แย้ง
ไม่ต้องพูดถึงเหวินซินจ้าว แม้แต่นางเองก็ยังไม่นึกเลยว่า จางอวิ๋นเทาที่แข็งแกร่งมากจะพ่ายแพ้เร็วเช่นนี้
“อาจารย์จาง ผลแพ้ชนะได้ประจักษ์ออกมาแล้ว อีกอย่างข้าดูออกว่าท่านพ่ายแพ้อย่างยุติธรรม ดังนั้นข้าหวังว่าเรื่องนี้จะไม่ส่งผลกระทบต่อสภาพจิตใจของท่าน”
เหวินซินจ้าวก้าวขึ้นไปด้านหน้า พลางเอ่ยปลอบจางอวิ๋นเทา
จางอวิ๋นเทายิ้มเฝื่อนออกมาครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยด้วยความทอดถอนใจ “ก่อนหน้านี้ คือข้าเองที่ถือดีมากเกินไป ในที่สุดก็เข้าใจแล้วว่าอะไรคือความต่างระหว่างแสงเทียนกับแสงจันทร์ดารา”
เขาพยุงร่างกายของตัวเองลุกขึ้นมาอย่างยากลำบาก พลางมองไปทางซูอี้ที่อยู่ไกล ๆ ด้วยสายตาซับซ้อน ก่อนหมุนตัวเดินออกไป
ผู้อาวุโสแห่งวังเทพสวรรค์เมฆาผู้นี้ ไม่มีหน้าที่จะอยู่ที่นี่ต่ออีกแล้ว
“ศิษย์น้องเริ่น เจ้าจงไปโน้มน้าวอาจารย์จาง”
เหวินซินจ้าวเอ่ยสั่ง
เริ่นโหยวโหย่วรีบตามไป
“อาจารย์อา ท่านอย่าได้เข้าข้างฝั่งท่านเชียว เรื่องในวันนี้ หากเป็นคนอื่น เกรงว่าคงถูกอาจารย์จางของท่านจัดการไปแล้ว”
ชิงหยาเอ่ยด้วยน้ำเสียงใสกังวาน
เหวินซินจ้าวยิ้ม พลางเข้าไปกระซิบข้างหู “เจ้าพูดผิดแล้ว หากเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตไร้เบญจธัญคนอื่น เมื่อเผชิญหน้ากับอาจารย์จาง แม้จะได้รับการดูถูกและเหยีดหยามแค่ไหน คงจะทำได้แค่เก็บเอาไว้ในใจ มิกล้าไปต่อต้านหรอก”
เมื่อคิดอยู่ครู่หนึ่ง นางก็เอ่ยสรุปขึ้น “ว่ากันตามจริงแล้ว หากไม่ได้เจอกับคนอย่างสหายเต๋าซูเฉกเช่นเรื่องในวันนี้ คงไม่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นแน่”
เมื่อฟังจบ หลิงอวิ๋นเหอที่คิดเช่นเดียวกันก็เอ่ยขึ้น “ที่ศิษย์น้องเหวินกล่าวก็ถูกต้อง”
เหวินซินจ้าวหมุนตัว มองไปทางซูอี้ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้หวายอีกครั้ง พลางกุมมือคำนับเล็กน้อย “เหวินซินจ้าว ยินดีที่ได้พบสหายเต๋า”
ร่างอ่อนช้อยที่น่าดึงดูดของนาง เส้นผมดำขลับแซมด้วยสีม่วงอ่อนภายใต้แสงแดดเหมาะกับดวงหน้างดงามที่สามารถจุดชนวนให้บ้านเมืองล่มสลาย และยิ่งขับให้นางดูแตกต่างออกไป
ซูอี้พยักหน้า นัยน์ตาเผยความชื่นชมออกมา “เจ้าว่าดาบเมื่อครู่ของข้าเป็นอย่างไร?”
เหวินซินจ้าวชะงัก พลางครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ย “หากดูไม่ผิด ความสามารถในวิถีดาบของสหายเต๋าได้บรรลุไปถึงขั้นสุดแล้ว และความลี้ลับมหัศจรรย์ในนั้นก็ไม่ใช่สิ่งที่สังเกตอยู่ไกล ๆ ก็สามารถเข้าใจอย่างลึกซึ้งได้”
กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ แก่นสารจริง ๆ ของดาบนี้ แม้แต่นางเองก็ยังเข้าใจได้เพียงบางอย่างเท่านั้น มิอาจเข้าใจทุกด้านได้
ซูอี้ถามอีกครั้ง “หากเป็นเจ้า จะจัดการกับดาบนี้ได้หรือไม่?”
เหวินซินจ้าวหัวเราะขึ้นมาอย่างทนไม่ไหว แต่นัยน์ตากลับเจือไปด้วยความมั่นใจ พลางเอ่ย “หรือสหายเต๋าอยากแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับข้าหรือ?”
ซูอี้เอ่ย “ข้าได้ยินมาว่า เจ้าหมกมุ่นในเส้นทางแห่งดาบ มีพรสวรรค์ทางด้านวิถีแห่งดาบสูงมาก เรียกได้ว่าเป็นคนที่โดดเด่นในยุคนี้ ด้วยเหตุนี้ข้าจึงอยากลองดู”
เหวินซินจ้าวพยักหน้า ริมฝีปากอวบอิ่มโค้งขึ้นอย่างเย่อหยิ่ง “ย่อมได้ ในเมื่อสหายเต๋าขอ มีเหตุผลอะไรที่ข้าจะไม่ตกลงกัน?”
ขณะที่เอ่ย นางยื่นมือขวาที่ขาวเกลี้ยงเกลาออกมา แล้วสะบัดอยู่ในอากาศ
ชิ้ง!
พลันประจุไฟฟ้าสีม่วงหลอมรวมกันกลายเป็นคมดาบเก้าฉื่อ เล็กประณีตดั่งกระสวยทอผ้า สวยงามเป็นอย่างยิ่ง
กลิ่นอายทำลายล้างที่ทำให้คนตกใจได้แผ่กระจายออกมาจากคมดาบเก้าฉื่อนี้
หลิงอวิ๋นเหอมีสีหน้าเปลี่ยนไป กลิ่นอายของคมดาบเล็ก ๆ นี้ น่ากลัวกว่ากลิ่นอายของ ‘กระบี่หยางเปลวทอง’ ที่จางอวิ๋นเทาแสดงออกมาเมื่อครู่อย่างมาก!
พรึบ!
หลังจากที่เหวินซินจ้าวสะบัดมือ คมดาบเก้าฉื่อก็พุ่งทะยานออกไป ทะลวงไปในชั้นเมฆสูงถึงพันจั้ง และชั้นเมฆผืนนั้นพลันระเบิดออกกลายเป็นแสงควันออกมา
ชิงหยาร้องว้าวออกมา “สวยงามมาก!”
สวยงาม?
หลิงอวิ๋นเหออดยิ้มเฝื่อนออกมาไม่ได้ นี่มันสวยที่ไหนกัน มันคือพลังทำลายล้างที่ทำให้คนตกใจต่างหาก!
“สหายเต๋าซูคิดว่า วิถีดาบของข้าเป็นอย่างไร?”
เหวินซินจ้าวยิ้มตาหยีมองไปทางซูอี้ นางเติบโตมาอย่างงดงาม ริมฝีปากอวบอิ่ม ฟันเรียงตัวกันสวยงาม ในตอนที่ยิ้มขึ้นมา ช่างดูงดงามและมีเสน่ห์มาก
“ยังมีกักเก็บเอาไว้อีกหรือไม่?” ซูอี้ถาม
เหวินซินจ้าวเอ่ยตอบ “น่าจะมีพลังวิถีดาบอีกเจ็ดส่วน”
ซูอี้เอ่ยทันที “ในโลกนี้ เจ้าที่มีการบำเพ็ญขอบเขตไร้เบญจธัญขั้นสมบรูณ์ มีฝีมือถึงขั้นนี้ได้ เรียกได้ว่าน่าตกใจมาก หากได้ต่อสู้คงชนะอาจารย์จางของเจ้าได้อย่างสบาย”
หลิงอวิ๋นเหอกับชิงหยาต่างก็ตกใจ
ขอบเขตไร้เบญจธัญขั้นสมบรูณ์ สามารถเอาชนะจางอวิ๋นเทาที่มีขอบเขตรวบรวมดาราขั้นกลางได้?
นั่นก็แสดงว่า เหวินซินจ้าวในยามนี้ นับว่าเป็นปีศาจจริง ๆ และเทียบกับเมื่อก่อนไม่ได้อีกแล้ว!
และที่สำคัญ จางอวิ๋นเทาหาใช่ผู้แข็งแกร่งขอบเขตรวบรวมดาราขั้นกลางธรรมดาไม่
เมื่อนำความต่างของสองขอบเขตใหญ่นี้มาเทียบกัน ก็ยังพ่ายแพ้ให้กับคนที่มีความสามารถวิธีดาบเช่นนี้ หากไม่เรียกว่าปีศาจแล้วจะเรียกสิ่งใดได้อีก?
เหวินซินจ้าวยิ้มออกมาเล็กน้อย ก่อนเอ่ย “สหายเต๋าชมเกินไปแล้ว”
ซูอี้ส่ายหน้า “ไม่ใช่คำชม ข้ายังกล่าวไม่จบ”
รอยยิ้มของเหวินซินจ้าวชะงักไป และมีความรู้สึกมึนงงเล็กน้อย
ทันใดนั้นซูอี้ก็กล่าวว่า “ที่ข้ากล่าวก่อนหน้านี้ เป็นเหตุการณ์ในโลกใบนี้เท่านั้น แต่ในสายตาข้า ความสามารถแห่งวิถีดาบที่เจ้ามีในยามนี้ ถือได้ว่าธรรมดา มีรอยรั่วมากมาย หากเจอผู้มีวิถีดาบเก่งกาจจริง ๆ แค่การโจมตีเดียวก็สามารถคร่าชีวิตเจ้าได้”
เมื่อคำพูดนี้ดังออกมา หลิงอวิ๋นเหอกับชิงหยาแทบไม่อยากเชื่อหูตัวเอง วิถีดาบเช่นนี้ยังเรียกว่าธรรมดาอยู่อีกรึ?
เหวินซินจ้าวก็นิ่งอึ้งไปเช่นกัน
นางแสดงพรสวรรค์ทางด้านวิถีดาบที่โดดเด่นมาตั้งแต่ยังเยาว์ เมื่อมีอายุสิบสี่ปี นางได้กลายเป็น ‘มารดาบน้อย’ แห่งต้าฉีที่ผู้ใดก็รู้จัก เมื่อมีอายุได้สิบห้าปี นางก็ได้เข้าร่วมฝึกฝนที่วังเทพสวรรค์เมฆาเป็นกรณีพิเศษ และมีเซียนหานเยียนมหาปราชญ์สวรรค์วิถีวิญญาณเป็นอาจารย์
จนถึงยามนี้ ก็ยังมีชื่อเสียงโด่งดังในบรรดารุ่นเดียวกันทั้งหมดในต้าเซี่ย ทำให้ผู้อาวุโสมากมายค่อย ๆ ถูกบดบังไป
ทว่ายามนี้ ซูอี้กลับบอกว่า วิถีดาบของนางมีช่องโหว่มากมาย ซึ่งถือได้ว่าธรรมดา…
แล้วเหวินซินจ้าวที่เย่อหยิ่งอวดดีมาโดยตลอดจะยอมรับได้อย่างไรกัน?
ชั่วครู่หนึ่ง เหวินซินจ้าวก็เอ่ยขึ้น “ผู้มีวิถีดาบเก่งกาจที่สหายเต๋ากล่าว หากเป็นมหาปราชญ์วิถีวิญญาณ เช่นนั้นข้าก็คงมิอาจต้านทานดาบของเขาได้จริง ๆ”
เห็นได้ชัดเจนนางคิดว่าในสามขอบเขตใหญ่แห่งวิถีต้นกำเนิดยังไม่มีผู้ใดสามารถสังหารนางได้ด้วยดาบเดียว
ซูอี้เอ่ย “ที่ข้ากล่าวคือขอบเขตไร้เบญจธัญ”
เหวินซินจ้าวชะงักค้างไป คิ้วเรียวงามเลิกขึ้น “ข้าคิดได้หรือไม่ว่าที่สหายเต่ากล่าวคือตัวเจ้าเอง?”
ซูอี้จะดูไม่ออกได้อย่างไรว่า เหวินซินจ้าวกำลังรู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก?
เขายิ้มออกมา ก่อนเอ่ย “นอกจากเจ้าแล้ว ยังมีคนอีกมากมายในโลกนี้สามารถทำมาถึงขั้นนี้ได้”
เห็นได้ชัดว่าเหวินซินจ้าวไม่เชื่อ “เช่นนั้นข้าคงต้องชี้แนะสหายเต๋าจริง ๆ แล้วล่ะ ว่าท้ายที่สุดแล้ววิถีดาบของข้าธรรมดาเพียงใด”
มารดาบน้อยที่มีบุคลิกโดดเด่น รูปโฉมงดงามดั่งรูปวาด โมโหขึ้นมาเล็กน้อย
ซูอี้ลุกขึ้นมาจากเก้าอี้ ก้าวเดินไปทางเหวินซินจ้าว พลางยิ้มอย่างไม่ยินดียินร้าย “ในฐานะที่เป็นนักดาบ ไม่ยอมรับคือเรื่องที่ดี เช่นนั้นเจ้าก็ลองดูว่าจะสามารถต้านทานดาบนี้ของข้าได้หรือไม่”
ในขณะที่เอ่ย เขายื่นนิ้วหนึ่งที่เหมือนกับคมดาบแทงไประหว่างคิ้วของเหวินซินจ้าว
บางเบา ธรรมดา และไม่เร็วมาก
ดาบนี้ไม่ใช้พลังการฝึกฝนใด ๆ มันคือการปลดปล่อยออกมาจากความสามารถของวิถีดาบล้วน ๆ
ในสายตาของเหวินซินจ้าว กระบวนดาบนี้มีช่องโหว่ทั่วทุกที่
ทว่าในตอนที่นางกำลังจะจัดการ กลับค้นพบว่า ทุกช่องโหว่เป็นเหมือนกับหลุมพราง ทำให้เกิดความรู้สึกที่ว่า ไม่ว่านางจะจัดการอย่างไร ก็จะได้รับการตอบโต้กลับหมด
หากใช้พลังการฝึกฝน เหวินซินจ้าวเชื่อว่านางสามารถเอาชนะสิบครั้งด้วยดาบเดียวได้ ไม่ต้องสนใจช่องโหว่กับการซุ่มโจมตีเหล่านั้น แค่ใช้พลังทำลายพลังก็พอ
ทว่าซูอี้กลับไม่ใช้พลัง ด้วยศักดิ์ศรีและความเย่อหยิ่งของนาง จึงมิอาจรับการกระทำเช่นนั้นได้
ในตอนที่กำลังเปลี่ยนใจนั้น เหวินซินจ้าวก็รู้สึกมึนงงทันที เมื่อพบว่าซูอี้ได้เก็บกระบวนดาบนั้นไปแล้ว
“ต้านทานได้หรือไม่?”
ซูอี้ทิ้งประโยคนี้เอาไว้ พลางหมุนตัวเดินกลับไปนั่งบนเก้าอี้หวายเหมือนเดิม
เหวินซินจ้าวเงียบไป
บนดวงหน้าขาวผ่องงดงามของนางเปลี่ยนไปจนคาดเดาไม่ได้ ดวงตาเปล่งประกายดั่งดวงดาวคู่นั้น บางครั้งก็เผยความลังเลและตกใจปะปนกันออกมา
หลิงอวิ๋นเหอกับชิงหยาเหลือบมองหน้ากันด้วยความสับสนมึนงง
ทั้งสองมองไม่เห็นความลี้ลับที่ซ่อนเอาไว้ในการโจมตีเมื่อครู่ของซูอี้เลย
แต่เมื่อเห็นปฏิกิริยาของเหวินซินจ้าว ราวกับได้พบเจอกับปัญหาที่ยิ่งใหญ่!
และที่ทำให้แปลกใจคือ หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง เหวินซินจ้าวสูดหายใจเข้าลึก พลางเดินมาอยู่ตรงหน้าซูอี้ และก้มตัวลงเล็กน้อย “ขอบคุณสหายเต๋าที่มอบบทเรียนให้ และทำให้ข้าได้เข้าใจ บนเส้นทางวิถีดาบ สิ่งใดกันที่เรียกว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือคนยังมีคน”
น้ำเสียงมีความอึดอัดใจ ละอายใจ รวมถึงแปลกใจปะปนกันไป
เมื่อครู่นี้ นางยังคิดว่าซูอี้ตั้งใจลดค่าวิถีดาบของนางต่ำลงไป จึงรู้สึกโมโหอย่างมาก
แต่หลังจากได้ประสบกับพลังดัชนีของซูอี้ นางก็เกิดความรู้สึกเสียวสันหลัง ในใจสั่นเทา เมื่อคิดอยู่นาน สุดท้ายนางก็ตัดสินใจเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้
หากตัดสินแพ้ชนะด้วยความสามารถแห่งวิถีดาบ ตัวนางเอง… คงต้านทานดาบนี้เอาไว้ไม่ได้จริง ๆ!