บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 456 แปรเปลี่ยน
ตอนที่ 456: แปรเปลี่ยน
ตอนที่ 456: แปรเปลี่ยน
เช้าวันรุ่งขึ้น
ซูอี้ฝึกฝนเคล็ดวิชา ‘แสวงไร้ลักษณ์ข้ามปัจเจก’ ในลานบ้าน
นี่คือเคล็ดวิชากำหนดลมหายใจซึ่งมีรากฐานมาจากเคล็ดวิชาหมัดมวยที่จำเป็นต้องเสริมด้วยการฝึกกำหนดลมหายใจ หลังจากที่ซูอี้ยืนอยู่จุดสูงสุดในเก้ามหาแดนดินเมื่อชีวิตที่แล้ว เขาใช้เวลาหลายพันปีในการทำความเข้าใจแก่นแท้ของเคล็ดวิชาสูงสุดทั้งหมดที่เขาหามาได้จากตัวตนยิ่งใหญ่อื่น ๆ และผสานรวมกันจนกลายเป็นเคล็ดวิชานี้
เคล็ดวิชานี้ผสมผสานการทำสมาธิของวิถีพุทธ วิธีการปรับแต่งร่างกายของเหล่าปีศาจ วิธีการควบคุมจิตของนิกายขงจื่อ และวิธีการแสวงหาวิถีการรู้แจ้งของลัทธิเต๋า
แต่ทว่าแม้จะเป็นการผสมผสานหลายสิ่งเข้าด้วยกัน แก่นแท้ของวิชานี้กลับแตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากสี่ประเภทดังกล่าว
เมื่อชีวิตก่อนหน้า ซูอี้ได้แสดงเคล็ดวิชานี้ให้สหายของเขาจักรพรรดิมหายุทธ์ได้วิจารณ์
หลังจากอ่านทั้งหมดแล้ว จักรพรรดิมหายุทธ์ถอนหายใจด้วยอารมณ์ที่พรั่งพรู “เคล็ดวิชานี้หาใช่เป็นทั้งสายพุทธหรือสายมาร ไม่ใช่ขงจื่อหรือเต๋า ไร้ลักษณ์เป็นเป้าหมายให้บรรลุ และปัจเจกเป็นรากฐานที่ต้องก้าวข้าม เคล็ดวิชานี้นับได้ว่าเลิศล้ำจบแดนอย่างที่ข้าไม่เคยพานพบมาก่อน!”
กล่าวอีกนัยหนึ่ง ในสายตาของจักรพรรดิมหายุทธ์ เคล็ดวิชาแสวงไร้ลักษณ์ข้ามปัจเจก สามารถเรียกได้ว่าเป็นเคล็ดวิชาฝึกฝนที่เลิศล้ำที่สุดแห่งขั้นวิถีต้นกำเนิด!
ทันทีที่ก้าวไปบนเส้นทางของวิถีต้นกำเนิด ซูอี้หยุดฝึกวิชาหลอมกายกระเรียนล่องลอยและแทนที่ด้วยเคล็ดวิชาแสวงไร้ลักษณ์ข้ามปัจเจก
ใช้เมล็ดพันธุ์เต๋าสุดขั้วที่แข็งแกร่งที่สุดเป็นรากฐานเต๋า แล้วฝึกฝนเคล็ดวิชานี้ที่เรียกได้ว่าเลิศล้ำที่สุดสำหรับขั้นวิถีต้นกำเนิดแม้แต่ในเก้ามหาแดนดิน ผู้ใดจะสามารถจินตนาการได้ว่าหลังจากนี้ซูอี้จะน่ากลัวถึงเพียงใด?
เมื่อฝึกฝนเสร็จ ซูอี้ถอนหายใจยาวและรู้สึกว่าร่างกายของตนเองปลอดโปร่งเบาสบายราวกับจะสามารถล่องลอยไปสู่ฟากฟ้าได้ด้วยเพียงหนึ่งความคิด
หลังจากอาบน้ำชำระล้างกาย มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น
“คุณชายซู ท่านผู้นำให้ผู้น้อยมาแจ้งแก่ท่านว่าสมบัติที่ท่านต้องการพร้อมแล้ว โปรดท่านไปที่โถงชุมนุมหลังภูเขา”
คนรับใช้ชรากล่าวด้วยน้ำเสียงนอบน้อม
“ย่อมได้” ซูอี้พยักหน้า
หลังภูเขา
ห้องโถงชุมนุม
เมื่อซูอี้มาถึง เขาเห็นว่าจั่วซิงเหอและบรรดาตัวตนยิ่งใหญ่ของตระกูลจั่วต่างมารออยู่ก่อนแล้ว
“สหายซูโปรดนั่งลงก่อนเถิด”
จั่วซิงเหอกล่าวด้วยรอยยิ้ม เขานั่งบนที่นั่งหลักตรงกลางห้องโถงด้วยสีหน้าอารมณ์ดี
“ไม่จำเป็นต้องนั่งคุยให้ยืดเยื้อ ถ้าสมบัติพร้อมเราสามารถแลกเปลี่ยนได้ในตอนนี้”
ซูอี้เหลือบมองทุกคนที่อยู่ในห้องและหยิบกล่องหยกซึ่งมีดักแด้วิญญาณหยกออกมา
“สหายซู ชายชราผู้นี้ขออนุญาตตรวจสอบเพื่อความถูกต้องอีกครั้งได้หรือไม่”
ชายชราร่างสูงเครายาวและผมสีขาวกล่าวออก
ซูอี้ขมวดคิ้วเล็กน้อย
จั่วซิงเหออธิบายด้วยรอยยิ้ม “คุณชายซูอย่าได้กังวลไป นี่คือจั่วอวิ๋นเฉาผู้อาวุโสลำดับสามของตระกูลจั่ว เขาเป็นผู้ที่รับหน้าที่ดูแลผีเสื้อหยกวิญญาณของตระกูลจั่วเรา”
ซูอี้ไม่พูดอะไร ก่อนจะโยนกล่องหยกให้แก่ชายชรา
จั่วอวิ๋นเฉาเปิดกล่องหยกและเพียงแค่ครู่เดียว สีหน้าของเขาแสดงหลากหลายอารมณ์มีทั้งความตื่นเต้น ความหลงใหล ความสุขและอื่น ๆ ในด้านบวก
หลังจากนั้นไม่นาน เขาปิดกล่องหยกอย่างไม่เต็มใจและพูดกับจั่วซิงเหอว่า “มันเป็นดักแด้วิญญาณหยกของจริงและมันแข็งแรงมาก ขอเวลาข้าสามเดือน แล้วข้าจะสามารถให้กำเนิดผีเสื้อหยกวิญญาณได้อย่างแน่นอน”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ จั่วซิงเหอและผู้คนมากมายต่างก็โล่งใจ ทุกคนต่างยิ้มและตื่นเต้น
“นำสมบัติเข้ามา!” จั่วซิงเหอโบกมือพลางหัวเราะ
ทันใดนั้น ข้ารับใช้ผู้หนึ่งถือถาดหยกด้วยสองมือเดินเข้าหาซูอี้
ซูอี้ขมวดคิ้วทันที
บนถาดหยกนั้นมีหินวิญญาณระดับหกเพียงร้อยก้อนเท่านั้นที่กองเรียงอยู่
มันแตกต่างจากเงื่อนไขที่ซูอี้เสนอหลายเท่าตัว!
ต้องรู้ว่าเงื่อนไขที่ซูอี้ยื่นไปนั้นคือหินวิญญาณระดับหกสามพันก้อน นอกจากนี้ยังต้องมีของล้ำค่าอย่างอื่นอีกเช่นวัตถุวิญญาณและสมุนไพรวิญญาณ
แต่ตอนนี้ สมบัติที่ตระกูลจั่วนำมาแลกเปลี่ยนมีเพียงหินวิญญาณระดับหกจำนวนร้อยก้อนเท่านั้น!
ตัวตนยิ่งใหญ่ของตระกูลจั่ว เฝ้าสังเกตการแสดงออกของซูอี้อยู่ตลอด เมื่อพวกเขาเห็นคิ้วของซูอี้ขมวดแน่นไม่พอใจ พวกเขาอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาเสียงดัง
ใบหน้าเต็มไปด้วยการเยาะเย้ยและล้อเลียน
“เจ้ากล้าหลอกข้า?” ดวงตาของซูอี้กวาดไปที่ตัวตนยิ่งใหญ่ของตระกูลจั่วทั้งหมด สีหน้าของเขาเย็นชา
“สหายน้อยซูอย่าได้มีโทสะเลย เมื่อคืนข้าคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้ว และท้ายที่สุดข้าพบว่าถ้าข้าตกลงตามเงื่อนไขของท่าน ตระกูลจั่วของข้าจะสูญเสียมากมายเกินไป”
จั่วซิงเหอยังกล่าวต่ออย่างเคร่งขรึม “หลังจากพวกเราผู้อาวุโสปรึกษากันดีแล้ว พวกเราสรุปได้ว่าราคาที่ยุติธรรมที่สุดคือร้อยหินวิญญาณระดับหกซึ่งจำนวนเท่านี้มันเพียงพอที่จะซื้อหินจิตวิญญาณต้นกำเนิดอีกสองก้อน ด้วยโชคของสหายน้อยซูที่ดีอย่างน่าอัศจรรย์ ไม่แน่ท่านอาจจะได้ดักแด้วิญญาณหยกเพิ่มอีกสองก้อนก็เป็นได้ และนั่นจะเท่ากับท่านยิ่งได้กำไรมากขึ้นไม่ใช่หรือ?”
ทันทีที่คำพูดนี้หลุดออกจากปากของจั่วซิงเหอ ผู้คนในห้องโถงต่างพากันหัวเราะเสียงดังยิ่งขึ้น ตระกูลจั่วบางคนหัวเราะจนน้ำตาเล็ด
“ดูเหมือนพวกเจ้าได้ตัดสินใจกันดีแล้วสินะ?” ดวงตาของซูอี้ยิ่งเย็นชา
ผู้อาวุโสผู้หนึ่งของตระกูลจั่วพ่นลมหายใจอย่างเย็นชาและกล่าวว่า “ซูอี้ ข้าได้สอบถามเรื่องราวของเจ้าจากคุณชายฮั่วแล้วเมื่อคืนนี้ คุณชายฮั่วบอกเล่ากับพวกเราทั้งหมดเรียบร้อยว่าเจ้าไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าผู้ฝึกตนจากต้าโจวอันเล็กจ้อย และไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดกับวังเทพสวรรค์เมฆา ดังนั้นแล้วหินวิญญาณระดับหกจำนวนร้อยก้อนนี้จึงนับได้ว่าเราใจดีต่อเจ้ามากแล้ว เจ้ายังไม่สำนึกในความใจกว้างของเราอีกหรืออย่างไร… ฮ่า ๆ”
คำพูดยังไม่จบ แต่ความหมายของคำถูกเปิดเผยแล้ว
“ฮั่วอวิ๋นเซิง?” ซูอี้เลิกคิ้ว
“ใช่ ถ้าไม่ใช่เพราะคุณชายฮั่ว เราคงไม่มีทางรู้เลยว่าสหายน้อยซู เป็นผู้ที่แอบซ่อนเขี้ยวเล็บโดยตลอด”
จั่วซิงเหอถอนหายใจ “สองดาบสยบจางอวิ๋นเทาและผู้อาวุโสคนอื่น ๆ ของวังเทพสวรรค์เมฆา อีกทั้งยังสังหารบุตรสวรรค์เนี่ยเฟิง ความสำเร็จของสหายน้อยทำให้ข้าประหลาดใจจริง ๆ”
หลังจากหยุดชั่วคราว จั่วซิงเหอกล่าวด้วยท่าทางจริงจังยิ่งกว่าเดิม “สหายน้อยซู ข้าขอพูดตรงนี้ด้วยความสัตย์จริง ตระกูลจั่วของเราไม่ต้องการเป็นศัตรูกับท่านหากไม่จำเป็น แต่ทว่าสถานการณ์วันนี้แตกต่างจากเมื่อคืน มันจะดีที่สุดหากท่านจะสามารถจากไปแต่โดยดีแทนที่จะมาทิ้งชีวิตไว้ในตระกูลจั่วของข้า”
จั่วซิงเหอดูมั่นใจอย่างแปลกประหลาด
เมื่อมองไปที่ตัวตนยิ่งใหญ่คนอื่น ๆ ของตระกูลจั่วในห้องโถง สีหน้าของพวกเขาต่างก็เต็มไปด้วยความมั่นใจเช่นกัน
ซูอี้ยิ้มและกล่าวว่า “กลับคำอีกทั้งยังข่มขู่ข้าด้วยความตาย? เช่นนั้นข้าอยากจะรู้เช่นกันว่าวันนี้จะมีผู้ใดสามารถรอดพ้นจากคมดาบของซูผู้นี้ไปได้บ้าง”
จั่วซิงเหอถอนหายใจก่อนจะลุกขึ้นจากที่นั่งแล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น “สหายน้อยซูอย่าได้ทำอะไรหุนหันพลันแล่นเลย ข้าได้ย้ำไปแล้วว่าไม่อยากเป็นศัตรูกับท่าน และข้าก็ไม่ได้อยากจะเห็นท่านต้องมาตกตายที่นี่ ตราบใดที่ท่านรับหินวิญญาณเหล่านี้ไปและถอยกลับไป ตระกูลจั่วของข้า… จะไม่ทำอันตรายใดต่อสหายน้อยอย่างแน่นอน”
ดวงตาของซูอี้หรี่ลง เขาเริ่มสังเกตเห็นการแสดงออกของจั่วซิงเหอในขณะนี้ค่อนข้างแปลกและดูเหมือนไม่ต้องการเป็นศัตรูกับเขาจริง ๆ…
ทว่าทันใดนั้น!
ปัง!
เสียงระเบิดดังสนั่นขึ้นจากนอกห้องโถงอย่างฉับพลัน
ทว่าเร็วกว่าเสียงระเบิด มันเป็นลูกศรสีเงินวาววับพุ่งผ่านอากาศเข้าหาซูอี้ซึ่งกำลังหันแผ่นหลังของเขาให้กับทางเข้าของห้องโถง
เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นเร็วจนไม่มีผู้ใดตั้งตัวได้ทัน!
จั่วซิงเหอและคนอื่น ๆ ต่างตกตะลึง ทว่ากว่าที่พวกเขาจะทันได้ตอบสนอง ลูกศรสีเงินอันรุนแรงรวดเร็วอย่างหาที่เปรียบไม่ได้พุ่งเข้ามาในห้องโถงเรียบร้อยแล้ว
ฉัวะ!
ร่างของซูอี้ฉีกกระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยอย่างน่าสยดสยอง!
ลูกศรสีเงินอันรุนแรงพลังอำนาจของมันยังคงไม่ลดทอน มันยังพุ่งผ่านไปกระแทกกับกำแพงที่สุดปลายห้องโถงและเกิดเสียงดังสนั่นก้องจนผู้คนแทบจะหูอื้อ
กำแพงมีรอยแตกคล้ายใยแมงมุมเกือบจรดเพดาน เศษกำแพงร่วงหล่นลงพื้นและทั้งห้องโถงสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง
พลังของลูกศรนี้ช่างน่ากลัวยิ่งนัก!
“เขาตายแล้วหรือไม่?”
จั่วซิงเหอและคนอื่น ๆ ทุกคนตื่นตระหนกจนหนังหัวแทบชา
ลูกศรเมื่อครู่นี้น่าสะพรึงกลัวเกินไป!
“ข… เขา… เขายังไม่ตาย!”
ใครบางคนอุทาน
ทันใดนั้นทุกคนที่อยู่ในห้องโถงต่างเห็นว่าร่างของซูอี้ปรากฏห่างจากตำแหน่งเดิมที่เคยยืนไปสามฉื่อโดยไม่ได้รับบาดเจ็บ
ปรากฏว่าซูอี้เคลื่อนที่หลบเร็วยิ่งยวดและกลายเป็นว่าสิ่งที่ลูกศรเจาะทะลวงคือภาพติดตาที่ซูอี้ทิ้งไว้!
สามารถหลบหลีกลูกศรที่เหนือคำบรรยายนั้นได้เลยหรือ?
จั่วซิงเหอ และคนอื่น ๆ ต่างตกตะลึงอ้างปากค้างจนกรามของพวกเขาแทบจะหลุด
ปัง! ปัง! ปัง!
ทันใดนั้น เสียงคำรามระเบิดจากการปล่อยสายยิงธนูดังขึ้นอีกครั้งราวกับเสียงฟ้าร้องลั่น จากนั้นลูกศรสีเงินปรากฏขึ้นทีละลูกราวกับสายฟ้าฟาดต่อเนื่อง
อำนาจที่อัดแน่นอยู่ในแต่ละลูกศรเพียงพอที่จะสังหารตัวตนในขอบเขตรวบรวมดาราได้อย่างง่ายดาย!
แลเห็นลูกศรสีเงินมากกว่าสิบพุ่งเข้ามาในห้องโถงอีกครั้งราวกับห่าฝนหายนะ ฉากนี้ทำให้จั่วซิงเหอและเหล่าผู้คนของตระกูลจั่วรู้สึกตื่นตระหนกจนตัวสั่นแม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้เป็นเป้าหมายของลูกศรเหล่านั้นก็ตามที
เคร้ง!
เสียงคำรามของดาบดังขึ้นอย่างฉับพลัน
พร้อมกันนั้นซูอี้เริ่มเคลื่อนไหวฟาดฟันดาบนิลกาฬกลืนฟ้าไปมากกว่าสิบดาบในชั่วพริบตา
ความเร็วของการฟาดฟันนั้นเร็วจนมีรอยฟาดฟันดาบเป็นรูปกากบาทมากมายทิ้งเป็นภาพติดตาอยู่กลางอากาศ
ตูม ตูม ตูม!!!
เสียงดาบและลูกศรปะทะกันและการระเบิดรุนแรงดังก้องต่อเนื่อง คลื่นปะทะกวาดทำลายโต๊ะเก้าอี้ในห้องโถงปลิวระเนระนาด ฝุ่นตลบม้วนตัวจนคล้ายคลื่น
จั่วซิงเหอและคนอื่น ๆ จับจ้องเหตุการณ์อย่างไม่วางตาด้วยสีหน้าตื่นตระหนก ความรุนแรงของลูกศรสีเงินเพียงพอที่จะฆ่าผู้บ่มเพาะขอบเขตรวบรวมดาราได้อย่างง่ายดาย แต่ทว่าเมื่อปะทะกับดาบของซูอี้ มันกลับถูกทำลายหายไปในพริบตา!
ท่ามกลางฝุ่นที่ฟุ้งตลบ ร่างสูงของซูอี้ได้วิ่งออกจากห้องโถงไปแล้ว
“เมื่อใดที่ซูผู้นี้เสร็จธุระกับนักฆ่า ตระกูลจั่วของพวกเจ้าคือรายถัดไปที่ข้าจะกลับมาคิดบัญชี!”
เสียงที่เย็นชายิ่งยังคงดังก้องวนเวียนไปทั่วทั้งห้องโถงแม้ว่าร่างของซูอี้จะหายไปครู่หนึ่งแล้ว
“เป็นได้อย่างไรที่เขาสามารถต้านการลอบสังหารแบบนั้นได้!?”
ใครบางคนพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
“ไม่น่าเชื่อ นี่มันไม่น่าเชื่อจนเกินไป! หากเป็นตัวข้า ข้าเกรงว่าข้าคงจะสิ้นใจโดยไม่รู้ด้วยว้ำว่าถูกสิ่งใดสังหาร…”
ใครบางคนตกใจจนหน้าซีด
ฉากเมื่อครู่นี้ที่เพิ่งเกิดขึ้นมันกินเวลาเพียงชั่วพริบตาเท่านั้น
แต่ใครจะไปคิดว่าซูอี้ที่ควรจะตายอย่างไม่ต้องสงสัยกลับสามารถต้านการลอบสังหารอันน่าสะพรึงกลัวเช่นนั้นได้?
เมื่อมองไปที่จั่วซิงเหออีกครั้ง สีหน้าของเขาแปรเปลี่ยนไปอย่างสุดขั้ว มันราวกับเขากำลังสูญเสียจิตวิญญาณของเขาไป
“ผู้ที่ยิงลูกศรพวกนั้นคือคนพายเรือจากทะเลทุกข์! เป็นตัวตนที่น่าสะพรึงกลัว คนผู้นี้เคยประสบความสำเร็จในการลอบสังหารผู้ฝึกตนในวิถีวิญญาณขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณ ‘นักพรตมู่’ มาแล้ว! แต่ทว่าเมื่อครู่นี้เขากลับพลาดได้อย่างไร!?”
จั่วซิงเหอตะโกนในใจ
หากคราวนี้คนพายเรือไม่สามารถฆ่าซูอี้ได้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าตระกูลจั่วของขา… จะต้องเผชิญกับภัยพิบัติจากไฟโทสะของซูอี้อย่างแน่นอน!!
โดยเฉพาะเมื่อนึกถึงคำพูดที่ซูอี้ทิ้งไว้เบื้องหลังขณะไล่ตามคนพายเรือ จั่วซิงเหอก็รู้สึกหายใจไม่ทันจนรู้สึกเวียนหัวไปครู่หนึ่ง ร่างกายอ่อนแรงราวกับป่วยไข้
“เกิดอะไรขึ้น? เกิดอะไรขึ้นที่นี่?”
เสียงโหวกเหวกดังขึ้นนอกห้องโถง จากนั้นคนอื่น ๆ ที่อยู่ในตระกูลจั่วต่างทราบว่าเกิดสิ่งใดขึ้น
ในท้ายที่สุด แม้แต่จางอวิ๋นเทา ฮั่วอวิ๋นเซิง เหวินซินจ้าว ชิงหยา หยวนเหิง และคนอื่น ๆ ก็เข้ามาทีละคน
เมื่อพวกเขาเห็นร่องรอยการต่อสู้ที่น่าตกใจในห้องโถง ทุกคนก็อดไม่ได้ที่จะอ้าปากค้างและตกใจ
พวกเขาต่างนึกไม่ออกว่าเป็นนักฆ่าผู้ใดที่กล้าถึงขนาดดำเนินการลอบสังหารผู้คนภายในใจกลางอาณาบริเวณของตระกูลจั่วเช่นนี้!
อย่างไรก็ตาม หยวนเหิงและเหวินซินจ้าวต่างถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อพวกเขาได้ทราบว่าแม้ซูอี้จะถูกลอบสังหาร แต่กลับไม่ได้รับบาดเจ็บอีกทั้งยังติดตามมือสังหารออกไปด้วยความมั่นใจ
แตกต่างจากปฏิกิริยาของคนอื่น ๆ ฮั่วอวิ๋นเซิง เฉียนเทียนหลงและซุนเฟิง สีหน้าของพวกเขาขณะนี้ทั้งขุ่นมัวและหวาดกลัวผสมปนเป
คนพายเรือพลาดได้อย่างไร!?
มันเป็นไปได้อย่างไร!?