บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 452 คลื่นใต้น้ำที่ใกล้เข้ามา
ตอนที่ 452: คลื่นใต้น้ำที่ใกล้เข้ามา
ตอนที่ 452: คลื่นใต้น้ำที่ใกล้เข้ามา
ชายหนุ่มในชุดคลุมสีเทาดูธรรมดายิ่ง เขานั่งอยู่ที่นั่น ดื่มสุราและแทะเมล็ดแตงราวกับเด็กเร่ร่อนในตลาด
มีเพียงดวงตาคู่ที่สว่างไสวใสสะอาดเหมือนภาพสะท้อนของคมดาบ
ชายหนุ่มชุดเทาเคาะลงบนโต๊ะ ถ่มเปลือกเมล็ดแตงในปากออก แล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “เหล่าหวัง นักฆ่าไม่ใช่นักรบเดนตายที่แสวงหาความตาย และไม่ใช่คนบ้าบิ่นที่รีบพุ่งตัวเข้าไปในฝูงชน หรือวีรบุรุษที่สังหารคนห่างออกไปพันลี้ในสิบก้าว ดังนั้นข้าจะไม่ทำสิ่งอย่างพวกเขาทำ”
เฒ่าหวังพูดด้วยความสนใจ “แล้วเจ้าคิดว่านักฆ่าควรเป็นเช่นไร?”
ชายหนุ่มชุดเทาชี้ไปที่จมูกของเขา “เหมือนกับข้า ยามที่ข้าไม่ฆ่าคน ข้าสามารถเอาหน้าลงกับแปลงดินเหมือนคนธรรมดาในโลกนี้ ข้าจะไม่มีทางทำอะไรที่เหนือการควบคุม”
เฒ่าหวังเอ่ยเย้ยหยัน “แต่เจ้าไม่ใช่คนธรรมดา เจ้าทำเช่นนี้ไม่ต่างอะไรจากการอำพรางตัวตน เรียกว่าฉลาดไม่ได้”
ชายหนุ่มชุดเทายกจอกสุราขึ้นซดอย่างมีความสุข แล้วพูดว่า “การซ่อนเร้นตัวอยู่ในเมือง นักฆ่าควรจะทำตัวกลมกลืนไปฝูงชนคนอื่น ๆ โดยไม่ใช่เพียงแค่เปลี่ยนรูปลักษณ์ ด้วยวิธีนี้จะสามารถสังหารเป้าหมายที่ไม่ทันตั้งตัวได้ด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว”
เฒ่าหวังไม่ต้องการพูดเรื่องไร้สาระอีก จึงเอ่ยถามตรง ๆ ว่า “เจ้าคิดอย่างไรเกี่ยวกับงานครั้งนี้?
ชายหนุ่มชุดเทาลุกจากเก้าอี้ ก่อนชี้ไปที่ไหสุราแล้วพูดว่า “เก็บสุราอีกครึ่งไหที่เหลือไว้ให้ข้า ไว้พอข้ากลับมา ค่อยคุยกันต่อ”
ขณะที่พูด เขาก็ประสานมือหนุนไว้หลังศีรษะก่อนเดินออกไปจากร้านหย่งอันอย่างเฉื่อยช้า
“ถ้าทำไม่ไหวก็อย่าฝืนล่ะ”
เฒ่าหวังอดเตือนไม่ได้
“วางใจเถอะ ถึงเวลาต้องถอย ข้าไม่เคยพลาด แต่ว่านะ ถ้าข้าไม่กลับมาหาเจ้าภายในสิบวัน… สุราอีกครึ่งไหที่เหลือก็ยกให้กับเจ้าแล้วกัน”
ไกลออกไปมีเสียงหัวเราะของชายหนุ่มชุดเทาแว่วมา
บนถนนที่พลุกพล่าน เขาเป็นเหมือนกลีบดอกไม้ที่ไม่สะดุดตาซึ่งปลิวหายไป
ยามเที่ยงวัน ท้องฟ้าสดใส
ในลานบ้าน ใต้ต้นหลิวเขียวชอุ่ม
ซูอี้นอนอยู่บนเก้าอี้หวายพลางมองดูม้วนหนังสัตว์ในมือของเขา
ในงานชุมนุมหลิงชวีครั้งนี้เขาได้รับอะไรมามากมาย
อันดับแรก ประมูลเถาวัลย์กระดูกมังกรด้วยหินวิญญาณระดับหกจำนวนสามสิบก้อน และซ่อมแซมเก้าอี้หวายที่นอนอยู่
จากนั้นจึงใช้วิชาลับในการซ่อมแซมร่างวิญญาณภูตเพื่อแลกกับหนังของ ‘สัตว์ร้ายกลืนมิติสวิ้นหลิง’
ส่วนครรภ์อสูรถือเป็นเพียงอุบัติเหตุเท่านั้น
ตอนนี้ม้วนหนังสัตว์ที่อยู่ในมือของเขาคือหนังของสัตว์ร้ายกลืนมิติสวิ้นหลิง
แม้ว่าพลังอันศักดิ์สิทธิ์ของหนังสัตว์นี้จะถูกลบไปนานแล้ว แต่ก็ยังมีร่องรอยของวิถีที่ยุ่งเหยิงและกระจัดกระจายอยู่บ้าง
ผู้ฝึกตนทั่วไปจะมองไม่เห็นถึงความลึกลับของมันและพลาดโอกาสไป
แต่ในสายตาของซูอี้ ร่องรอยของวิถีที่ยุ่งเหยิงและกระจัดกระจายเหล่านี้เรียกได้ว่าเป็นสมบัติล้ำค่า!
เพราะนี่คือรอยประทับของ ‘วิถีแห่งสายลม’ แม้ว่าจังหวะวิถีจะหายไปนานแล้ว ตราบใดที่เข้าญาณและรู้สึกถึงมันก็ยังสามารถเข้าใจความหมายที่แท้จริงของ ‘สายลม’ ได้จากร่องรอย
“ตราบใดที่เข้าใจจังหวะวิถีของสายลมในวิถีต้นกำเนิดแล้ว ก็จะเหลือแค่จังหวะวิถีแห่งหยางกับจังหวะวิถีแห่งสายฟ้าเท่านั้น…”
ซูอี้คิดกับตัวเอง
เขาได้ตั้งเป้าหมายที่จะควบคุมจังหวะวิถีเบญจธาตุ จังหวะวิถีหยินหยาง จังหวะวิถีลมสายฟ้า จังหวะวิถีพิเศษทั้งสามประเภทมานานแล้ว!
“ศิษย์พี่ซู ท่านมีแผนอย่างไรต่อไปหรือ?”
เหวินซินจ้าวเปลี่ยนเป็นชุดกระโปรงสีฟ้าครามดูสง่างาม รับกับผิวขาวเหมือนหิมะและคิ้วที่งดงามดุจภาพวาด ยามยืนอยู่ใต้ร่มเงาของต้นหลิว นางช่างดูงามราวกับเทพธิดา
“ไปที่นครหลวงจิ๋วติ่งเพื่อชมดู”
ซูอี้ตอบอย่างไม่ใส่ใจ
เนื่องจากพวกเขามาถึงต้าเซี่ยแล้วจึงไม่มีเหตุผลใดที่จะไม่ไปที่นครหลวงจิ๋วติ่งซึ่งเป็นเมืองหลวงของอาณาจักร
ถ้าต้าเซี่ยเป็นผู้ปกครองของมหาทวีปคังชิงแล้ว นครหลวงจิ๋วติ่งก็คือหัวใจหลักของต้าเซี่ย
และในอีกสองเดือนข้างหน้า ‘ชุมนุมมวลพฤกษา’ จะเริ่มขึ้น!
ซูอี้ยังวางแผนที่จะไปดูว่าเขาจะสามารถพบตัวเยว่ซือฉานกับเก๋อเฉียนที่นครหลวงจิ๋วติ่งได้หรือไม่
“เป็นไปได้หรือไม่ว่าศิษย์พี่ซูเองก็คิดเข้าร่วมการชุมนุมมวลพฤกษาด้วย?”
ดวงตาของเหวินซินจ้าวเป็นประกาย
ซูอี้พูดอย่างไม่ใส่ใจ “ข้าไม่ค่อยสนใจการชุมนุมมวลพฤกษา แต่ถ้าจำเป็น ข้าก็ไม่รังเกียจที่จะเข้าร่วม”
ฮวาซิ่นเฟิงเคยกล่าวไว้ว่าเกาะเซียนพระสุเมรุเป็นสถานที่ลึกลับสำหรับคว้าโอกาส มีโชคลาภมากมายอยู่ที่นั่น และยังเป็นเบาะแสเกี่ยวกับที่มาของการจองจำแห่งยุคมืดด้วย
โดยมีเพียงการเข้าร่วมใน ‘งานชุมนุมมวลพฤกษา’ ซึ่งจัดโดยจักรพรรดิเซี่ยและได้รับยันต์พระสุเมรุมาเท่านั้นจึงจะเข้าสู่เกาะเซียนพระสุเมรุได้
ด้วยเหตุนี้ แม้ว่าซูอี้จะไม่สนใจชุมนุมมวลพฤกษามากนัก แต่หากจำเป็นต้องไปที่เกาะเซียนพระสุเมรุจริง ๆ ในเวลานั้น เขาย่อมไม่รังเกียจที่จะเข้าร่วมในการประชุมและมองหายันต์พระสุเมรุ
“ถ้าอย่างนั้นศิษย์พี่ซูอยากจะเดินทางไปกับพวกเราหรือไม่?”
เหวินซินจ้าวมองมายังซูอี้ด้วยดวงตาดุจดวงดาราซึ่งเต็มไปด้วยความคาดหวัง
ซูอี้อดหัวเราะไม่ได้และกล่าวว่า “ถ้าเจ้าไม่ชักชวนข้าไปเพื่อฉวยโอกาสในการเดินทางไปด้วยกัน หรือคิดหวังถามข้าเกี่ยวกับวิถีดาบมากขึ้น ข้าก็ยินดีตอบตกลง”
ใบหน้างดงามของเหวินซินจ้าวแดงขึ้นเล็กน้อย ดูเขินอาย
นางกะพริบตาก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้มน้อย ๆ “ศิษย์พี่ซูยินดีเป็นผู้ชี้แนะวิถีดาบให้แก่ ข้าย่อมหวงแหนโอกาสอันล้ำค่านี้และใคร่กระหายความรู้เสมอ ไม่เช่นนั้น หากวันหนึ่งศิษย์พี่ซูไม่ยินดีชี้แนะคนโง่เขลาเช่นข้าแล้ว ข้าจะต้องเศร้าใจมากแน่”
สมเป็นหญิงสาวผู้งดงามดุจเทพธิดา ยามนางพูดหรือหัวเราะล้วนแต่รื่นตาทั้งสิ้น
“จริง ๆ เลย อาจารย์อา ท่านมาตามติดพี่ชายซูอี้อยู่ที่นี่อีกแล้ว”
ไม่ไกลนัก ชิงหยาก็พุ่งมาเหมือนสายลมพลางพึมพำด้วยความไม่พอใจ “ถ้ายังเป็นอย่างนี้ต่อไป เกรงว่าท่านคงไม่สนใจข้าแล้ว”
ตามติด?
เมื่อถูกพูดถึงในลักษณะนี้ ไม่ว่าเหวินซินจ้าวจะสงบเพียงใด ใบหน้าของนางก็อดร้อนขึ้นเล็กน้อยไม่ได้
ในเวลานี้เองหลิงอวิ๋นเหอที่มาด้วยก็ยิ้มก็ได้กล่าวกับซูอี้ว่า “สหายเต๋าซู อีกเดี๋ยวหลิงผู้นี้คงต้องลากลับไปต้าฉีก่อนแล้ว”
เขามาเพื่อกล่าวคำอำลา
ซูอี้ลุกขึ้นจากเก้าอี้หวายและกล่าวว่า “ดูแลตัวเองระหว่างทางด้วย”
เมื่อเห็นซูอี้ลุกขึ้น หัวใจของหลิงอวิ๋นเหอก็สั่นไหวเล็กน้อย
รู้จักกันมาพักใหญ่แล้ว เขาจะไม่เข้าใจได้อย่างไรว่าสำหรับซูอี้ หากไม่ใช่คนที่เขาให้ความสำคัญ เขาจะไม่มีวันลุกขึ้นยืนเพื่อส่งอีกฝ่าย!
“สหายเต๋าซู หากพวกเราพบกันในอนาคตต้องมาดื่มด้วยกันให้ได้นะ”
หลิงอวิ๋นเหอประสานมือพลางกล่าวด้วยรอยยิ้ม
ซูอี้ยิ้มก่อนพยักหน้ารับ
ในไม่ช้าหลิงอวิ๋นเหอก็จากไป
ในวันเดียวกัน ซูอี้ก็พาหยวนเหิงและไป๋เวิ่นฉิงเดินทางร่วมกันบนเรือล่องล้อเมฆาของวังเทพสวรรค์เมฆา และออกจากเมืองหลิงชวีไป
ในวันเดียวกัน เหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับการชุมนุมหลิงชวีได้แพร่กระจายไปทั่วเมืองต่าง ๆ ของแคว้นเทียนหนานราวกับติดปีก
ผู้ร้ายกาจแห่งยุคโบราณบุตรสวรรค์เนี่ยเฟิงถูกสังหาร ครรภ์อสูรลึกลับถูกแย่งชิงไป ธิดาศักดิ์สิทธิ์เสวียนจื่อหายตัวไป…
ข่าวทั้งหมดนี้ล้วนแต่มีความเกี่ยวข้องกับชายหนุ่มนามซูอี้ จึงเป็นเรื่องยากที่จะไม่ทำให้โลกสั่นสะเทือน
ต้องรู้ก่อนว่าในดินแดนต้าเซี่ยในปัจจุบัน ตัวตนเช่นผู้ร้ายกาจจากยุคโบราณล้วนเป็นจุดสนใจของกองกำลังหลักของโลก
ต้นกำเนิดของพวกเขานั้นลึกลับ ภูมิหลังของพวกเขาท้าทายสวรรค์ พวกเขาน่ากลัวยิ่งกว่าผู้สิงสถิต และเมื่อเทียบกับเหล่าอัจฉริยะในโลกนี้แล้วก็นับได้ว่าโดดเด่นยิ่งกว่า
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ซูอี้กลับสามารถสังหารบุตรสวรรค์เนี่ยเฟิงลงได้ เช่นนี้จะมีกลุ่มขุมกำลังใดกล้าละเลยเขา?
นอกจากนี้ เหตุการณ์นี้ยังเกี่ยวข้องกับครรภ์อสูรลึกลับและเกิดขึ้นที่ภายใน ‘ศาลาเก้าดินแดน’ ซึ่งเป็นหนึ่งในหอการค้าชั้นนำของโลกหล้า นึกภาพได้เลยว่ามันจะสร้างคลื่นใหญ่เพียงใดขึ้น
ในวันเดียวกัน หอการค้าหลักสามแห่ง หอการค้าจินติ่ง ศาลาเก้าดินแดน และหอสี่สมุทร ซึ่งมีฐานที่มั่นในเมืองหลิงชวีก็ได้กระจายข่าวออกไปในเวลาอันสั้นที่สุด!
…
สำนักเต๋าชิงอี่
“ผู้เฒ่าเมี่ยวหง มีข่าวเกี่ยวกับซูอี้แล้ว!”
เสียงหนึ่งดังขึ้นนอกถ้ำที่ปราชญ์เมี่ยวหงอยู่
ครืน!
ปราชญ์เมี่ยวหงที่กำลังนั่งสมาธิและฝึกฝนอยู่พลันลืมตาขึ้น ดวงตาของเขาเฉียบคมดุจสายฟ้า “น้องสาว โอกาสในการแก้แค้นได้มาถึงแล้ว…”
เขาลุกขึ้นยืนและเดินออกจากถ้ำไป
ชายผู้แข็งแกร่งผู้นี้ ยามเยาว์วัยเคยมีชื่อเสียงเป็น ‘นักดาบอันดับหนึ่งแห่งต้าฉู่’ แต่เวลานี้เขาได้กลายเป็นผู้อาวุโสฝ่ายในอันดับสามแห่งสำนักเต๋าชิงอี่ ซึ่งเป็นตัวตนขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณอันทรงพลัง!
“เจ้าหนูนี่สามารถสังหารผู้ร้ายกาจยุคโบราณเช่นบุตรสวรรค์เนี่ยเฟิงลงได้ ช่างหาได้ยากนัก”
หลังจากได้ยินข่าวที่เกิดขึ้นในงานชุมนุมหลิงชวี ดวงตาของปราชญ์เมี่ยวหงก็สั่นไหวด้วยความประหลาดใจ
แต่ฉับพลัน สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นเฉยเมยและเย็นชา
ก็แค่เจ้าตัวจ้อยวิถีต้นกำเนิดที่ท้าทายสวรรค์คนหนึ่ง แต่ไม่ว่าต้นกำเนิดจะเป็นอย่างไรและมีพรสวรรค์น่าตะลึงแค่ไหน เพียงเพราะอีกฝ่ายบังอาจสังหารน้องสาวของเขา เขาก็ต้องเอาชีวิตอีกฝ่ายมาชดใช้ให้ได้!
ในวันนี้ ปราชญ์เมี่ยวหงได้ออกมาจากถ้ำกักตนและเดินทางออกจากสำนักเต๋าชิงอี่ไป
…
ภายในวังมืดมิดอันน่าขนลุก
“เจ้าบอกว่า… ครรภ์อสูรถูกซูอี้เอาไปแล้ว!?”
มีเสียงโกรธจัดดังขึ้น
เจ้าของเสียงเป็นบุรุษผู้หนึ่งซึ่งนั่งอยู่ลำพังบนบัลลังก์ที่อยู่ลึกเข้าไปในห้องโถง
เขาแต่งกายด้วยเสื้อคลุมสีเลือด ร่างกายปกคลุมไปด้วยหมอกชั่วร้าย ใบหน้าถูกบดบังอยู่ภายใต้หน้ากากทองแดงที่แกะสลักด้วยลวดลายปีศาจแปลกประหลาด เผยให้เห็นเพียงดวงตาอันเย็นชาสีน้ำตาลเทาคู่หนึ่ง
ธิดาศักดิ์สิทธิ์เสวียนจื่อที่สวมชุดสีดำคุกเข่าลงกับพื้น ใบหน้าที่บอบบางและมีเสน่ห์ของนางซีดเผือด เต็มไปด้วยความกระวนกระวายและขมขื่น
นางเอ่ยเสียงเบา “ใต้เท้าเจ้าคะ ซูอี้ไม่หวาดกลัวพลังปราบปรามของครรภ์อสูร และด้วยพลังของข้าก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา หากนายท่านต้องการลงโทษ…ผู้ใต้บังคับบัญชาก็ยินดีที่จะยอมรับโทษเจ้าค่ะ”
ชายสวมหน้ากากทองแดงเงียบไป
ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาพลันถามขึ้นว่า “ในเมื่อเจ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ แล้วเหตุใดเขาจึงไม่สังหารเจ้ากัน?”
นัยน์ตาอันงดงามของธิดาศักดิ์สิทธิ์เสวียนจื่อเผยความสับสนเล็กน้อย ก่อนนางจะกล่าว “เขาบอกว่า… เขาเป็นหนี้เผ่าปีศาจงูของข้าอยู่เจ้าค่ะ…”
ชายสวมหน้ากากทองแดงถามอย่างไม่เข้าใจ “นี่หมายความว่าอย่างไรกัน? เป็นไปหรือที่ชายหนุ่มซึ่งอยู่ในขอบเขตไร้เบญจธัญคนหนึ่ง จะยังมีความสัมพันธ์กับเผ่าของเจ้า?”
ธิดาศักดิ์สิทธิ์เสวียนจื่อเม้มปากแล้วพูดว่า “ข้าก็ไม่ทราบเช่นกันเจ้าค่ะ”
ชายสวมหน้ากากทองแดงถอนหายใจและดูเหมือนจะสงบลงแล้ว เขาโบกมือแล้วพูดว่า “ลุกขึ้น ข้าสัญญากับบิดาของเจ้าว่าข้าจะปกป้องเจ้าไปชั่วชีวิต ตราบเท่าที่เจ้าไม่เป็นไรก็พอแล้ว”
ธิดาศักดิ์สิทธิ์เสวียนจื่อคุกเข่าอยู่กับที่พลางกล่าวว่า “ใต้เท้า ข้าจะพยายามให้ดีที่สุดเพื่อชิงครรภ์อสูรคืนมาเจ้าค่ะ!”
ชายสวมหน้ากากทองแดงเอ่ย “เจ้าไม่ต้องเข้าไปแทรกแซงในเรื่องนี้ ปล่อยให้ ‘นกเค้าโลหิต’ ไปชั่วขณะหนึ่ง เขาเป็นผู้อารักขาของเนี่ยเฟิง เขาก็ควรเป็นคนล้างแค้นให้เนี่ยเฟิงด้วย”
“ขอบพระคุณใต้เท้า”
ทันใดนั้น ในมุมมืดของวังก็มีเสียงทุ้มต่ำที่แผ่วเบาดังขึ้น
ก่อนพบเงาดำบิดตัวไปมาอยู่ที่นั่น ค่อย ๆ กลายเป็นชายวัยกลางคนร่างผอมแกร็นที่สวมชุดคลุมเต๋า