บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 45 งูเขียวไผ่ เหล็กในผึ้ง
ตอนที่ 45 งูเขียวไผ่ เหล็กในผึ้ง
หนีเฮ่า
ไม่ใช่คนแปลกหน้าสำหรับซูอี้ เมื่อครั้งที่ซูอี้เป็นหัวหน้าศิษย์สายนอกสำนักดาบชิงเหอ หนีเฮ่าเป็นหนึ่งในศิษย์สายใน เป็นคนสำคัญของสำนักดาบชิงเหอ
แม้ว่าพวกเขาจะรู้จักกัน ทว่าไม่ได้ข้องเกี่ยวกันนัก
ซูอี้ไม่ใส่ใจท่าทีเฉยเมยและดูถูกที่อีกฝ่ายเผยออกมาให้เห็นโดยไม่ได้ตั้งใจ
“บัดนี้ได้พบหน้าข้าแล้ว ไม่มีกิจธุระอื่นใด เจ้ากับหนีเฮ่ากลับไปได้แล้ว” ซูอี้กล่าวส่งแขกเสียงเรียบ
หนานอิ่งตกตะลึง ราวไม่อยากเชื่อว่าคำพูดเย็นชาเช่นนี้จะออกมาจากปากซูอี้
หลังนิ่งเงียบไปชั่วขณะ นางเอ่ยกับหนีเฮ่าด้วยความเกรงใจ “ศิษย์พี่ ขอข้าพูดคุยกับศิษย์พี่ซูอี้เพียงลำพังได้หรือไม่?”
“ได้สิ แต่อย่านานเกินไปนัก ท่านลุงโจวยังรอเราอยู่ที่บ้านตระกูลหลี่”
หนีเฮ่าพยักหน้า ทำทีเมินเฉยซูอี้ หันเดินออกไปจากบ้าน
ซูอี้ไม่สบอารมณ์นัก แต่เขายังตัดสินใจฟังสิ่งที่หนานอิ่งต้องการบอก
“หลิงเสวี่ย เจ้าเข้าไปรอข้าในห้องก่อนเถิด” เขากล่าวเสียงนุ่มนวล
เหวินหลิงเสวี่ยสัมผัสได้ว่าบรรยากาศอึมครึม นางขานรับและเดินเข้าไปในห้องซูอี้
ในเวลานี้ที่ใต้ต้นแคฝรั่ง มีเพียงซูอี้และหนานอิ่งอยู่ตามลำพัง
“หากข้าไม่มาหา มีหรือข้าจะรู้ว่าพี่ซูตกต่ำถึงเพียงนี้?” หนานอิ่งสบตาซูอี้ซึ่งอยู่ห่างแค่เอื้อม รอยยิ้มหยอกล้อสะใจที่มุมปากพลันปรากฏขึ้น คางขาวของนางขยับเงยเชิด
ท่าทีของนางแปรเปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน หมดสิ้นซึ่งความโอบอ้อมและอ่อนโยน ไร้ซึ่งความใจเย็นและเมตตาดั่งกล้วยไม้ เหลือเพียงความเย่อหยิ่งเหยียดหยามที่ฉายชัดผ่านคิ้วละเอียด
“หัวหน้าศิษย์สายนอกดาบชิงเหอผู้เคยสง่างามในวันก่อน ใครเล่าจะเชื่อว่าบัดนี้ศิษย์พี่ซูจะมีชื่อเสียงฉาวโฉ่ในเมืองกว่างหลิง เป็นลูกเขยแต่งเข้าบ้านให้ผู้คนหัวเราะเยาะ?”
หนานอิ่งยิ้มเย้ย “เป็นเช่นไรเล่า คงอับอายมากเป็นแน่ใช่หรือไม่?”
“เจ้ามาที่นี่เพื่อแค่อยากจะรับชมสภาพน่าสมเพชของข้าเช่นนั้นเองหรือ?”
ซูอี้เลิกคิ้วพลางตอกกลับ สามปีที่ผ่านมา ตัวเขาที่ยังไม่ได้ความทรงจำชาติก่อนกลับคืนเคยลุ่มหลงสตรีหลายใจกลับกลอกเช่นนี้ได้อย่างไร?
“ใช่ ข้ามาที่นี่เพื่อชมสภาพน่าสมเพชของเจ้า!”
หนานอิ่งไม่คิดเสแสร้ง กล่าวถากถาง “เมื่อครั้งที่อยู่ที่สำนักดาบชิงเหอ เจ้าเป็นหัวหน้าศิษย์สายนอก ข้าต้องคอยปรนนิบัติสอพลอเจ้า ทุกคราที่พบหน้าต้องแสร้งเทิดทูนเสมอ”
“ในตอนนั้นข้าคิดหวังว่าไม่ช้าเจ้าจะต้องกลายเป็นศิษย์สายในได้ และจะสามารถช่วยฉุดดึงให้ข้ามีโอกาสไต่เต้าเป็นศิษย์สายในเช่นกัน แต่ไม่นึกเลยว่าต่อมายังไม่ทันที่เจ้าจะได้เป็นศิษย์สายใน… เจ้ากลับสูญเสียการบ่มเพาะไปเสียก่อน!”
สิ้นคำ ใบหน้าทรงเสน่ห์เริ่มฉายแววเกลียดชัง “สามปีที่ข้าสู้อุตส่าห์กล้ำกลืนฝืนทนทุ่มเทแรงกายแรงใจไปกับเจ้าพังทลายไม่มีชิ้นดี!”
คิ้วที่ขมวดมุ่นของซูอี้ค่อยคลายออก เขาว่าเฉยชา “เช่นนั้นเมื่อครั้งที่เจ้าอยู่เคียงข้างข้า เจ้าไม่เคยจริงใจกับข้าเลยถูกต้องหรือไม่?”
“แน่นอน!” หนานอิ่งตอบโดยไม่ลังเลใจ นางหมายใจจะเห็นสีหน้าเกรี้ยวกราดและเจ็บปวดของซูอี้
ทว่ากลับพบเพียงสีหน้าสงบนิ่งของเขา
ท่าทีเรียบเฉยของเขายิ่งทำให้นางหงุดหงิดใจ
หนานอิ่งพลันสงวนท่าทีของตน กล่าวพร้อมยิ้มหวาน “โชคดีที่หลังจากเจ้าถูกขับไล่ ข้าจึงได้มีโอกาสได้พบกับศิษย์พี่หนีเฮ่า”
“เขาเป็นศิษย์สายใน เป็นคนสำคัญในสำนักดาบชิงเหอ แม้แต่เจ้าในตอนนั้นยังเทียบไม่ได้กับศิษย์พี่เฮ่า!”
“ด้วยความช่วยเหลือของเขา ข้าจึงได้กลายเป็นศิษย์สายในเมื่อครึ่งปีก่อน สถานะของข้าในตอนนี้สูงส่งกว่าบุตรเขยไร้น้ำยาอย่างเจ้าราวฟ้ากับเหว!”
ยิ่งนางกล่าวคำ ยิ่งแสดงความภาคภูมิใจ เห็นชัดว่าจงใจยั่วยุและเย้ยหยันซูอี้
แต่นางกลับยิ่งแปลกใจ สีหน้าของซูอี้ไร้ซึ่งแปรเปลี่ยน ยังคงสงบนิ่ง
“เจ้าไม่มีสิ่งใดจะพูดบ้างหรือ?” หนานอิ่งอดถามขึ้นไม่ได้
ทว่าซูอี้เพียงเอ่ยเสียงเรียบ “ข้าเพียงรู้สึกสงสารหนีเฮ่าที่กลายเป็นเพียงเครื่องมือของเจ้า ต่อไปหากเจ้าพบผู้ยิ่งใหญ่กว่ามัน เจ้าคงกำจัดมันทิ้งอย่างไม่ไยดีเป็นแน่”
หนานอิ่งชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนเผยยิ้มและสวนกลับ “ซูอี้เอ๋ย คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะฉลาดขึ้นมากถึงเพียงนี้ เจ้าพูดถูก แต่ข้าคงไม่ยอมรับในตอนนี้หรอก”
ซูอี้พยักหน้า “เป็นเรื่องที่เข้าใจได้”
“เข้าใจบ้าอะไรกัน!” หนานอิ่งสบถ “หากเจ้าไม่ฉุดรั้งข้าไว้ถึงสามปี ข้าจะเพิ่งได้เป็นศิษย์สายในเมื่อครึ่งปีก่อนหรือ?”
ซูอี้ถอนหายใจยาว สามปีที่ผ่านมา ดวงตาเขาช่างมืดบอดยิ่งนัก
นอกจากสตรีผู้นี้จะปลิ้นปล่อน นางยังร้ายกาจเสียจนยอมทำทุกสิ่งเพื่อก้าวไปสู่จุดสูงสุด!
ซูอี้เอ่ยจริงจังหลังใคร่ครวญ “คนอย่างเจ้าแม้ไต่เต้าถึงตำแหน่งเจ้าเมืองก็คงยังไม่พึงพอใจ ผู้ทรงอำนาจไม่มีใครเป็นเช่นเจ้า เพียงเพื่อระบายความอัดอั้นตันใจตลอดหลายปีที่ผ่านมา เจ้ากลับเผยความโสมมในใจเจ้าออกมาเสียหมดเปลือก ต่อให้เจ้าเป็นนางมารร้ายในคราบบัวขาว เจ้าก็ต้องรักษาท่าทีสุภาพไว้บ้าง”
หนานอิ่งปิดปากกลั้วขำ “ในที่สุดเจ้าก็โกรธเสียจนอดจะด่าทอข้าไม่ได้แล้วใช่หรือไม่? ข้าจะบอกเจ้าให้ ในสายตาของผู้อื่น ข้าทั้งสุขุมนุ่มนวล บริสุทธิ์ดั่งหยก ทุกคนต่างนับถือข้า แม้แต่ผู้อาวุโสบางคนในสำนักยังเมตตาข้านัก”
“บุตรเขยในบ้านอย่างเจ้ากล่าวหาว่าข้าต่ำช้า ใครจะเชื่อเจ้ากัน?” นางยิ้มอย่างสุขล้น
“ศิษย์น้องหญิง สายมากแล้ว”
เสียงหนีเฮ่าดังมาแต่ไกลจากด้านนอกบ้าน
รอยยิ้มหนานอิ่งพลันเลือนราง ความโกรธเกรี้ยวเกลียดชังที่โอบล้อมกายจางหาย กลับกลายเป็นแววโศกเศร้า ชวนให้ผู้คนคิดเห็นใจ
นางช่างเก่งกาจยิ่งนัก เปลี่ยนอารมณ์ได้อย่างไร้ที่ติ สมเป็นนางจิ้งจอกร้อยเล่ห์
ซูอี้ส่ายหน้า ใครเล่าจะคิดว่าที่ผ่านมานางแสร้งทำมาตลอด?
“ซูอี้ บัดนี้ข้ากับเจ้าอยู่คนละโลก ไม่ว่าเจ้าจะทุกข์ใจเพียงไหน เจ้าก็ทำได้เพียงอยู่อย่างเจียมเนื้อเจียมตัวเท่านั้น”
“ต่อไปข้าจะต้องขึ้นไปสู่จุดสูงสุดจนเจ้าต้องแหงนหน้ามองและไม่อาจเอื้อมถึง!”
หนานอิ่งก้าวมาหาเขา สายตาเย็นชา กระซิบกำชับ “จำไว้ ห้ามแพร่งพรายเรื่องวันนี้ให้ใครรู้เด็ดขาด ไม่เช่นนั้นข้าจะเล่นงานเจ้าแน่!”
ว่าจบ นางยิ้มมุมปากก่อนหันกลับ “แน่นอนว่าแม้เจ้าจะพูด แต่คงไม่มีใครในโลกเชื่อคำพูดบุตรเขยไร้ค่าอย่างเจ้า!”
ซูอี้ปิดปากหัวเราะขณะมองนางเดินลับตาไป
แบบนี้เป็นการดีแล้ว อย่างน้อยก็ได้สางปมครั้งเก่าก่อน ไม่ต้องเหลือเยื่อใยให้นางมารร้ายเช่นนี้อีก
อย่างที่คนว่ากัน
งูเขียวไผ่หรือเหล็กในผึ้ง ล้วนไร้ซึ่งพิษภัยเมื่อเทียบกับสตรีต่ำช้าเช่นนี้
“พี่เขย”
ประตูห้องค่อย ๆ เปิดออก เหวินหลิงเสวี่ยเดินออกมา สีหน้าไม่สู้ดีนัก สบตาซูอี้อย่างเป็นกังวล
“เจ้าได้ยินหรือ?” เขาถาม
นางตอบอย่างเจ็บแค้นแทน “ข้าได้ยินพอจับใจความได้ สตรีผู้นั้นช่างชั่วช้ายิ่ง ข้าไม่เคยพบเจอคนไร้ยางอายเท่านางมาก่อน! หากข้ารู้ว่านางมาด้วยเจตนาร้าย ข้าคงไม่พานางมาที่นี่”
“มีคนเช่นนี้มากมายในโลก ไม่ต้องใส่ใจเรื่องนางหรอก” ซูอี้ยิ้มพลางลูบศีรษะนาง
เขาไม่ได้พบนางเพียงเจ็ดวัน แต่พลังที่ไหลเวียนในร่างกายของนางกลับเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด
“เจ้าเริ่มฝึกแล้วหรือ?” ซูอี้ถามด้วยความแปลกใจ
เหวินหลิงเสวี่ยหัวเราะเริงร่า ว่าอย่างอารมณ์ดี “เป็นเพราะพี่เขยชี้แนะการฝึกให้ข้า ข้าจึงพัฒนาขึ้นมากภายในเวลาเพียงเจ็ดวัน”
เขาหัวเราะเช่นกัน ก่อนเอ่ยเตือนนาง “ในการฝึกตนขั้นแรก ส่วนใหญ่มักพลั้งเผลอใจร้อน จงหมั่นเสริมรากฐานให้มั่นคง อย่าโลภมากเร่งฝึกจนเกินไป”
นางพยักหน้ารับแข็งขัน รับคำ “ข้าจะทำตามอย่างเคร่งครัด”
“ว่าแต่เจ้าต้องการเข้าร่วมประลองในงานประลองประตูมังกรหรือไม่?” ซูอี้ถาม
นางส่ายหน้า ก้มศีรษะคล้ายหลบตาซูอี้ เอ่ยขึ้น “พี่เขย ข้ามาในวันนี้ มีสิ่งหนึ่งแจ้งแก่ท่าน”
เขาชะงัก “เรื่องอันใด?”
เหวินหลิงเสวี่ยกระชิบ “พรุ่งนี้เช้า ท่านลุงจะพาข้าและพ่อแม่เดินทางออกจากเมืองกว่างหลิงไปเยี่ยมพี่สาวที่ตำหนักเทียนหยวน ครั้งนี้ไปอย่างน้อยครึ่งเดือน ท่านลุงบอกว่า… ไม่ยอมให้ท่านไปด้วยกัน…”
น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเสียใจและเป็นกังวล
“เจ้ากลัวว่าข้าจะน้อยอกน้อยใจเรื่องนี้หรือ? ฮ่าฮ่า ไม่หรอก” ซูอี้อดขำไม่ได้ รีบกล่าวปลอบนาง
แม้แต่เขายังไม่สนใจเรื่องนี้นัก เหตุใดต้องให้เด็กสาวมาเป็นห่วงเรื่องนี้กัน?
“พี่เขย เช่นนั้น… ท่านมีเรื่องอยากฝากบอกพี่สาวของข้าหรือไม่? หรือจะฝากข้านำจดหมายไปให้นางก็ได้”
เหวินหลิงเสวี่ยเอ่ยชัดถ้อยชัดคำ
ซูอี้คิดจะปฏิเสธ ทว่าใจอ่อนยวบเมื่อเห็นสายตาคาดหวังของนาง
เขาเข้าใจดี เด็กสาวหวังให้เขากับพี่สาวตนลดความห่างเหินและพัฒนาความสัมพันธ์มาโดยตลอดไม่ใช่หรือ?
เคราะห์ร้ายที่นางหารู้ไม่ ไม่ว่าจะฝ่ายตัวเขาหรือเหวินหลิงเจา พวกเขาเห็นกันและกันเป็นคนแปลกหน้า ไม่มีทางกระชับความสัมพันธ์ได้
ต้นเหตุแห่งความเหินห่างและไม่พึงใจในกันและกันเกิดจากการแต่งงานโดยไม่ยินยอมเมื่อตอนนั้น
ด้วยความลับของอิทธิพลอำนาจของตระกูลซูในเมืองหลวง นายหญิงเฒ่าแห่งตระกูลเหวินจึงทำได้เพียงให้ความร่วมมือ นางต้องจำยอมฝืนใจ ให้เขาและเหวินหลิงเจาแต่งงานกัน
ไม่เช่นนั้น มีหรือหญิงชรานั่นจะเต็มใจยอมให้เขาแต่งเข้าตระกูล?
“ได้สิ เจ้าช่วยส่งจดหมายให้นางที”
ซูอี้เดินกลับเข้าห้อง หยิบพู่กันกับกระดาษออกมา รีบเขียนประโยคลงไป
เขากลับออกมาพร้อมจดหมายที่ปิดผนึกไว้ ยื่นให้เหวินหลิงเสวี่ย บอกพร้อมส่งยิ้ม
“เจ้าคงรู้สึกสบายใจขึ้นแล้วใช่หรือไม่?”
นางรับจดหมายและเก็บเอาไว้อย่างดี ตอบอย่างมีความสุข “ใช่แล้ว!”
“จำเอาไว้ ห้ามบอกพี่สาวเจ้าเรื่องที่ข้าสอนเคล็ดวิชาให้” เขาเตือนนางในจังหวะที่นางกำลังจะกลับ
“พี่เขย ไม่ต้องห่วง นี่เป็นความลับระหว่างเราสอง ข้าไม่แพร่งพรายให้ผู้อื่นรู้เด็ดขาด”
เหวินหลิงเสวี่ยโบกมือลาก่อนจากไปอย่างอารมณ์ดี
“เพื่อการไปเยี่ยมเยียนเหวินหลิงเจาที่ตำหนักเทียนหยวน เหวินฉางจิ้ง ถึงขนาดไม่คิดเข้าร่วมชมงานประลองประตูมังกร เช่นนี้คงคิดว่าศิษย์ยอดยุทธ์อย่างเหวินหลิงเจาสำคัญกว่าเป็นแน่…”
ซูอี้ยืนมือไพล่หลังครุ่นคิดอยู่กลางลานบ้าน
“ก็จริง ศิษย์ยอดยุทธ์ย่อมสำคัญกว่าพรรคพวกในเมืองกว่างหลิง ตราบใดที่ตระกูลเหวินมีเหวินหลิงเจา พวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องกังวลสถานการณ์ในเมืองที่เปลี่ยนไปในภายภาคหน้า”
คิดถึงขั้นนี้ ซูอี้ก็ส่ายหัว
เขาอาจคิดเรื่องเหวินหลิงเจาผู้เป็นภรรยาแต่ในนามมากเกินไป
ไม่มีสิ่งใดมากไปกว่าความเกลียดชังและฝืนทนเมื่อครั้งแต่งงานกันแต่ต้น แถมดูเหมือนความรู้สึกเหล่านี้จะยิ่งทวีคูณ นางถึงกับหาโอกาสที่จะทำลายการแต่งงานนี้อยู่ร่ำไป
ส่วนเรื่องนางจะไม่ชอบหน้าเขา ซูอี้ไม่แยแสแต่อย่างใด
กลับกันเขายิ่งต้องการให้อีกฝ่ายรีบทำลายการแต่งงานนี้เสีย เรื่องนี้จะได้ไม่ต้องถึงมือเขา
แต่แล้ว ขณะเดียวกันนี้เสียงของหูเฉวียนดังมาจากนอกบ้าน
“ท่านบุตรเขย มีแขกมารอพบขอรับ!”