บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 444 อิจฉา
ตอนที่ 444: อิจฉา
ตอนที่ 444: อิจฉา
เหวินซินจ้าวคือคนเย่อหยิ่ง
ความเย่อหยิ่งของนางถูกฝังรากลึกอยู่ภายในจิตใจ
แต่พลังดัชนีของซูอี้เมื่อครู่ ทำให้ในตอนที่นางเผชิญหน้ากับซูอี้ แม้จะไม่อยากยอมรับก็ทำไม่ได้
นางที่หมกมุ่นในวิถีดาบย่อมเข้าใจดี ความสามารถแห่งวิถีดาบที่ซูอี้แสดงออกมาเล็กน้อยนั้น เหนือกว่าสิ่งที่นางมุ่งหวังไว้ในยามนี้
ด้วยเหตุนี้ ความเย่อหยิ่งของนางจึงไม่ทำให้นางปฏิเสธในจุดนี้
ดังนั้นนางจึงก้มตัวคำนับซูอี้ ซึ่งเป็นการยอมรับว่าตัวเองนั้นมีความสามารถไม่เท่าผู้อื่น
นิสัยและบุคลิกเช่นนี้ กลับยิ่งทำให้ซูอี้ชื่นชมมากขึ้น
ในความคิดของเขา ไม่ว่าจะเป็นราชาขนนก เยว่ซือฉาน หรือว่ามารดาบน้อย เหวินซินจ้าวที่อยู่ตรงหน้า ต่างก็เป็นเมล็ดพันธุ์ที่ดีในการฝึกฝนวิถีดาบ ไม่ใช่เพียงเพราะพรสวรรค์ที่น่าทึ่งเท่านั้น แต่เป็นเพราะจิตมุ่งมั่นของพวกนางในวิถีดาบด้วย
“สหายเต๋าซู ข้าขอคำชี้แนะปัญหาเหล่านี้จากเจ้าได้หรือไม่?”
เหวินซินจ้าวเอ่ยถาม
เห็นได้ชัดว่าท่าทางของมารดาบน้อยผู้นี้เปลี่ยนไปแล้ว ในตอนที่อยู่ต่อหน้าซูอี้ นางมีท่าทางที่เคารพขึ้นอย่างมาก
ซูอี้กวาดสายตามองบริเวณรอบ ๆ “เจ้าว่า สถานที่นี้เหมาะแก่การชี้แนะรึ?”
การต่อสู้ที่ผ่านมาเมื่อครู่ ทำให้ทุกที่บริเวณใกล้ ๆ กลายเป็นซากปรักหักพังไปหมดสิ้น
เหวินซินจ้าวชะงักไปครู่หนึ่ง พลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เป็นข้าที่เสียมารยาทเอง”
หลังจากนั้น นางก็พาซูอี้ หลิงอวิ๋นเหอ ชิงหยาออกไปจากบริเวณนี้ และเข้าไปภายในตำหนักชั้นแรกของหอหนึ่งที่อยู่ด้านหน้า
เหวินซินจ้าวไม่ลังเลที่จะนั่งลงข้างซูอี้เลยแม้แต่น้อย พลางนำขวดน้ำเต้าสีเหลืองออกมา “สหายเต๋า นี่คือสุราวิญญาณ ‘พันวารีฤดูใบไม้ผลิ’ ที่มีในเฉพาะวังเทพสวรรค์เมฆา เจ้าลองชิมดู”
ขนะเอ่ย นางก็รินสุรานั้นให้กับซูอี้
ทันใดนั้น กลิ่นสุราที่หอมละมุนก็แผ่กระจายออกไปทันที
ซูอี้ก็ยกจอกสุราดื่มลงไปจนหมดอย่างไม่เกรงใจ เมื่อลิ้มรสอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็พยักหน้า “อืม รสชาติไม่เลวเลย”
เหวินซินจ้าวยิ้มหวานออกมา พลางรินสุราให้กับซูอี้อีกครั้ง และเอ่ยขอคำชี้แนะอย่างถ่อมตัว “สหายเต๋า ก่อนหน้านี้เจ้าบอกว่า ความสามารถในวิถีดาบของข้านั้นธรรมดามาก และยังมีช่องโหว่มากมาย ไม่ทราบว่าเจ้าจะอธิบายให้ข้าเข้าใจได้หรือไม่?”
นางฟ้าคนหนึ่งที่มีบุคลิกโดดเด่นและมีเสน่ห์เช่นนี้ กลับเป็นเหมือนสาวงามที่คอยปรนนิบัติอยู่ข้าง ๆ คอยรินสุราให้ มีท่าทางถ่อมตัว เพียงพอที่จะสนองความพึงพอใจให้แก่เหล่าชายที่หลงใหลในรูปลักษณ์หน้าตาได้
ซูอี้จึงอดพยักหน้าอย่างช่วยไม่ได้ เพื่อขอคำชี้แนะวิถีดาบจากเขา มารดาบน้อยที่มีชื่อเสียงขจรไปทั่วอย่างเหวินซินจ้าว สามารถอ่อนน้อมลงได้ขนาดนี้ นับว่าหาได้ยากยิ่ง
“วิถีดาบที่เจ้าฝึกฝนนั้น ใช้ในการสังหารเป็นสำคัญ ซึ่งสอดคล้องกับจังหวะวิถีสายฟ้า ที่มีอานุภาพทำลายล้างมหาศาล ทว่าแม้จะลึกซึ้งบริสุทธิ์ แต่กลับมีข้อเสียอยู่สามอย่าง”
ซูอี้เอ่ยทันที
เหวินซินจ้าวรู้สึกฮึกเหิมขึ้นมา ดวงตางามที่ใสดุจน้ำคู่นั้นมองไปทางซูอี้ และเอ่ยอย่างคาดหวัง “ขอสหายเต๋าโปรดชี้แนะข้าด้วย”
“ประการแรก จังหวะวิถีสายฟ้าที่ใช้สังหารเป็นหลัก ไม่ควรมีแต่เพียงพลังในการทำลายล้างเท่านั้น ที่ต้องรู้ก็คือ เมื่อฟ้าร้องในฤดูใบไม้ผลิเริ่มขึ้น ทุกสรรพสิ่งจะตื่นจากการหลับใหล สายฟ้าก็เริ่มมีพลังขึ้นมาใหม่ …การทำลายล้างและการเริ่มขึ้นมาใหม่ดำรงอยู่เคียงคู่กัน เช่นเดียวกับการผสานกันระหว่างหยินหยาง”
ซูอี้ดื่มสุราไปอีกหนึ่งอึก ก่อนเอ่ย “เห็นได้ชัดว่าความเชี่ยวชาญและการบรรลุจังหวะวิถีสายฟ้าของเจ้านั้นยังมีความผิดพลาด ถึงขนาดที่ว่าในตอนผสานตัวเองเข้ากับวิถีดาบ อานุภาพที่ปลดปล่อยออกมาจึงมีอย่างจำกัด”
เหวินซินจ้าวตกใจ พลางเอ่ยอย่างตกตะลึง “สหายเต๋าช่างมีสายตาเฉียบแหลมจริง ๆ นี่คือปัญหาหนึ่งที่รบกวนใจข้าในยามนี้ ข้าเคยไปขอคำชี้แนะจากผู้อาวุโสมากมาย แต่คำตอบที่ได้มาจากทุกคนกลับแตกต่างกัน จนถึงตอนนี้ ข้าก็ยังแก้ไขปัญหานี้ไม่ได้เลย”
ซูอี้เอ่ย “หากจะแก้ไขปัญหานี้ หัวใจสำคัญไม่ได้อยู่ที่การฝึกฝนวิถีดาบ แต่เป็นความเข้าใจและตระหนักต่อสายฟ้านั้น ข้าขอแนะนำว่า ให้เจ้าไปสัมผัสการเปลี่ยนแปลงของสายฟ้าแวบวาบด้วยจิตใจที่สงบทุกครั้งที่เกิดพายุฝนฟ้าคะนอง หรือไม่ก็ฝึกฝนวิชาที่เกี่ยวข้องกับสายฟ้า”
เมื่อพักไปครู่หนึ่ง ซูอี้ก็เอ่ยต่อ “แน่นอนว่า นี่เป็นปัญหาเล็ก ๆ เท่านั้น แม้ข้าจะไม่เตือน ด้วยพรสวรรค์และความสามารถในการเข้าใจของเจ้า ไม่ช้าก็เร็วคงจัดการกับปัญหานี้ได้”
เหวินซินจ้าวรินสุราให้ซูอี้อีกครั้ง พลางเอ่ยขอคำชี้แนะเสียงเบา “เช่นนั้นขอริอาจถามสหายเต๋าซู ข้อเสียสองข้อที่เหลือคืออะไร?”
นางเซียนที่โดดเด่นผู้นี้คงไม่รู้ว่าตัวเองนั้นมีท่าทางที่ค่อย ๆ เปลี่ยนไปเมื่ออยู่ต่อหน้าซูอี้ เปลี่ยนเป็นตั้งใจ ถ่อมตัว และเคารพเชื่อฟังมากขึ้น
แต่ภาพนี้ กลับตกอยู่ในสายตาของหลิงอวิ๋นเหอกับชิงหยาที่อยู่ไกล ๆ
ทั้งสองเหลือบมองหน้ากัน และต่างก็ตกตะลึง
“ไม่ได้เจอกันมาสามปี ทันทีที่เจอกัน เหตุใดอาจารย์อากลับสนิทสนมกับพี่ชายซูอี้ขนาดนั้น และไม่แม้แต่จะสนใจพวกเราเลย”
ชิงหยาแอบบ่นพึมพำด้วยความไม่พอใจ
หลังจากที่เข้ามานั่งอยู่ภายในตำหนักหลังนี้ เหวินซินจ้าวก็เอาแต่ขอคำชี้แนะวีถีดาบกับซูอี้ ราวกับว่าลืมนางกับหลิงอวิ๋นเหอไปแล้ว
หลิงอวิ๋นเหอยิ้มพลางเอ่ยตำหนินาง “จะพูดอันใดได้? อาจารย์อาของเจ้ามีนิสัยเช่นนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว นางหลงใหลในวิถีดาบ แค่คุยเรื่องที่เกี่ยวข้องกับวิถีดาบขึ้นมา นางก็จะไม่สนใจอะไรทั้งนั้น”
แม้จะกล่าวออกมาเช่นนี้ แต่เขากลับรู้สึกสับสนเล็กน้อย
ตั้งแต่ที่เริ่มเดินทางมากับซูอี้ เขายังกังวลว่าความสามารถที่ซูอี้แสดงออกมา จะชิงหัวใจของชิงหยาไป
แต่ไม่นึกเลยว่า คนที่ถูกชิงหัวใจไปกลับไม่ใช่ชิงหยา ทว่าเป็นเหวินซินจ้าว!
นี่แค่เพิ่งรู้จักกับซูอี้เมื่อครู่เท่านั้น ยังพูดคุยจนลืมเขาเช่นนี้ และในตอนที่ปฏิบัติต่อซูอี้ ราวกับได้พบท่านอาจารย์ ทั้งนอบน้อม ทั้งรินสุราให้ด้วยตัวเอง
สิ่งนี้ทำให้หลิงอวิ๋นเหออดสงสัยไม่ได้ หากซูอี้เต็มใจ เกรงว่าเหวินซินจ้าวต้องเข้าอิงแอบแนบชิดซบอยู่ในอ้อมอกของเขาแน่
“หวังว่าจะไม่เป็นเช่นนั้น ด้วยการวางตัวของสหายเต๋าซู คงจะไม่… ทำเรื่องเช่นนั้นออกมาหรอกนะ?”
หลิงอวิ๋นเหอแอบเอ่ย
…..
ด้านนอกลานประตูใหญ่
ฮั่วอวิ๋นเซิง เฉียนเทียนหลง ซุนเฟิงทั้งสามคนนั่งเกี้ยวกลับมา
“โชคดีที่ครานี้มีศิษย์พี่ฮั่วคอยช่วยเหลือ เรื่องทุกอย่างถึงจบไปได้ด้วยดี และข้าจะเตรียมของขวัญที่มีค่าเพื่อแสดงคำขอบคุณให้แก่ท่าน”
เมื่อเดินเข้ามาในลาน เฉียนเทียนหลงยังคงซ่อนความดีใจเอาไว้ไม่มิด
ก่อนหน้านี้ ภายใต้การการชักนำของฮั่วอวิ๋นเซิง ทำให้เขาลอบติดต่อกับกองกำลัง ‘กลุ่มทะเลทุกข์’ ได้อย่างราบรื่น
หลังจากจ่ายมัดจำเป็นศิลาวิญญาณระดับหกจำนวนสามสิบก้อน ฮั่วอวิ๋นเซิงก็จ้างวานนักฆ่าขอบเขตเปิดทวารที่มีฉายาว่า ‘นักเลาะกระดูก’ มา และทำข้อตกลงกันเรื่องสังหารซูอี้
ตามคำกล่าวของอีกฝ่าย นักฆ่า ‘นักเลาะกระดูก’ ไม่เคยทำภารกิจลอบสังหารพลาดเลยสักครั้งจนถึงตอนนี้
และเคยลอบสังหารบุคคลระดับขอบเขตรวบรวมดาราหลายครั้ง พลังนั้นน่าสะพรึงกลัวมาก
ในกลุ่มทะเลทุกข์ นักเลาะกระดูกสามารถอยู่ในสามอันดับแรกของนักฆ่าที่อยู่ขอบเขตเปิดทวาร!
ทั้งหมดนี้ได้เติมเต็มความมั่นใจให้เฉียนเทียนหลงในการสังหารซูอี้
“ศิษย์น้องเฉียน พวกเราคือคนพวกเดียวกันอยู่แล้ว มิต้องเกรงใจเช่นนี้หรอก”
เมื่อฮั่วอวิ๋นเซิงเอ่ยมาถึงตรงนี้ เขาก็เอ่ยเตือนขึ้น “จากนี้ไป อย่าได้เอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมาอีก หากผู้อาวุโสจางกับศิษย์พี่เหวินรู้เข้า อาจจะเกิดการเข้าใจผิดได้”
เฉียนเทียนหลงยิ้มพลางตอบรับ
“หืม?”
ทันใดนั้น ฮั่วอวิ๋นเซิงมีสีหน้าเปลี่ยนไป “นี่คือ?”
พวกเขามาถึงสถานที่ฝึกฝนเดิมของเหวินซินจ้าวแล้ว ทว่ายามนี้ ที่นี่กลับกลายเป็นซากปรักหักพังที่ถูกทำลายไปจนหมดสิ้น
“ที่นี่เกิดการต่อสู้ขึ้น!”
ม่านตาของฮั่วอวิ๋นเซิงหรี่ลง “ดูจากร่องรอยการต่อสู้เช่นนี้ เกรงว่าแม้แต่ผู้อาวุโสจางก็คงลงมือแล้ว”
“นี่… หรือว่าจะมีศัตรูบุกเข้ามาถึงที่?”
สีหน้าของเฉียนเทียนหลงก็เปลี่ยนไปเช่นกัน
และในตอนนั้นเอง เริ่นโหยวโหย่วรีบเดินมาจากที่ไกล ๆ “ศิษย์พี่ทั้งสาม ในที่สุดพวกท่านก็กลับมาแล้ว”
“ศิษย์น้องเริ่น ที่นี่เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
ฮั่วอวิ๋นเซิงเอ่ยถาม
เริ่นโหยวโหย่วมีสีหน้าปั้นยาก พลางควบคุมจิตใจให้มั่น และเล่าเรื่องการต่อสู้ระหว่างซูอี้กับจางอวิ๋นเทาเมื่อครู่ออกไปทั้งหมด ไม่มีปิดบังใด ๆ
เมื่อฟังจบ ฮั่วอวิ๋นเซิงและคนอื่น ๆ ต่างยืนค้างอยู่ตรงนั้น ราวกับถูกฟ้าผ่า
ไม่นึกเลยว่าซูอี้จะชนะผู้อาวุโสจาง!?
นี่ทำให้พวกฮั่วอวิ๋นเซิงแทบจะสับสน ชายหนุ่มขอบเขตไร้เบญจธัญผู้หนึ่ง สามารถเอาชนะบุคคลชั้นนำขอบเขตรวบรวมดาราขั้นกลางด้วยสองกระบวนดาบเท่านั้น หากเอ่ยเรื่องนี้ออกไป ผู้ใดจะเชื่อกัน?
ในฐานะที่เป็นศิษย์สายในวังเทพสวรรค์เมฆา พวกฮั่วอวิ๋นเซิงย่อมรู้ความแข็งแกร่งของจางอวิ๋นเทาดีกว่าใคร ๆ และด้วยเหตุนี้ เมื่อพวกเขารู้ข่าวเช่นนี้ ก็ยากที่จะยอมรับได้
ชั่วครู่หนึ่ง จู่ ๆ เฉียนเทียนหลงเหมือนจะตระหนักได้ถึงอะไรบางอย่าง จึงตะโกนออกมา “แย่แล้ว!”
เขาหันไปมองฮั่วอวิ๋นเซิง พลางเอ่ยอย่างลุกลี้ลุกลน “ศิษย์พี่ฮั่ว พวกเราให้กลุ่มทะเลทุกข์…”
“หุบปาก!”
สีหน้าฮั่วอวิ๋นเซิงตึงเครียดขึ้นมา จากนั้นจึงหันไปเอ่ยกับเริ่นโหยวโหย่ว “ศิษย์น้อง เจ้าออกไปก่อน ข้ามีเรื่องจะคุยกับศิษย์น้องเฉียน”
แม้เริ่นโหยวโหย่วจะรู้สึกสงสัย แต่ก็ยังตอบตกลง และหมุนตัวเดินออกไป
จนกระทั่งร่างของนางลับไปแล้ว ฮั่วอวิ๋นเซิงจ้องมองเฉียนเทียนหลงด้วยสีหน้าเคร่งขรึม พลางเอ่ยทีละคำออกมา “ข้าบอกแล้วใช่ไหมว่าอย่าได้เอ่ยถึงกองกำลังกลุ่มทะเลทุกข์ เหตุใดศิษย์น้องเฉียนถึงได้ความจำสั้นเช่นนี้ฮะ?”
น้ำเสียงเครียดเจือไปด้วยโทสะดังขึ้น
เฉียนเทียนหลงสะดุ้งจนตัวสั่น พลางเอ่ย “ศิษย์พี่ฮั่ว ข้าแค่นึกขึ้นมาได้ว่าข้อมูลของซูอี้ที่เราให้แก่กลุ่มทะเลทุกข์ มันมีความคลาดเคลื่อนไปอย่างมาก ข้ากังวลว่า…”
“กังวลว่านักฆ่าที่มีฉายาว่า ‘นักเลาะกระดูก’ คนนั้นจะทำงานล้มเหลว?”
ฮั่วอวิ๋นเซิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา “วางใจเถิด ตามสัญญา หลังจากที่พวกเราออกจากงานชุมนุมหลิงชวีวันมะรืนนี้ การลอบสังหารถึงจะเริ่มขึ้น และในช่วงเวลาก่อนที่มันจะเริ่มขึ้นพวกเราก็ค่อยนำข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับซูอี้ทั้งหมดส่งไปให้อีกฝ่าย”
เฉียนเทียนหลงถึงได้ถอนหายใจยาวออกมา พลันเอ่ยอย่างละอายใจ “ศิษย์พี่ฮั่ว เมื่อครู่เป็นข้าที่ยับยั้งสติไม่ได้เอง หวังว่าท่านจะไม่ถือโทษ”
ฮั่วอวิ๋นเซิงตบไหล่เขาเบา ๆ พลางเอ่ย “จำเอาไว้ จะไม่มีครั้งหน้าอีก”
เมื่อสบเข้ากับแววตาเยือกเย็นของฮั่วอวิ๋นเซิง เฉียนเทียนหลงก็รู้สึกเย็นไปทั่วร่าง พลันพยักหน้าทันที
ซุนเฟิงที่อยู่ด้านข้างเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ จึงอดที่จะมึนงงไม่ได้ ศิษย์พี่ฮั่วระมัดระวังจนเกินไป เขาแค่กังวลว่ากองกำลังกลุ่มทะเลทุกข์จะถูกเปิดเผยและทำให้เขาได้รับผลกระทบไปด้วย?
หากเป็นเช่นนี้ ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับกลุ่มทะเลทุกข์จะเป็นอะไรได้อีกล่ะ?
“ไปกันเถิด พวกเราไปพบศิษย์พี่เหวินกัน”
ฮั่วอวิ๋นเซิงหมุนตัวเดินออกไป
เฉียนเทียนหลงกับซุนเฟิงรีบเดินตามหลังไป
เมื่อทั้งสามคนเข้ามาภายในตำหนักแล้ว ก็ตะลึงค้างไปทันที
เมื่อเห็นเหวินซินจ้าว ผู้ซึ่งถูกมองว่าเป็นนางเซียนบนสวรรค์ ในยามนี้กำลังนั่งรินสุราอยู่ด้านข้างให้กับซูอี้ไปด้วยและสนทนาไปด้วย สีหน้าและท่าทางเช่นนี้ เผยกลิ่นอายความเลื่อมใส เคารพ และนับถือออกมา
ประหนึ่งผู้น้อยรินชาให้แก่ผู้อาวุโส และตั้งใจฟังคำสั่งสอน
“นี่…”
พวกฮั่วอวิ๋นเซิงต่างเหลือบมองหน้ากัน และแทบจะอ้าปากค้าง
เหวินซินจ้าว นางเซียนที่ศิษย์ชายมากมายในวังเทพสวรรค์เมฆาต่างชอบและเคารพเลื่อมใส คือมารดาบน้อยที่มีชื่อเสียงไปทั่วใต้หล้า แม้แต่ในยามที่พบกับผู้อาวุโสในสำนัก นางก็ไม่เคยเผยท่าทางที่อ่อนน้อมถ่อมตัวเช่นนี้ออกมา!
“ศิษย์พี่ฮั่ว นั่น… นั่นคือศิษย์พี่เหวินรึ?”
นัยน์ตาของเฉียนเทียนหลงว่างเปล่า ใบหน้าเต็มไปด้วยความไม่อยากจะเชื่อ
“ใช่!”
ใบหน้าของฮั่วอวิ๋นเซิงในยามนี้เผยความเคร่งขรึมและบิดเบี้ยวออกมา นัยน์ตาเจือไปด้วยโทสะและความอิจฉาที่มิอาจปิดบังได้
เขาชอบเหวินซินจ้าว
นี่คือเรื่องที่คนในวังเทพสวรรค์เมฆาต่างก็รู้กันทุกคน!