บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 46 หญิงงามยังเยาว์วัย วีรบุรุษยังหนุ่ม
ตอนที่ 46 หญิงงามยังเยาว์วัย วีรบุรุษยังหนุ่ม
ผู้ที่มาเยี่ยมเยือนคือเนี่ยเถิง บุตรชายของเนี่ยเป่ยหู่
ชายหนุ่มสง่างามผู้นี้เคยรู้จักกับซูอี้ที่ภัตตาคารรวมเซียน
แม้จะบุ่มบ่ามตามประสาคนหนุ่มไปบ้าง ทว่ายังรู้จักกตัญญูรู้คุณ
เรื่องนี้เป็นที่ยอมรับของซูอี้
“พี่ซู พ่อข้าให้มาส่งเทียบเชิญ”
เมื่อเดินเข้ามาถึงตัวบ้าน เนี่ยเถิงค้อมกายส่งเทียบเชิญยื่นให้ด้วยสองมือ
“เทียบเชิญนี้ท่านเจ้าเมืองฟู่ซานเตรียมไว้เป็นพิเศษแก่ท่าน หวังว่าท่านจะเข้าร่วมงานประลองประตูมังกรในฐานะแขกพิเศษได้”
ซูอี้อดแปลกใจไม่ได้ ครุ่นคิดครู่หนึ่ง รับเทียบเชิญก่อนกล่าว
“ข้ารับเทียบเชิญไว้ ส่วนข้าจะไปเข้าร่วมหรือไม่ คอยดูก่อนว่าข้ามีเวลาหรือไม่”
เนี่ยเถิงถอนใจอย่างโล่งอก เอ่ยคำ “พี่ซู ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง เมื่อคืนจวนเจ้าเมืองส่งคนรวมกำลังกับตระกูลเหวินค้นหาเบาะแสของแมลงปีศาจแล้ว”
“พบสถานที่เลี้ยงแมลงปีศาจสองที่ และล้วนถูกทำลายหมดสิ้นแล้ว”
เนี่ยเถิงเงียบไปครู่หนึ่งจึงเอ่ยขึ้นต่อ “และภายในสามวันนี้ จะออกสำรวจสถานที่ต้องสงสัยทั้งหมดในเมือง ท่านพ่อฝากความมาบอกท่านว่าไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องนี้ หากมีข่าวคราวจะให้ข้ามาแจ้งท่านเป็นระยะ”
ซูอี้เลิกคิ้วมองชายหนุ่มผู้กำลังแสดงท่าทีสำรวม สุภาพ ตรงหน้า
“พ่อของเจ้ารอบคอบนัก เอาล่ะ หากไม่มีเรื่องใดอีก กลับไปรายงานกับพ่อของเจ้าเถิด”
เนี่ยเถิงลังเลใจ คล้ายลำบากใจจะเอื้อนเอ่ย
ผ่านไปครู่หนึ่ง เขากลั้นใจเอ่ยขึ้น “พี่ซู อันที่จริงท่านพ่อของข้าเอ่ยสั่งให้ข้าขอความเมตตาจากท่านให้ช่วยชี้แนะและสอนสั่งวิธีฝึกตน… แต่ข้าละอายใจเหลือเกินกับการกระทำของตนเองที่ภัตตาคารรวมเซียนเมื่อครานั้น ดังนั้นข้าคงไม่กล้าหวังสูงได้รับคำชี้แนะจากท่าน สิ่งที่ข้าหวังมีเพียงอยากจะให้ท่านอภัยให้แก่ข้าที่ดวงตามืดบอดล่วงเกินท่านไปในวันนั้นแค่นั้นข้าก็พอใจอย่างยิ่งยวดแล้ว…”
ท้ายที่สุดเขาก็ไม่อาจหลบซ่อนความละอายใจไว้ได้
“นี่แหละหนา จิตใจของผู้เป็นบุพการี” ซูอี้อดถอนหายใจไม่ได้
อย่างไรก็ตาม เมื่อเขานึกย้อนถึงบิดาของตนเองในชีวิตนี้อย่างซูหงหลี่ ความรู้สึกเกลียดชังก็ปะทุขึ้นในใจของเขาอย่างช่วยไม่ได้
‘บ่วงแค้นนี้ล้ำลึกนัก มันหยั่งรากลึกในใจของข้าจนไม่อาจถอนออก มีเพียงทางเลือกเดียวที่ข้าจะหลุดพ้นได้คือสังหารเขาเสียในอนาคต ไม่เช่นนั้นอารมณ์คั่งแค้นนี้จะกลายเป็นจิตมารสร้างผลเสียแก่เส้นทางบ่มเพาะอย่างมหาศาล’
ซูอี้ส่ายหน้า สะบัดความคิดปั่นป่วนในหัวออก จากนั้นเขาก็เอ่ยขึ้นกับเนี่ยเถิงเสียงเรียบ “แล้วเจ้าคิดเห็นอย่างไรกับการตัดสินใจของพ่อเจ้า?”
เนี่ยเป่ยหู่ช่วยเหลือเขาไว้มาก อีกทั้งอีกฝ่ายยังเป็นผู้เสนอตัวก่อน ซูอี้จึงอดซาบซึ้งใจไม่ได้
อีกอย่าง หากไม่ได้เนี่ยเป่ยหู่ร่วมมือเมื่อวันก่อน เรื่องการฆาตกรรมเหวินเจี้ยหยวนคงไม่คลี่คลายลงง่ายดายถึงเพียงนี้
ดังนั้นซูอี้จึงตั้งใจจะทดสอบเนี่ยเถิงว่าควรค่าแก่การ ‘สั่งสอน’ ของเขาหรือไม่
“ข้า…” เนี่ยเถิงเงียบ ดูท่ากำลังสับสนในตัวเอง
ผ่านไปพักใหญ่ เขากัดฟันกล่าว “ข้าไม่ต้องการทำตามความต้องการของท่านพ่อ ข้ายังอายุน้อย ไม่ต้องการฝึกกับผู้อื่น ข้าอยากจะพยายามด้วยตนเอง!”
วาจาชายหนุ่มก้องกังวาน ท่าทีหนักแน่น
ก่อนสูดหายใจลึก แววตาเปล่งประกายแน่วแน่ เปี่ยมล้นไฟปรารถนา “อย่างน้อยขอให้ข้าได้ทำตามใจตนคิด แม้ในอนาคตมิอาจไขว่คว้าสิ่งใดได้ ข้าก็ไม่มีทางนึกเสียใจ”
ซูอี้เผยแววตาชื่นชมเมื่อได้ยินคำพูดของอีกฝ่าย
ชายหนุ่มควรมีความมุ่งมั่นเช่นนี้!
เมื่อเห็นท่าทางมุมานะของเนี่ยเถิง ชวนให้ย้อนนึกถึงครั้งเยาว์วัยของตนเมื่อชาติก่อน
ครั้งนั้นเขาสวมชุดสีฟ้า แกว่งไกวดาบกลางท้องนภา ควบขี่ม้าไปตามเทือกเขาสูงชัน สตรีรายล้อม ร่ำสุราสำราญใจ!
เนี่ยเถิงชะงักงันปะปนงุนงง
ซูอี้ที่อยู่ตรงหน้าเขาอายุไล่เลี่ยกับตน ทว่าเหตุใดกลับรู้สึกว่าอีกฝ่ายกลับกลายเป็นดูอายุมากและมีสีหน้าปลงชีวิตได้ขนาดนี้นัก?
“เจ้ากลับไปแจ้งบิดาเจ้าว่าข้าเคารพการตัดสินใจของเจ้า”
“ภายในสิบปี ตราบใดที่ข้ายังอยู่ในอาณาจักรโจว หากเจ้าพบเจอเรื่องไร้ทางคลี่คลาย จงมาหาข้า ข้าจะช่วยเจ้าสามครั้ง” ซูอี้บอกพลางมือไพล่หลัง หมุนตัวเดินกลับเข้าห้องตน
เนี่ยเถิงเหม่อมองร่างซูอี้เดินกลับเข้าไปในห้อง เนิ่นนานกว่าจะได้สติ สะบัดมือไปมาก่อนเดินทางกลับไปอย่างตื่นเต้น
ในที่สุดเขาก็หาทางอธิบายเรื่องนี้กับบิดาของตนได้
…
ณ บ้านตระกูลหลี่ เมืองกว่างหลิง
ภายในโถงรับแขก
“พี่โจว งานประลองประตูมังกรครั้งนี้มีท่านให้เกียรติเข้าร่วมชมด้วยย่อมดึงดูดความสนใจของผู้คนได้มากมายกว่าเดิมแน่นอน แม้แต่ท่านเจ้าเมืองฟู่ซานก็ยังต้องไว้หน้าท่านสามส่วน”
ผู้นำตระกูลหลี่เทียนหานยิ้มแย้มเยินยอ
โจวฮวายชิวที่นั่งตรงข้ามโบกมือพลางว่าเสียงเรียบ “ข้าเพียงแค่แวะมาชมเท่านั้น หวังจะได้เห็นฝีไม้ลายมือของนักสู้หนุ่มสาวในเมืองกว่างหลิงและเมืองลั่วอวิ๋น ส่วนเรื่องงานประลองประตูมังกร ให้ท่านเจ้าเมืองฟู่ซานตัดสินใจเองเถิด”
เขาอยู่ในชุดคลุมสีเทา หนวดเคราหงอกเทา แก่ชราเล็กน้อย ดวงตากึ่งลืมกึ่งหลับ ทว่ายังฉายแววน่าเกรงขาม
“ฮ่าฮ่าฮ่า พี่โจวช่างถ่อมตนนัก ท่านเป็นถึงผู้อาวุโสในสำนักดาบชิงเหอ เป็นผู้ถือครอง ‘ดาบสิบสามยอดเขาขจี’ เป็นที่เลื่องลือทั่วเขตปกครองอวิ๋นเหอ!”
หลี่เทียนหานยิ้มกว้าง “ยิ่งไปกว่านั้นพี่โจวยังคงอยู่ในช่วงวัยยอดเยี่ยม มีเวลาเหลืออีกมากมายให้ฝ่าทะลวงขอบเขตเป็นยอดยุทธ์และไม่แน่อาจจะไต่เต้าขึ้นไปให้สูงกว่านั้นได้อีก”
เขามิได้เยินยอเกินจริง
โจวฮวายชิวถือเป็นผู้อาวุโสอันดับสี่ในสิบสองผู้อาวุโสแห่งสำนักดาบชิงเหอ เขาช่ำชองวิชาดาบ จนได้รับสมญานามเป็น ‘ผู้เฒ่าแห่งดาบยอดเขาขจี’ ในเขตปกครองอวิ๋นเหอ
“ยอดยุทธ์ ขอบเขตหลอมกำเนิด…”
สายตาโจวฮวายชิวเหม่อลอยเล็กน้อย เขาถอนหายใจ “ขอบเขตนี้ยากนัก ข้าจึงติดอยู่ในขอบเขตรวบรวมลมปราณมาสิบเก้าปีแล้ว ตอนนี้เพิ่งถึงขั้นสมบูรณ์แบบ การก้าวพ้นไปขอบเขตต่อไป ไม่รู้ว่าจะต้องใช้เวลาอีกยาวนานเท่าไหร่…”
ขณะที่พวกเขาพูดคุยกัน หนีเฮ่าที่อยู่ในชุดคลุมสีทองก็เดินเข้ามา ท่าทีสุภาพนอบน้อม พร้อมด้วยหนานอิ่งที่สวมชุดขาวสะอ้าน
“เจ้าได้พบซูอี้หรือยัง? ตอนนี้เขาเป็นอย่างไรบ้าง?” โจวฮวายชิวถาม
“เรียนอาจารย์ ข้าได้พบเขาแล้วเจ้าค่ะ”
หนานอิ่งส่งสีหน้าแววตาสุภาพ นางค้อมกายพลางถอนหายใจ “ศิษย์พี่ซูสูญเสียการบ่มเพาะ ทั้งยังกลายเป็นลูกเขยแต่งเข้าบ้าน สถานะน่าอับอาย ชวนให้ผู้คนรู้สึกเวทนาเจ้าค่ะ”
“น่าเสียดายนัก”
โจวฮวายชิวเผยสีหน้าอ่านยาก แววตาเศร้าสร้อย “ซูอี้คนนี้เดิมทีวิชาดาบเลิศล้ำ ไม่น้อยหน้าไปกว่าพี่หนีเฮ่าของเจ้า”
“ใครเล่าคาดจะคิดว่าสวรรค์นึกอิจฉาผู้มีพรสวรรค์ เส้นทางยุทธ์ของเขาจึงถูกทำลาย!”
สิ้นคำ เขาทอดถอนใจ
‘เจ้าคนไร้ค่าเช่นนั้นจะเทียบกับท่านพี่หนีเฮ่าได้อย่างไร!’
หนานอิ่งคิดในใจกับตนเอง ก่อนรีบปลอบเขา “ท่านลุงโจว เรื่องราวคราวนั้นผ่านพ้นไปนานแล้ว ตอนนี้ท่านไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องพี่ซู แม้เขาจะเป็นเพียงคนธรรมดา แต่ชีวิตความเป็นอยู่ก็ไม่ได้แย่”
โจวฮวายชิวพยักหน้า กล่าวคำ “นี่เป็นเหตุผลที่ข้าไม่ไปพบเขา ด้วยเกรงว่าจะทำให้เขาเสียใจ น่าเสียดายที่เมื่อตอนนั้นข้าช่วยเขาไม่ได้”
หนีเฮ่าพลันเอ่ยปากพูด มองหน้าหลี่เทียนหาน “ท่านลุงหลี่ น้องโม่อวิ๋นอยู่บ้านหรือไม่ขอรับ?”
สายตาหลี่เทียนหานวูบไหว ตอบพลางแย้มยิ้ม “น่าเสียดาย โม่อวิ๋นกลับไปเขตปกครองอวิ๋นเหอตั้งแต่เมื่อวานแล้วล่ะ”
หนีเฮ่าพยักหน้า เอ่ยขึ้น “อืม ไม่แปลก ด้วยสถานะและความแข็งแกร่งของน้องโม่อวิ๋น เขาไม่จำเป็นต้องลงประลองยุทธ์ที่งานประลองประตูมังกรอีกต่อไปแล้ว”
เมื่อพูดถึงหลี่โม่อวิ๋น โจวฮวายชิวอดหัวเราะและชื่นชมไม่ได้ “เจ้าเด็กโม่อวิ๋นผู้นี้ฝีมือเป็นเลิศ เข้าใจรากฐานและมีพรสวรรค์ในการบ่มเพาะอย่างถ่องแท้ ข้าคิดว่าภายในหนึ่งปีคงทะลวงระดับขึ้นมาอยู่ขอบเขตรวบรวมลมปราณอย่างแน่นอน”
“ฮ่าฮ่าฮ่า พี่โจวเยินยอเกินไปแล้ว!” หลี่เทียนหานหัวเราะร่าอย่างสุขล้น
“ท่านลุง ท่านพี่หนีเฮ่าฝีมือไม่น้อยหน้า แต่ท่านกลับชื่นชมเขาน้อยครั้ง ช่างลำเอียงนัก”
หนานอิ่งส่งเสียงกระเง้ากระงอด นางทำทีเอาใจหนีเฮ่า ชวนให้ชายชราหลุดขำ
“หนีเฮ่าเป็นชายหนุ่มผู้มีความสามารถและเป็นผู้นำ ไม่มีข้อกังขาในเรื่องนี้”
หลี่เทียนหานสำทับ “แต่ข้าเห็นว่าสถานการณ์ของซูอี้ในอนาคตอาจย่ำแย่ลงกว่าเดิม”
โจวฮวายชิวหน้ามุ่น พลางเอ่ยถาม “เหตุใดจึงคิดเช่นนั้น?”
หลี่เทียนหานเล่าพร้อมสายตากระตือรือร้น “เท่าที่ข้ารู้ เหวินหลิงเจา ภรรยาของเขากำลังจะได้เป็นศิษย์ของยอดยุทธ์จู้กู่ชิง ลูกหลานตระกูลใหญ่บางคนถึงกับข่มขู่ว่าจะกำจัดซูอี้ให้พ้นกายหลิงเจาในอนาคต”
เขานิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ถอนหายใจ “ด้วยสถานการณ์เช่นนี้ ซูอี้จะมีชีวิตดีขึ้นในอนาคตได้อย่างไร? ไม่ต้องพูดถึงผู้อื่น ลำพังเพียงตระกูลเหวิน ข้าเกรงว่าพวกเขาก็แทบจะอดใจรอไม่ไหว ดังนั้นหากเกิดเรื่องเลวร้ายกับซูอี้คงไม่แปลก”
โจวฮวายชิวหลุบตา ตกอยู่ในความเงียบงัน
แม้เขาจะนึกเห็นใจกับสิ่งที่ซูอี้ต้องเผชิญ ทว่ากลับไร้หนทางช่วยในสถานการณ์เช่นนี้ เพราะเขาไม่อาจเป็นปรปักษ์กับศิษย์ยอดยุทธ์ได้
“ไม่อาจโทษใครได้ เพียงแค่ซูอี้ไม่คู่ควรกับการเป็นสามีของหลิงเจาเท่านั้น” หนีเฮ่าว่าเสียงเรียบ
“อย่าพูดเรื่องนี้อีกเลย” โจวฮวายชิวไม่สบอารมณ์ ยกมือห้าม
หลี่เทียนหานยิ้มบาง ลอบคิดในใจ ดูเหมือนเมื่อรู้ว่าเหวินหลิงเจากำลังจะกลายเป็นศิษย์ยอดยุทธ์ ทุกคนรู้แก่ใจดีว่าซูอี้ไม่มีทางรอดพ้นเรื่องเดือดร้อนในภายภาคหน้า!
เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว!
เหลือเพียงคอยดูว่าโม่อวิ๋นจะลงมือเมื่อไรเท่านั้น!
หลังจากพูดคุยนัดกันเสร็จสิ้น โจวฮวายชิว หนีเฮ่าและหนานอิ่งจึงตกลงจะอยู่พักแรมที่บ้านตระกูลหลี่ จนกว่างานประลองประตูมังกรจะเสร็จสิ้น พวกเขาถึงจะเดินทางต่อไปที่อื่น
เช้าวันรุ่งขึ้น
เหวินฉางจิ้งผู้เป็นผู้นำตระกูลเหวิน เหวินฉางไท่และภรรยาพร้อมเหวินหลิงเสวี่ย เดินทางออกจากเมืองกว่างหลิง มุ่งหน้าไปยังตำหนักเทียนหยวนเพื่อเยี่ยมเหวินหลิงเจา
นับจนบัดนี้ มีเพียงเหวินหลิงเสวี่ยที่แจ้งเรื่องนี้กับซูอี้ ทุกคนต่างเมินเฉยสามีของเหวินหลิงเจาอย่างเขา
แต่แน่นอนว่าซูอี้ไม่แยแสเลยแม้แต่น้อย
ริมแม่น้ำต้าฉางนอกเมือง กลางป่าหม่อน
ร่างสูงของซูอี้มาถึงเมื่อยามฟ้าสาง เขาแปลกใจเมื่อเห็นสองคนกำลังรอตนในวันนี้