บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 451 นามที่สั่นคลอนหลิงชวี
ตอนที่ 451: นามที่สั่นคลอนหลิงชวี
ตอนที่ 451: นามที่สั่นคลอนหลิงชวี
ท่าทีที่สงบและไร้ความกลัวเกรงของซูอี้อยู่ในสายตาของหญิงชราทั้งหมด
เปลือกตาของนางกระตุก ก่อนจะกล่าวว่า “เป็นหญิงชราที่ไร้เหตุผลเอง ขอสหายเต๋าซูโปรดอย่าสนใจเลย”
กู่ชางหนิงเองก็ตระหนักว่าคำขอดังกล่าวค่อนข้างไร้เหตุผลจึงรีบประสานหมัดพูดอย่างจริงจังว่า “พี่ซู บุญคุณในวันนี้ ข้า กู่ชางหนิง จะต้องหาทางตอบแทนในอนาคตแน่นอน!”
ซูอี้ถอนสายตากลับแล้วโบกมืออย่างไม่ใส่ใจ พลางหมุนตัวจากไป
จนกระทั่งร่างของเขาเดินหายเข้าไปในห้องส่วนตัวนั้น
กู่ชางหนิงถอนหายใจ ก่อนเอ่ย “แม่เฒ่า ไปกันเถิด”
เขารู้สึกหดหู่เล็กน้อย
นานมาแล้ว เขาเป็นทายาทสายตรงของตระกูลกู่ ตระกูลจักรพรรดิเก่าแก่
เขาเป็นหลานชายคนโตของหนึ่งในเก้าราชันย์แห่งมหาทวีปคังชิง ราชันย์ศึกเวหา
เขาเป็น ‘เมล็ดพันธุ์โดยกำเนิด’ ที่ได้รับการยกย่องจากผู้ยิ่งใหญ่นับไม่ถ้วน และเป็นรุ่นเยาว์ที่มีชื่อเสียงมากในหมู่คนรุ่นใหม่
ในเวลานั้นงดงามและมีความสุขเพียงใด
แต่ความรุ่งโรจน์ในอดีตก็ได้ปลิวหายไปตามสายลมของการจองจำแห่งยุคมืดเมื่อสามหมื่นปีก่อน!
ไม่นานมานี้ เขาได้พ่ายแพ้ต่อซูอี้ในการโจมตีครั้งเดียว
แต่วันนี้เขาอนาถจนถึงขึ้นหมดสติไปก่อนจะทันได้ลงมือ และสุดท้ายก็ถูกช่วยเหลือไว้โดยซูอี้
กู่ชางหนิงจะไม่รู้สึกหดหู่ใจหลังจากเผชิญเรื่องเหล่านี้ซ้ำ ๆ ได้อย่างไร?
เขาถึงกับสงสัยว่ามีคำว่า ‘อนาถ’ สลักอยู่บนหน้าผากของเขาหรือไม่? ไม่เช่นนั้นเหตุใดเขาจึงได้โชคไม่ดีนัก?
“นายน้อย แม้ว่าเวลาจะเปลี่ยนไป และวันนี้ก็ไม่เหมือนวันวาน แต่ด้วยภูมิหลังและพรที่ตระกูลโบราณของเราเหลือไว้ ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ท่านมีชื่อเสียงในยามที่แสงสว่างแห่งโลกกว้างมาถึง”
หญิงชราดูเหมือนสังเกตเห็นว่าอารมณ์ของกู่ชางหนิงดิ่งลง นางจึงรีบเอ่ยปลอบโยน
“ข้าไม่ได้หวั่นไหวกับความพ่ายแพ้นี้”
กู่ชางหนิงส่ายหัว ขณะพูดด้วยรอยยิ้มขื่น “ข้าเพียงแค่ไม่คิดว่าคนอย่างซูอี้จะปรากฏขึ้นในมหาทวีปคังชิงนี้”
ก่อนหน้านี้เขาทำตัวลำพองตน และคิดว่าในต้าเซี่ยปัจจุบัน ผู้ที่สามารถงัดข้อกับตนได้มีเพียงผู้รอดชีวิตมาจากยุคโบราณเช่นตนเท่านั้น
สำหรับตัวตนที่เรียกว่าอัจฉริยะผู้ทรงเกียรติในโลกสามัญ พวกเขาก็เป็นเพียงตัวตนต่ำต้อย
แต่ใครจะไปคิดว่าการปรากฏตัวของซูอี้เหมือนกับการถูกตบหน้า ซึ่งเกือบจะทำลายความเย่อหยิ่งและความภาคภูมิใจของเขาไป
“นายน้อย ซูอี้ผู้นี้ช่างน่าทึ่งจริง ๆ แต่ท่านอย่าลืมว่าในบรรดาผู้ฝึกตนจำนวนนับไม่ถ้วนในโลกนี้ จะมีตัวตนที่เหมือนซูอี้อยู่สักกี่คน?”
ดวงตาของหญิงชราดูซับซ้อนและนางก็พูดอย่างเต็มไปด้วยอารมณ์ว่า “บอกท่านตามตรง อย่าว่าแต่นายน้อยเลย ข้าไม่เคยเห็นชายหนุ่มที่คาดเดาไม่ได้แบบเขามาก่อน”
หลังจากไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง หญิงชราก็สรุปว่า “แม้อยู่ในช่วงเวลาสามหมื่นปีที่แล้ว ฝีมือในขอบเขตเปิดทวารของซูอี้ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ผู้คนทั้งในอดีตและปัจจุบันตะลึงงัน เรียกได้ว่าเป็นผู้มีพรสวรรค์ที่หาตัวจับได้ยาก!”
หัวใจของกู่ชางหนิงสั่นไหว และสีหน้าของเขาก็ไม่สดใสนัก
ผ่านไปนานทีเดียว กว่าที่เขาจะดูคล้ายโล่งใจ และกล่าวว่า “ถ้าท่านพูดเช่นนั้น การถูกโจมตีด้วยผู้มีพรสวรรค์ที่หาตัวจับยากก็ไม่นับว่าแปลกอะไร…”
หญิงชรายิ้มพลางพยักหน้า ขณะที่ในใจนางลอบทอดถอนเบา ๆ
นางไม่ได้บอกกู่ชางหนิงว่า เมื่อครู่นี้ยามที่นางเผชิญหน้ากับซูอี้ ด้วยฝีมือและประสบการณ์ของนางแล้ว นางกลับรู้สึกไม่มั่นใจ
ราวกับว่านางไม่ได้เผชิญหน้ากับชายหนุ่มในขอบเขตไร้เบญจธัญ แต่เป็นสัตว์ประหลาดเฒ่าน่าสะพรึงกลัวผู้มีความแข็งแกร่งที่ไม่อาจหยั่งรู้ได้!
“แม่เฒ่า ท่านไปรับหลันซางเถิด พวกเราจะไปที่นครหลวงจิ๋วติ่งกัน!”
กู่ชางหนิงตัดสินใจ
…
ในห้องส่วนตัว
ขนตายาวราวกับพัดเล็ก ๆ ของเหวินซินจ้าวสั่นไหวเล็กน้อย เช่นเดียวกับริมฝีปากสีชมพูของนางที่เผยอขึ้นขณะที่ตื่นจากการสลบไสล
สิ่งแรกที่หญิงสาวเห็นหลังลืมตาขึ้นคือร่างสูงที่นั่งสบาย ๆ บนเก้าอี้ข้างกายพลางมองดูม้วนหนังสัตว์
เมื่ออึ้งไปครู่หนึ่ง เหวินซินจ้าวก็ดูคล้ายจะฟื้นคืนสติได้ในที่สุด ใบหน้าที่งดงามราวกับเทพธิดาเปลี่ยนไปเล็กน้อย ก่อนนางจะสำรวจร่างกายตัวเองโดยไม่รู้ตัว
เมื่อนางพบว่าเสื้อผ้าของนางเรียบร้อยดีและไม่ได้รับบาดเจ็บใด นางก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
“สหายเต๋า เมื่อครู่เกิดอะไรขึ้นหรือ?”
เหวินซินจ้าวถาม
นางสังเกตเห็นว่าคนอื่น ๆ ในห้องส่วนตัวยังไม่ตื่น
“เรื่องมันยาว พูดสั้น ๆ คือการประมูลครั้งนี้เป็นเพียงกับดัก”
ซูอี้กล่าวสั้น ๆ
เมื่อได้ยินเรื่องทั้งหมดนี้เหวินซินจ้าวก็อดเผยสีหน้าโกรธเคืองไม่ได้ ก่อนจะเกิดความกลัวขึ้นในใจ ถ้าไม่ใช่เพราะซูอี้ ผลที่ตามมาในครั้งนี้จะร้ายแรงขนาดไหนกัน?
ซูอี้ถามว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดสตรีนามเสวียนจื่อผู้นั้นถึงสร้างสถานการณ์ขึ้นเพื่อจัดการกับเจ้า?”
เหวินซินโจวส่ายหัวและพูดว่า “ข้าเพิ่งได้พบกับคนผู้นี้เมื่อวานเท่านั้น ข้าไม่รู้จักนางมาก่อน”
ซูอี้ขมวดคิ้วเล็กน้อย
สตรีชุดดำเสวียนจื่อ เป็นทายาทสายเลือดปีศาจงู ถูกเรียกว่าธิดาศักดิ์สิทธิ์เสวียนจื่อ นางรอดชีวิตจากการจองจำแห่งยุคมืดเมื่อสามหมื่นปีและถือเป็นตัวตนที่ทรงพลังมาก
นางใช้โอกาสจากงานชุมนุมหลิงชวี ไม่ลังเลที่จะใช้อำนาจของครรภ์อสูรเพื่อจับตัวเหวินซินจ้าว เช่นนี้มันจะเป็นเรื่องเล็ก ๆ ได้อย่างไร?
ซูอี้พลันส่ายหัวอย่างคร้านจะคิดต่อ
ในโลกนี้นอกเหนือจากการฝึกฝนแล้ว มันยังมีเรื่องราวและปัญหามากมาย ซึ่งซูอี้ก็คร้านเกินกว่าจะใส่ใจกับสิ่งถูกผิดและความพัวพันของเหตุและผลเหล่านั้น
หากมีปัญหามาถึงหน้าประตูก็แค่ฟันมันทิ้งด้วยดาบ
“ตอนนี้เจ้ารู้สึกอย่างไรบ้าง?”
ซูอี้เก็บม้วนหนังสัตว์ในมือไป
“ไม่เป็นไรแล้ว”
เหวินซินจ้าวรู้สึกอบอุ่นในใจ คราวนี้ซูอี้ไม่เพียงช่วยชีวิตนางไว้ แต่ยังห่วงใยนางด้วย แล้วนางจะไม่หวั่นไหวได้อย่างไร?
ซูอี้ลุกขึ้นแล้วพูดว่า “งั้นก็ลุกขึ้นได้แล้ว ข้าจะเอาเก้าอี้ออก”
เหวินซินจ้าว “…”
ปรากฏว่า… จุดประสงค์ที่แท้จริงของผู้ชายคนนี้… คือการเอาเก้าอี้หวายของเขาคืน!?
เหวินซินจ้าวรู้สึกเขินอายเล็กน้อย ในใจไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
จะโทษใครได้? นางจึงได้แต่โทษตัวเองที่คิดมากเกินไป…
อย่างไรก็ตาม นางไม่ใช่คนเสแสร้ง นางลุกขึ้นจากเก้าอี้หวายทันทีพลางยืดเส้นสาย แล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ศิษย์พี่ซู เก้าอี้หวายของท่านนั่งสบายจริง ๆ”
ดวงตาอันงดงามของหญิงสาวที่มองตรงมาเต็มไปด้วยประกายสดใส นางแต่งกายด้วยชุดที่เรียบง่ายหากงดงาม พร้อมด้วยท่าทางที่สง่างามที่ไม่มีใครเทียบได้ ซึ่งด้วยการเหยียดกายนั้นได้เผยให้เห็นเส้นเว้าโค้งที่น่าตื่นตา
เอวที่เพรียวบางและหน้าอกเต่งตึงที่ไม่ค่อยเผยโฉมล้วนสะท้อนออกมาอย่างเต็มที่ในขณะนี้
ซูอี้ถอนหายใจ ความงามที่ไร้เทียบเทียมคืออะไร?
ทุกการขมวดคิ้วและรอยยิ้ม ทุกการเคลื่อนไหวและทุกการกระทำล้วนแต่งดงามและรื่นตา
แน่นอน แม้ว่าจะเป็นเช่นนั้นแต่ด้วยนิสัยซูอี้ เขาก็ยังเอาเก้าอี้หวายออกไปอยู่ดี…
ไม่นานหลังจากนั้น หยวนเหิง หลิงอวิ๋นเหอ ฮั่วอวิ๋นเซิง และคนอื่นๆ ก็ตื่นขึ้นจากการหลับใหลทีละคน
เมื่อพวกเขารู้ว่าเพิ่งเกิดอะไรขึ้น ทั้งหมดต่างก็ตกใจ โมโห และหวาดกลัว
อย่างไรก็ตาม เมื่อเหวินซินจ้าวบอกกับทุกคนว่า ซูอี้เป็นผู้พลิกสถานการณ์และช่วยชีวิตพวกเขาไว้ ฮั่วอวิ๋นเซิง และคนอื่น ๆ ต่างก็สงสัย
หรืออันที่จริงแทนที่จะบอกว่าไม่เชื่อ ต้องบอกว่าพวกเขาไม่เต็มใจที่จะเชื่อมากกว่า
คล้ายกับว่าการยอมรับเรื่องนี้จะเหมือนกับการยอมรับว่าพวกเขาด้อยกว่าซูอี้มาก
แน่นอน ฮั่วอวิ๋นเซิง และคนอื่น ๆ ไม่ได้พูดอะไร พวกเขาไม่ได้โง่พอที่จะปฏิเสธออกไปตรง ๆ
ซูอี้จะไปสนใจความคิดของฮั่วอวิ๋นเซิงกับพวกได้อย่างไร
หลังจากที่หยวนเหิงเก็บกวาดของที่ได้จากบุตรสวรรค์เนี่ยเฟิงเสร็จ เขาก็เดินออกไปทันที
เหวินซินจ้าว หลิงอวิ๋นเหอ ชิงหยา และคนอื่น ๆ เองก็ติดตามไป
ในห้องที่หรูหราจึงเหลือเพียงฮั่วอวิ๋นเซิงและพวก
“ศิษย์พี่ฮั่ว บุตรสวรรค์เนี่ยเฟิงเป็นตัวตนราวกับสัตว์ประหลาด แต่แล้วเขากลับเสียชีวิตลงที่นี่ ข้าเกรงว่านี่จะเป็นฝีมือของคนแซ่ซูจริง ๆ!”
เฉียนเทียนหลงเอ่ย
ฮั่วอวิ๋นเซิงพูดด้วยใบหน้าเศร้าหมอง “ข้าไม่ยอมรับเรื่องนี้ ไม่อย่างนั้น มันจะไม่หมายความว่าข้าติดหนี้บุญคุณช่วยชีวิตคนแซ่ซูงั้นหรือ?”
ในเวลานี้เอง เริ่นโหยวโหย่วก็ถอนหายใจ “พลังของครรภ์อสูรน่าสะพรึงนัก ทว่าเขากลับไม่ได้รับผลกระทบใด ชายผู้นี้แข็งแกร่งเกินไปหรือไม่?”
“ต่อให้แข็งแกร่งแค่ไหน ข้าเกรงว่าเขาจะอยู่ได้ไม่นานนักหรอก”
ฮั่วอวิ๋นเซิงซึ่งเดิมมืดมนไม่รู้ว่าคิดอะไรถึงพลันหัวเราะออกมา
ปฏิกิริยาดังกล่าวทำให้เริ่นโหยวโหย่วสับสน
แต่ดูเหมือนว่าเฉียนเทียนหลงกับซุนเฟิงจะเข้าใจ ทั้งสองจึงอดมองไปที่ฮั่วอวิ๋นเซิงอย่างตั้งตารอไม่ได้
จางอวิ๋นเทาขมวดคิ้วและพูดว่า “อวิ๋นเซิง เจ้าห้ามก่อเรื่อง! ซูอี้ไม่ใช่คนธรรมดา เจ้าไม่เห็นหรือว่าบุตรสวรรค์เนี่ยเฟิงเพิ่งถูกเขาสังหารไป!”
เขาเองก็ยังกังขา แต่เมื่อเห็นว่าฮั่วอวิ๋นเซิงดูเหมือนจะมีแผนอื่นจึงเอ่ยเตือนทันที
ฮั่วอวิ๋นเซิงยิ้มอย่างไม่ใส่ใจและกล่าวว่า “ผู้อาวุโสจาง ไม่ต้องกังวลไป ข้าสัญญาว่าจะไม่ไปงัดข้อกับคนแซ่ซูนั่น”
พูดถึงเรื่องนี้ เขาก็เกิดความคิดจึงส่งกระแสลมปราณไปยังเฉียนเทียนหลง “ศิษย์น้องเฉียน หลังจากที่เจ้า
ไปแล้ว จงกระจายข่าวออกไป โดยบอกว่าซูอี้สังหารบุตรสวรรค์เนี่ยเฟิงที่งานชุมนุมหลิงชวี และทำลายแผนการสมรู้ร่วมคิดของธิดาศักดิ์สิทธิ์เสวียนจื่อแห่งพรรคมารหยิน นอกจากนี้ครรภ์อสูรนั่นก็มีแนวโน้มที่จะตกไปอยู่ในมือของซูอี้ด้วย”
หลังจากหยุดไปเล็กหน้อย เขาก็เอ่ยเย้ยหยัน “คนแซ่ซูชอบที่จะโดดเด่นนักไม่ใช่หรือ? ข้าจะให้เขาแสดงฝีมือเสียให้พอ! เมื่อความวุ่นวายนี้เริ่มต้นขึ้น เรามาดูกันว่าเขาตอบสนองอย่างไร!”
เฉียนเทียนหลงตกตะลึง ก่อนจะถ่ายทอดเสียงกลับไปว่า “ศิษย์พี่ฮั่ว ซูอี้กำลังจะตายในอีกไม่ช้าอยู่แล้ว แล้วจำเป็นต้องทำเช่นนี้ด้วยหรือ?”
ฮั่วอวิ๋นเซิงเหลือบมองเขาและกล่าวว่า “เมื่อข่าวแพร่ออกไป จะเป็นการบอกมือสังหารแห่งกลุ่มทะเลทุกข์ว่าซูอี้มีความสามารถในการสังหารบุตรสวรรค์เนี่ยเฟิง นี่เรียกว่ายิงนกสองตัวด้วยหินก้อนเดียว”
เฉียนเทียนหลงพลันตกตะลึง
“ไปกันเถิด”
เมื่อฮั่วอวิ๋นเซิงไม่ได้อยู่ต่อ ทั้งกลุ่มก็รีบพากันจากไป
…
งานชุมนุมหลิงชวีสิ้นสุดลงแล้ว
สิ่งที่เกิดขึ้นในการชุมนุมหลิงชวีในวันนี้ก็แพร่กระจายไปราวกับพายุ จนก่อให้เกิดความโกลาหล
ธิดาศักดิ์สิทธิ์เสวียนจื่อแห่งพรรรคมารหยินวางแผนขึ้นมาและจัดการฝูงชนด้วยพลังของครรภ์อสูร!
ไม่มีใครคาดคิดว่าเรื่องน่าตกใจเช่นนี้จะเกิดขึ้นในงานที่มีชื่อเสียงโด่งดัง
แต่สิ่งที่ทำให้ผู้คนคาดไม่ถึงมากขึ้นไปอีก ก็คือผู้ฝึกตนที่เข้าร่วมการชุมนุมหลิงชวีไม่ได้รับบาดเจ็บใด ๆ และข้าวของของพวกเขาก็ไม่ได้สูญหายไปเช่นกัน
ในทางกลับกัน บุตรสวรรค์เนี่ยเฟิงจากพรรคมารหยินได้เสียชีวิตลงอย่างอนาถในที่เกิดเหตุ!
ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่มันผิดปกติอย่างยิ่ง
แต่ไม่นานก็มีข่าวใหญ่หลุดออกมา
บุตรสวรรค์เนี่ยเฟิงถูกสังหารโดยชายหนุ่มนามซูอี้ และแผนการที่ธิดาศักดิ์สิทธิ์เสวียนจื่อจัดเตรียมไว้อย่างดีครั้งนี้เองก็ถูกทำลายลงโดยซูอี้ด้วยเช่นกัน
แม้แต่ครรภ์อสูรนั้นก็มีโอกาสอย่างยิ่งที่จะตกไปอยู่ในมือของซูอี้!
ข่าวดังกล่าวสร้างความสั่นสะเทือนให้กับเมืองหลิงชวีทันที และก่อให้เกิดความโกลาหลนับไม่ถ้วน
“ซูอี้นี่ใครกัน? เหตุใดข้าถึงไม่เคยได้ยินนี้มาก่อน?”
คนส่วนใหญ่ได้ยินนาม ‘ซูอี้’ เป็นครั้งแรก
“เป็นเขานั่นเอง!”
ขณะเดียวกัน ผู้ฝึกตนจากสำนักเต๋าหยวนหยาง ตำหนักดาบเฟยหลิง สำนักกระบี่ชิงเสวียน และวัดหลิงเสีย เมื่อได้ยินชื่อของซูอี้ สีหน้าของพวกเขาพลันเปลี่ยนไป
ไม่นานมานี้ การต่อสู้ในหุบเขาหานกู่ได้ทำให้กองกำลังทั้งสี่ได้รับบาดเจ็บสาหัส!
กล่าวโดยสรุป ในวันนี้นามของซูอี้ได้ดังก้องไปทั่วเมืองหลิงชวี
ร้านหย่งอัน
“ชายหนุ่มที่สามารถเอาชนะจางอวิ๋นเทาลงด้วยสองดาบ และเพิ่งสังหารผู้ร้ายกาจจากยุคโบราณเช่นบุตรสวรรค์เนี่ยเฟิงลงได้ ย่อมรับมือได้ไม่ง่ายดายนัก”
เฒ่าหวังถอนหายใจ เขามองไปยังชายหนุ่มชุดเทาที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของโต๊ะ ซึ่งกำลังดื่มกับตัวเองแล้วถาม
“คนพายเรือ เจ้าคิดเห็นว่าอย่างไร?”