บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 453 ตระกูลจั่วแห่งชิงเถียน
ตอนที่ 453: ตระกูลจั่วแห่งชิงเถียน
ตอนที่ 453: ตระกูลจั่วแห่งชิงเถียน
สองวันต่อมา
ภายใต้ท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ เรือล่องล้อเมฆาลอยแล่นเหนือหมู่เมฆ
ในห้อง
ซูอี้ได้ตื่นจากการเข้าญาณ
เมื่อรับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงในการฝึกฝน ซูอี้ก็อดที่จะลอบพยักหน้ากับตัวเองไม่ได้
ด้วยทรัพยากรการฝึกฝนที่เพียงพอ ขอบเขตไร้เบญจธัญขั้นกลางที่ติดมานานของเขาก็ได้ก้าวเข้าสู่ขั้นถัดไป โดยความแข็งแกร่งของเขาได้เลื่อนมาถึงระดับใหม่แล้ว
เมล็ดพันธุ์เต๋าสุดขั้วในจุดตันเถียนนั้นสว่างไสวราวกับดวงอาทิตย์ กระจายพลังโกลาหลของพลังปฐมญาณอันผันผวนออกไปอย่างกว้างขวางและหนาแน่น
ความแข็งแกร่งทางร่างกายและความแข็งแกร่งทางจิตวิญญาณก็ดีขึ้นมากเช่นกัน
ความแข็งแกร่งของเขาเพิ่มขึ้นอย่างน้อยสามส่วน เมื่อเทียบกับในอดีต!
ซูอี้ไม่เคยสนใจว่าเขาฝึกฝนได้เร็วแค่ไหน
เช่นเดียวกับความก้าวหน้าครั้งนี้ กล่าวได้ว่ามันถูกกำหนดไว้แล้ว เพราะเมื่อถ้วยเต็มน้ำก็จะล้นออก เมื่อขัดเกลาพลังเต๋าจนถึงขีดสุด เมื่อถึงจุดหนึ่งมันก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลงเอง
“การขัดเกลาจังหวะวิถีธาตุห้าธาตุนั้นอยู่ห่างจากขั้นสมบูรณ์แบบเพียงเสี้ยวเดียว ในขณะที่จังหวะหยินนั้นเพิ่งเข้าสู่ขั้นสำเร็จ ส่วนจังหวะของลมนั้นถือว่าอยู่ขั้นต้นเท่านั้น…”
“ด้วยความสำเร็จในวิถีดาบของข้า แม้จะอยู่เพียงขั้นปลายของขอบเขตไร้เบญจธัญ มันก็เพียงพอแล้วที่จะต่อกรกับมหาปราชญ์สวรรค์ขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณ”
“ถ้าข้ารวมพลังจิตวิญญาณเข้ากับวิชาลับจิตวิญญาณ การสังหารมหาปราชญ์สวรรค์ขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณก็ไม่น่าจะเป็นปัญหาใหญ่อะไร”
ซูอี้คิดกับตัวเอง
ในแง่ของการฝึกฝน ความแตกต่างระหว่างเขากับมหาปราชญ์สวรรค์ขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณนั้นมีมากเกินไป
แต่ถ้าต้องการลงมือจริง ๆ อาศัยเพียงระดับการฝึกฝนในปัจจุบันของซูอี้ เขาก็ไม่กลัวที่จะต่อกรกับมหาปราชญ์สวรรค์ขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณ!
แก่นสำคัญอยู่ที่เมล็ดพันธุ์เต๋าสุดขั้วที่เขาสร้างขึ้นซึ่งสิ่งนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
คุณภาพของพลังจิตวิญญาณของเขาอย่าว่าแต่ด้อยกว่าขอบเขตการแปรเปลี่ยนวิญญาณเลย
วิชาลับและวิชาดาบที่อยู่ภายใต้การควบคุมของเขานั้นยอดเยี่ยมที่สุดในเก้ามหาแดนดิน ซึ่งพวกมันก็เหนือจากผู้ฝึกตนในโลกนี้ไปไกลยิ่งนัก!
ในทางกลับกัน ผู้ฝึกตนในโลกสามัญของมหาทวีปคังชิง ไม่ว่าพวกเขาจะฝึกฝนในระดับใด เมื่อเทียบกับผู้ฝึกตนในเก้ามหาแดนดิน ในด้านรากฐานของมหาวิถี ทั้งความเชี่ยวชาญและความเข้าใจในมหาวิถีล้วนด้อยกว่านัก
เหตุผลนั้นง่ายมาก เนื่องจากพลังของการจองจำแห่งยุคมืดสามหมื่นปีได้ทำให้เกิดการขาดปราณวิญญาณขึ้นในมหาทวีปคังชิง และผู้ฝึกเต๋าโบราณก็เกือบถูกกวาดล้างจนหมด
ในดินที่แห้งแล้ง จะมีต้นไม้สูงตระหง่านเติบโตได้อย่างไร?
ภายใต้สถานการณ์เหล่านี้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าพลังฝึกฝนของซูอี้จะท้าทายสวรรค์และข่มเหงผู้คนเพียงใด ซึ่งมันเพียงพอที่จะให้เขาสามารถสังหารศัตรูข้ามขั้นได้
ทว่าซูอี้จะไม่ประมาทมหาปราชญ์สวรรค์ขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณในโลกนี้
เพราะผู้ที่สามารถก้าวเข้าวิถีวิญญาณในดินแดนที่แห้งแล้งเช่นมหาทวีปคังชิงนี้ ย่อมไม่อาจนำไปเทียบกับคนธรรมดาได้
“หากมีตัวตนขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณในเวลานี้ ข้าสามารถลองใช้ความแข็งแกร่งของตัวเองได้ ว่าข้ามาไกลแค่ไหนแล้ว…”
ซูอี้คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ และทันใดนั้นเขาก็หมดไฟ
เมื่อมองไปทั่วโลกหล้ากลับหาคู่ต่อสู้ที่ฝีมือเท่าเทียมกันไม่ได้ จึงรู้สึกเกียจคร้านและเบื่อหน่ายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ดังนั้นจึงทำได้แค่ตั้งเป้าหมายให้สูงขึ้นเท่านั้น…
ซูอี้ลุกขึ้นยืนแล้วออกจากห้องไป
ด้านนอกห้อง หยวนเหิงได้ยืนเฝ้าอยู่ที่นั่นเป็นเวลานานแล้ว
เมื่อเห็นซูอี้ออกมา เขาก็รีบพูดขึ้นว่า “นายท่าน ในอีกครึ่งชั่วยามกับอีกสองเค่อ เราก็จะไปถึง ‘แคว้นอวี้ผิง’ ยัยหนูเหวินบอกผู้น้อยให้เรียนท่านว่าพวกเขาจะแวะไปยังงานเลี้ยงของตระกูลจั่วแห่งชิงเถียนในแคว้นอวี้ผิงก่อน ซึ่งนางหวังว่าพวกเราจะไปร่วมได้”
แคว้นอวี้ผิงเป็นหนึ่งในสิบสามแคว้นของต้าเซี่ย ซึ่งมีชื่อเสียงในด้านความอุดมสมบูรณ์ของหยกจิตวิญญาณ
ในฐานะตระกูลอันดับหนึ่งแห่งแคว้นอวี้ผิง ตระกูลจั่วแห่งชิงเถียนได้ควบคุมเส้นชีพใหญ่เก้าเส้นที่อุดมไปด้วยหยกแห่งจิตวิญญาณไว้! ทำให้พวกเขาทรงอำนาจไม่น้อย
ในทั่วดินแดนต้าเซี่ย แม้ว่าจะไม่ได้ทรงพลังเท่ากับสี่กลุ่มเต๋าชั้นนำและสามตระกูลหลัก แต่ก็สามารถเรียกได้ว่าเป็นกองกำลังชั้นหนึ่ง
เหวินซินจ้าว และคนอื่น ๆ คล้ายไปที่ตระกูลจั่วแห่งชิงเถียนเพื่อร่วมงานเลี้ยง แต่ในความเป็นจริง พวกเขาต้องการไปซื้อหยกจิตวิญญาณจำนวนหนึ่งเพื่อใช้สำหรับการกลั่นสมบัติและยันต์ลับ แล้วนำพวกมันกลับไปยังวังเทพสวรรค์เมฆา
เมื่อทราบเช่นนี้ หัวใจของซูอี้ก็หวั่นไหว ด้วยฝีมือในปัจจุบันของเขา ถ้าสามารถซื้อหยกจิตวิญญาณที่ล้ำค่าและหายากได้ เขาก็สามารถสร้างยันต์อันทรงพลังบางชนิดที่สมบูรณ์ออกมาได้!
ตัวอย่างเช่น ยันต์ซ่อนวิญญาณไร้ร่องรอย ยันต์ขุนเขาเคียงธารา ยันต์รัศมีพิทักษ์สีทอง และอื่น ๆ
แม้ว่าจะใช้เองไม่ได้ แต่ก็สามารถส่งต่อให้คนรอบข้างไว้เพื่อป้องกันตัวได้
“ตกลง ไปเดินเล่นกัน”
ซูอี้พยักหน้าเห็นด้วย
…
แคว้นอวี้ผิง
เขาจิตวิญญาณชิงเถียน
สถานที่ซึ่งตระกูลจั่วอาศัยอยู่
ค่ำคืนนั้นมืดสนิทดุจหมึก ท้องฟ้าก็สว่างไสวด้วยดวงดารา
ที่ด้านบนของเขาจิตวิญญาณชิงเถียนมีแสงไฟสว่างไสว แสดงให้เห็นว่าพวกเขากำลังจัดงานเลี้ยงอยู่
จั่วซิงเหอ หัวหน้าตระกูลจั่ว และกลุ่มบุคคลสำคัญในตระกูลจั่วล้วนอยู่ที่นั่นด้วยท่าทีที่เคร่งขรึม
เหตุผลก็คือวันนี้มีแขกผู้มีเกียรติมาจากวังเทพสวรรค์เมฆา!
“พี่จาง ข้าขอถามสักหน่อย ชายหนุ่มชุดเขียวกับผู้ฝึกฝนปีศาจทั้งสองคนที่อยู่ข้างๆ เขามีที่มาอย่างไรหรือ?”
ระหว่างงานเลี้ยง จั่วซิงเหอยิ้มขณะเอ่ยถามจางอวิ๋นเทาซึ่งนั่งอยู่ข้าง ๆ เขา
จั่วซิงเหอ มีระดับการฝึกตนอยู่ในขอบเขตรวบรวมดาราขั้นสมบูรณ์ เขาสวมชุดคลุมสีม่วงที่มีผมสีดำ ใบหน้าแดงเปี่ยมด้วยพลัง
สีหน้าของจางอวิ๋นเทายังคงไม่เปลี่ยนแปลง แต่แววตาของเขาดูซับซ้อนเล็กน้อย ก่อนจะตอบว่า “พวกเขาไม่ใช่ลูกศิษย์ของวังเทพสวรรค์เมฆาของข้า แต่เป็นคนที่พบกันระหว่างทาง”
จั่วซิงเหอยิ้ม ก่อนพยักหน้าพลางกล่าวตอบ “เป็นเช่นนั้นเอง”
หลังจากที่จางอวิ๋นเทา เหวินซินจ้าวและคนอื่น ๆ มาถึงเมื่อครู่ เขานึกกังขาอยู่ว่าเหตุใดในหมู่ลูกศิษย์ของวังเทพสวรรค์เมฆาจึงได้มีผู้ฝึกฝนปีศาจสองคนปรากฏตัวขึ้น
ทว่าด้วยมารยาท จั่วซิงเหอจึงไม่ได้ถามอะไรมาก
แต่ตอนนี้คำพูดของจางอวิ๋นเทาและท่าทีที่เย็นชาของเขาทำให้จั่วซิงเหอคร้านเกินกว่าจะสนใจซูอี้ หยวนเหิง และไป๋เวิ่นฉิงอีก
แม้แต่จางอวิ๋นเทาก็ไม่สนใจ… จั่วซิงเหอผู้นำตระกูลจั่วซึ่งเป็นถึงคนใหญ่คนโตชั้นหนึ่งในต้าเซี่ย ดังนั้นแล้วเขาจะให้ความสนใจกับผู้ฝึกฝนขอบเขตไร้เบญจธัญสองสามคนได้อย่างไร
งานเลี้ยงครึกครื้นนัก
ตระกูลจั่วมั่งคั่งนัก ทั้งอาหารเครื่องดื่มล้วนเป็นของหายากและรสเลิศ พวกมันต่างหรูหรายิ่ง
“คุณชายฮั่ว ข้าขอคารวะท่าน!” คนใหญ่คนโตของตระกูลจั่วพากันดื่มอวยพรฮั่วอวิ๋นเซิง เฉียนเทียนหลง ซุนเฟิง และคนอื่น ๆ ด้วยความกระตือรือร้นและความเคารพ
เหวินซินจ้าวกับเริ่นโหยวโหย่วต่างถูกรายล้อมไปด้วยบุคคลผู้สูงศักดิ์ของตระกูลจั่ว ซึ่งคนเหล่านั้นต่างเป็นฝ่ายเข้าไปพูดคุยกับเหวินซินจ้าวและเริ่นโหยวโหย่วดุจดาวล้อมเดือน
มีเพียงซูอี้ หยวนเหิง และไป๋เวิ่นฉิงเท่านั้นที่ดูเหมือนถูกทอดทิ้ง
ทว่า พวกเขามาพร้อมกับวังเทพสวรรค์เมฆา จึงไม่มีใครกล้าละเลยพวกเขา
ซูอี้ไม่สนใจเรื่องนี้ เขาเพียงดื่มกับตัวเอง
หยวนเหิงกับไป๋เวิ่นฉิงต่างสังเกตว่าอาจเป็นเพราะพวกเขาเป็นผู้ฝึกฝนปีศาจ คนตระกูลจั่วจึงไม่ชอบพวกเขาอย่างเห็นได้ชัด
ทว่าทั้งคู่ต่างคุ้นเคยกับมันดี จึงย่อมไม่ไปโกรธเคืองกับเรื่องเช่นนี้
“คุณชายฮั่ว สหายสามคนนั้นคือใครกันหรือ? เหตุใดพวกเขาจึงร่วมทางมากับท่าน?”
หญิงสาวทรงเสน่ห์และสดใสสวมชุดสีเหลืองเดินตามฮั่วอวิ๋นเซิงด้วยรอยยิ้มอันแสนหวาน และเหลือบมองที่ซูอี้กับคนอื่น ๆ
“พวกเขา?”
มุมริมฝีปากของฮั่วอวิ๋นเซิงโค้งเป็นรอยยิ้มขี้เล่นขณะกล่าวว่า “พวกเขามาจากต้าโจว และพลังการฝึกฝนของพวกเขาก็ทรงพลังมาก เจ้าอย่าได้ประมาท”
หญิงสาวในชุดเหลืองประหลาดใจ “หรือว่าวังเทพสวรรค์เมฆาตั้งใจที่จะรับพวกเขาเป็นศิษย์อย่างนั้นหรือ?”
ฮั่วอวิ๋นเซิงหัวเราะและกล่าวว่า “วังเทพสวรรค์เมฆาของเราไม่ยอมรับผู้ฝึกฝนปีศาจเป็นศิษย์”
หญิงสาวชุดเหลืองทำเสียงขึ้นจมูก ก่อนหมดความสนใจในตัวซูอี้กับพรรคพวก
ฮั่วอวิ๋นเซิงไม่ได้อธิบายอะไร
ในใจเขาต้องการสังหารซูอี้ให้ตาย แล้วจะไปคิดเปิดเผยว่าซูอี้แข็งแกร่งเพียงใดได้อย่างไรกันเล่า?
อันที่จริง ฉากดังกล่าวก็ได้เกิดขึ้นรอบ ๆ เฉียนเทียนหลง ซุนเฟิง และคนอื่น ๆ เช่นกัน
คนใหญ่คนโตในตระกูลจั่วเหล่านั้นย่อมไม่ใช่คนโง่ เมื่อพวกเขาเห็นว่าจางอวิ๋นเทา ฮั่วอวิ๋นเซิง และคนอื่น ๆ ยามพูดถึงซูอี้กับพวกแล้วมีท่าทีไม่ใส่ใจ พวกเขาจะไม่เข้าใจได้อย่างไรว่าซูอี้กับพวกเป็นแค่ตัวละครไม่สำคัญ?
ดังนั้นในระหว่างงานเลี้ยง ซูอี้และพวกจึงถูกทอดทิ้งให้เหน็บหนาวไม่ว่าจะโดยตั้งใจหรือไม่ก็ตาม
ในโลกของการฝึกฝนที่ผู้แข็งแกร่งเป็นที่เคารพนับถือ การเกาะแข้งเลียขาต่าง ๆ เพื่อผลประโยชน์เป็นสิ่งที่เห็นได้บ่อยครั้ง
ซึ่งด้วยภูมิหลังและพลังของตระกูลจั่ว ผู้ที่สมควรได้รับการปฏิบัติเช่นนั้นมีเพียงศิษย์ของวังเทพสวรรค์เมฆาเท่านั้น!
นี่แหละคือธรรมชาติของมนุษย์
แม้จะไม่อยากเชื่อแต่ก็ต้องยอมรับ
“เอาล่ะ นำของขวัญที่ข้าเตรียมไว้สำหรับแขกออกมา”
จู่ ๆ จั่วซิงเหอก็พูดขึ้น ดึงดูดความสนใจของทุกคนที่ได้ยิน
จางอวิ๋นเทายิ้ม ก่อนเอ่ยปฏิเสธ “ของขวัญ? พี่จั่วสุภาพเกินไปแล้ว ข้ามาที่นี่เพื่อเป็นแขก ข้าจะรับของขวัญของท่านได้อย่างไร”
จั่วซิงเหอหัวเราะเสียงดังขณะกล่าวว่า “พี่จางอย่าได้ปฏิเสธไป เมื่อไม่กี่วันก่อนผู้ฝึกตนจากตระกูลจั่วของข้าได้ค้นพบหินจิตวิญญาณต้นกำเนิดจำนวนหนึ่งในส่วนลึกของเส้นชีพจรเหมืองหยกวิญญาณ ครั้งนี้ข้าได้เลือกบางส่วนมามอบให้ท่านเป็นพิเศษ เพื่อแสดงความจริงใจของตระกูลจั่วของข้า”
หินจิตวิญญาณต้นกำเนิด!
ดวงตาของทุกคนเป็นประกาย
จางอวิ๋นเทาก็อดประหลาดใจไม่ได้ ใจเต้นรัวไม่หยุด
ไม่นาน คนรับใช้กลุ่มหนึ่งมาที่เวทีพร้อมถาดหยก
บนถาดหยกแต่ละใบมีวัสดุแร่หยกดำซึ่งดูไม่โดดเด่นวางไว้
“นายท่าน หินจิตวิญญาณต้นกำเนิดนี้เป็นสมบัติประเภทใดกัน?”
หยวนเหิงอดไม่ได้ที่จะขอคำแนะนำผ่านการส่งกระแสปราณ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินเกี่ยวกับหินจิตวิญญาณต้นกำเนิด
ซูอี้ตอบอย่างไม่ใส่ใจ
“หินจิตวิญญาณต้นกำเนิดถือกำเนิดขึ้นจากแหล่งกำเนิดของเส้นชีพจรเหมืองหินจิตวิญญาณ หินจิตวิญญาณต้นกำเนิดแต่ละก้อนเปรียบเสมือนหีบสมบัติที่ถูกปิดผนึก หีบสมบัติบางอันบรรจุหยกจิตวิญญาณต่าง ๆ ไว้ ส่วนหีบสมบัติบางอันว่างเปล่า ในตลาดที่ซึ่งครอบครองโดยกองกำลังผู้ฝึกฝน พวกเขาจะเดิมพันด้วย ‘หินจิตวิญญาณต้นกำเนิด’ ซึ่งเรียกว่าการพนันหิน”
หลังจากเข้าใจหยวนเหิงก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นได้และพูดว่า “หินจิตวิญญาณต้นกำเนิดนี้ค่อนข้างคล้ายกับ ‘โลงศพโคมไฟผี’ ของเฒ่าบอด”
ซูอี้ยิ้ม มันเป็นเพียงหินจิตวิญญาณต้นกำเนิดจำนวนหนึ่ง จะเทียบกับ ‘โลงศพ’ ของโคมไฟผีได้อย่างไร?
เขายังไม่ได้บอกหยวนเหิง ว่ามี ‘หินจิตวิญญาณต้นกำเนิดศักดิ์สิทธิ์’ ที่หายากกว่าในเก้ามหาแดนดิน ซึ่งเป็นสมบัติที่เป็นกระทั่งที่ต้องการของผู้คนในขอบเขตจักรพรรดิ
เพื่อหินจิตวิญญาณต้นกำเนิดศักดิ์สิทธิ์ ตัวตนในขอบเขตจักรพรรดิจะบ้าคลั่งไม่ต่างจากนักพนัน
ในเวลานี้ จั่วซิงเหอพลันยืนขึ้น ก่อนเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ทุกคนต้องรู้ว่าแม้ว่าหินจิตวิญญาณต้นกำเนิดจะเป็นสมบัติที่หายาก แต่ก็ไม่จำเป็นว่าหินจิตวิญญาณต้นกำเนิดทุกก้อนจะมีหยกจิตวิญญาณ”
“ซึ่งหากไม่ตัดหินจิตวิญญาณต้นกำเนิดออกมาดู ก็ไม่มีใครรู้ว่าหยกจิตวิญญาณที่ซ่อนอยู่ในนั้นดีหรือไม่”
เขาชี้ไปที่หินจิตวิญญาณต้นกำเนิดมากกว่าสามสิบก้อนบนแท่นหยก ก่อนเหลือบมองจางอวิ๋นเทากับพวกพร้อมพูดด้วยรอยยิ้ม
“ความสนุกของการพนันหินคือการเลือกด้วยตัวเอง ดังนั้นข้าจะไม่ช่วยเลือก พวกท่านควรเลือกพวกมันด้วยตัวเอง”