บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 460 เมล็ดพันธุ์โดยกำเนิด
ตอนที่ 460: เมล็ดพันธุ์โดยกำเนิด
ตอนที่ 460: เมล็ดพันธุ์โดยกำเนิด
เหล่าคนในตระกูลจั่วต่างผ่อนคลายลง
เทียบกับการชดใช้ของล้ำค่าออกมาห้าเท่า เพียงแค่ใช้หินหยกลึกลับที่มีประโยชน์อันน้อยนิดก้อนหนึ่งในยามนี้ แลกผลลัพธ์เช่นนี้ออกมาได้ ก็ถือว่าไม่เลวเลย
แน่นอนว่าพวกเขาไม่ได้โง่
ในเมื่อซูอี้เต็มใจที่จะแลกเปลี่ยนเช่นนี้ นั้นก็หมายความว่าในสายตาชายหนุ่ม มูลค่าหินหยกลึกลับก้อนนั้น… มีค่ามากกว่าของล้ำค่าห้าเท่าแน่!
แต่สำหรับตระกูลจั่ว ไม่ว่าหินหยกลึกลับก้อนนี้จะมีค่าเพียงใด สุดท้ายมันก็ไร้ประโยชน์อยู่ดี หากนำมันมาแลกเปลี่ยน ก็ไม่รู้สึกเสียดายแต่อย่างใด
ซูอี้ย่อมไม่อธิบายแน่ว่าหินหยกลึกลับในกล่องไม้นี้ คือสมบัติที่ล้ำค่า หายากเพียงใด หากเอ่ยถึงมูลค่าแล้ว ล้วนมิอาจนำศิลาวิญญาณไม่กี่ก้อนมาเทียบกับของล้ำค่านี้ได้!
ไม่นาน จั่วซิงเหอก็นำหินหยกลึกลับที่อยู่ในกล่องไม้ออกมา ยื่นให้กับซูอี้
นอกจากนี้… ก็ยังมีของล้ำค่าอื่นที่มาจากเงื่อนไขซื้อขายดักแด้วิญญาณ
มีหินวิญญาณระดับหกจำนวนสามพันก้อน โอสถวิญญาณระดับหกจำนวนแปดร้อย หยกวิญญาณที่หลอมออกมาเป็นยันต์วิถีวิญญาณหนึ่งร้อยชิ้น และวัตถุวิญญาณระดับหกจำนวนห้าร้อยชนิด!
ทรัพย์สินเหล่านี้ เกรงว่าแม้แต่กองกำลังฝึกฝนที่มีเบื้องหลังใหญ่โต ก็มิอาจเอาออกมาได้!
“ตระกูลจั่วของพวกเจ้าโชคดีจริง ๆ หวังว่าจากนี้ไปอย่าได้ทำเรื่องโง่ ๆ อีก ไม่เช่นนั้น แม้จะโชคดีมากเพียงใด ก็มิอาจยับยั้งจุดจบของตระกูลได้”
ซูอี้เอ่ยออกมาอย่างไม่แยแส
เขามีความรู้สึกที่อยากจะปลดปล่อยออกไป
การกลับมาตระกูลจั่วในครานี้ เขาไม่ได้ตั้งใจจะยกโทษให้จั่วซิงเหอและคนอื่นอย่างง่ายดาย ด้วยเหตุนี้เขาจึงเอ่ยให้อีกฝ่ายชดใช้ด้วยของมีค่าห้าเท่าแทน
แต่ไม่นึกเลยว่า ตระกูลจั่วจะมีของล้ำค่าหายากเช่นนี้อยู่ในมือ!
จนทำให้ซูอี้เปลี่ยนใจ
“ไปกันเถิด”
ซูอี้หมุนตัวเดินออกไป ไม่แม้แต่จะหันไปมองสมาชิกตระกูลจั่วที่มีสีหน้าบิดเบี้ยวอีก
หยวนเหิงกับไป๋เวิ่นฉิงเดินตามไปทันที
เหวินซินจ้าวสงสัยเล็กน้อย การลอบสังหารในครานี้ ยังมีความลับซ่อนอยู่อีกมาก แต่ดูเหมือนว่าซูอี้จะไม่ตั้งใจสอบสวนลึกลงไปต่ออีก
ฮั่วอวิ๋นเซิง เฉียนเทียนหลง และซุนเฟิงลอบถอนหายใจ
ก่อนหน้านี้ พวกเขากังวลอย่างมากว่าเรื่องจะถูกเปิดโปงและถูกซูอี้แก้แค้น
แต่ดูเหมือนว่ายามนี้ คล้ายกับ… ซูอี้จะยังไม่รู้ว่าใครคือผู้จ้างวานคนพายเรือ
“ศิษย์น้องจั่ว พวกข้าก็ขอตัวลากลับ”
จางอวิ๋นเทาบอกลา พลางกุมมือคำนับไปทางจั่วซิงเหอและคนอื่น ๆ
เมื่อตระกูลจั่วเกิดภัยพิบัติเช่นนี้ พวกเขาที่เป็นคนนอกจะอยู่ต่อก็คงจะไม่ดี
“เรื่องในวันนี้ ช่างทำขายหน้าต่อศิษย์พี่จางนัก หากเป็นไปได้ ข้าหวังว่าศิษย์พี่จางจะไม่นำเรื่องในวันนี้แพร่งพรายออกไป ไม่เช่นนั้น…ตระกูลจั่วของข้า… ต่อไปคงมิอาจเชิดหน้าชูตาได้อีก…”
จั่วซิงเหอรู้สึกถอดใจ ราวกับผู้นำตระกูลจั่วผู้นี้แก่ลงไปหลายปี
จางอวิ๋นเทาพยักหน้า
ในตอนที่เขากำลังจะกลับนั้น พลันนึกบางอย่างขึ้นมาได้ ก่อนเอ่ย “ศิษย์น้องจั่ว บางครั้งการใช้เงินแก้ปัญหา ก็มิใช่เป็นเรื่องที่เลวร้ายทุกครั้ง หากคนตายไปแล้ว สิ่งใดก็เอาไปมิได้ ข้าว่าเรื่องนี้ให้มันจบแบบนี้ก็ดีแล้ว”
จั่วซิงเหอรู้สึกตกใจ ใบหน้าพลันเปลี่ยนไปจนคาดเดาไม่ได้ทันที
เขาจะฟังไม่ออกได้อย่างไร จางอวิ๋นเทากำลังเตือนเขาว่า ให้ตระกูลจั่วล้มเลิกความคิดที่จะไปแก้แค้นเสีย?
“ขอบคุณสหายเต๋าที่ชี้แนะ”
จั่วซิงเหอกุมมือคำนับ
จนกระทั่งจางอวิ๋นเทาและคนอื่น ๆ กลับไปแล้ว จั่วซิงเหอจึงถอนหายใจยาวออกมา
สิ่งที่ตระกูลจั่วของพวกเขาต้องชดใช้ในครานี้ ช่างหนักหนาสาหัสนัก!
“โชคดีที่ซูอี้ผู้นั้นทำตามในสิ่งที่กล่าวไว้ ไม่ได้นำดักแด้วิญญาณไป…”
จั่วซิงเหอทำได้แค่ปลอบใจตัวเองเช่นนี้
“นายท่าน ผู้อาวุโสสามถูกสังหาร หินหยกลึกลับก้อนนั้นก็ถูกแย่งไป และยังต้องจ่ายอย่างมหาศาลเพื่อซื้อดักแด้วิญญาณอีก พวกเรา… จะปล่อยเรื่องนี้ไปจริง ๆ รึ?”
ผู้อาวุโสใหญ่ก้าวมาด้านหน้า และกล่าวด้วยใบหน้าบึ้งตึง
“ข้าว่า อย่างไรก็ต้องบอกเรื่องนี้ให้ซิงฉยงรู้ ในฐานะที่เขาเป็นผู้อาวุโสของตระกูลเช่นกัน ผนวกกับที่เขามีการฝึกฝนขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณ แค่สังหารซูอี้ย่อมไม่ใช่เรื่องยากอะไร!”
มีคนเอ่ยด้วยน้ำเสียงอาฆาตออกมา
วันนี้ตระกูลจั่วได้รับความพ่ายแพ้ที่ใหญ่หลวงนัก ทำให้คนทั้งตระกูลต่างหายใจไม่ทั่วท้อง
“หุบปาก!”
จั่วซิงเหอตะโกนด้วยสีหน้าเย็นชา “แม้คนพายเรือจะเคยสังหารนักพรตมู่ผู้ฝึกตนขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณ …ทว่าคนพายเรือผู้นี้กลับต้องมาตายด้วยน้ำมือซูอี้ แล้วพวกเจ้าคิดจริง ๆ หรือว่าแค่อาศัยความสามารถของซิงฉยง น้องชายข้าแล้วจะหยุดยั้งได้?”
“ต่อให้พวกเราจะขอให้ซิงฉยงลงมือ แต่หากซิงฉยงมิอาจสังหารซูอี้ได้ ตระกูลจั่วของเราจะแบกรับผลที่ตามมาได้อย่างไร?”
น้ำเสียงยังคงน่าเกรงขามและเจือไปด้วยโทสะ
ทุกคนต่างเงียบสงัด
“จางอวิ๋นเทาพูดถูก เรื่องที่เกิดในวันนี้จบด้วยวิธีนี้นับว่าเป็นผลลัพธ์ที่ดีแล้ว ตระกูลจั่วเรา… คงมิอาจรับผลกระทบเช่นนี้ซ้ำไปซ้ำมาได้หรอก…”
จั่วซิงเหอเอ่ยพึมพำ
เหตุใดเขาจะไม่อยากแก้แค้น?
เหตุใดเขาจะไม่อยากสังหารซูอี้?
ทว่าเขาย่อมรู้ดี เมื่อทำเช่นนี้ คงมิอาจคาดเดาหายนะได้แน่!
…..
ใต้ท้องฟ้ากว้าง เรือล่องล้อเมฆาล่องลอยอยู่กลางอากาศ
ในห้องหนึ่ง ซูอี้นั่งอยู่บนเก้าอี้หวาย เพ่งมองหินหยกลึกลับที่อยู่ในมืออย่างละเอียด
จะบอกว่ามันคือหินหยกก้อนหนึ่ง ไม่สู้บอกว่ามันคือเมล็ดพันธุ์เม็ดหนึ่ง
คือเมล็ดพันธุ์ที่เกิดจาก ‘แหล่งกำเนิดโลก’!
ในเก้ามหาแดนดิน ของล้ำค่านี้ยังมีอีกชื่อหนึ่งว่า ‘เมล็ดพันธุ์โดยกำเนิด’!
ซึ่งต่างจาก ‘เมล็ดพันธุ์ปฐมญาณ’ ที่สร้างอยู่ภายในร่างกายผู้ฝึกตนขอบเขตไร้เบญจธัญ
เมล็ดพันธุ์โดยกำเนิด คือเมล็ดพันธุ์ของสิ่งมหัศจรรย์โดยกำเนิด ที่เกิดมาจากพลังแหล่งกำเนิดโลก ซึ่งพบเจอได้ด้วยโชคชะตา มิอาจแสวงหาได้
ในตอนที่สิ่งที่เรียกว่า ‘สิ่งมหัศจรรย์โดยกำเนิด’ ได้เกิดขึ้น จะมีจังหวะวิถีโดยกำเนิดและพลังมหาวิถีโดยกำเนิด ซึ่งลึกลับมหัศจรรย์จนมิอาจคาดเดาได้
เช่นเดียวกับ ‘ต้นปฐวีร่ายรำ’ ที่ปลูกอยู่ใน ‘แดนบูรพาน้อย’ สถานที่ศักดิ์สิทธิ์วิถีพุทธแห่งเก้ามหาแดนดิน ซึ่งก็คือสิ่งมหัศจรรย์โดยกำเนิดเช่นกัน
ต้นไม้ต้นนี้ ‘ทุกกิ่งก้านเต็มไปด้วยร่องรอยวิถี ใบไม้คือรัศมีแห่งการตรัสรู้’ มันถูกยกย่องว่าเป็นต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ต้นแรกแห่งสำนักพุทธ และมีชื่ออยู่ในลำดับที่เจ็ดของ ‘สิ่งมหัศจรรย์แห่งมหาแดนดิน’!
และต้นปฐวีร่ายรำนี้ ก็แปรสภาพมาจาก ‘เมล็ดพันธุ์โดยกำเนิด!’
นอกจากเมล็ดพันธุ์โดยกำเนิดจะสามารถทำให้สิ่งมหัศจรรย์อย่าง ‘ต้นปฐวีร่ายรำ’ เติบโตขึ้นมาได้แล้ว มันยังสามารถพัฒนาไปเป็นอาวุธศักดิ์สิทธิ์โดยกำเนิดได้ด้วย
ที่มีชื่อเสียงที่สุดในเก้ามหาแดนดิน ก็คือ ‘ดาบสามชุ่นสะบั้นใจสวรรค์’ ที่ซูอี้พกติดตัวในชาติก่อน
เดิมทีดาบเล่มนี้คือ ‘เมล็ดพันธุ์โดยกำเนิด’ หลังจากผ่านการฝึกฝนและหล่อเลี้ยงมันด้วยวิชาลับกับวัตถุศักดิ์สิทธิ์มากมายจากซูอี้ มันก็ค่อย ๆ หยั่งรากและแตกหน่อ สุดท้ายก็เติบโตเป็นเถาน้ำเต้าต้นหนึ่ง
ทุกสามพันปีมันจะผลิดอกออกผลออกมาหนึ่งครั้ง และสุดท้ายจะออกผลมาเป็นน้ำเต้าไพลิน
ภายในน้ำเต้าเต็มไปด้วยลมปราณแรกกำเนิด แหล่งกำเนิดมหาวิถีของมันหลอมรวมกลายเป็นดาบสามชุ่น มีชีวิตชีวาและเต็มไปด้วยปาฏิหาริย์ดุจนภากว้างที่เลือนราง ซึ่งสอดคล้องกันระหว่างธรรมชาติกับหัวใจแห่งเต๋า
ด้วยเหตุนี้ซูอี้จึงตั้งชื่อดาบว่า ‘ดาบสามชุ่นสะบั้นใจสวรรค์’
ดาบเล่มนี้ มีชื่อเสียงเป็นลำดับที่สามของ ‘สิ่งมหัศจรรย์แห่งมหาแดนดิน’!
ย้อนกลับไปตอนที่เขากำลังพนันตกปลากับผีเฒ่าแบกโลงอยู่หน้าสระน้ำแห่งแดนยมโลก ชายชราผู้นี้อยากได้ดาบสามชุ่นสะบั้นใจสวรรค์อย่างมาก จนอยากให้เขาเอาดาบเล่มนี้เป็นของเดิมพัน
แต่ในสายตาซูอี้ คุณค่าของดาบสามชุ่นสะบั้นใจสวรรค์ไม่ใช่เป็นลำดับชื่อเสียง แต่เป็นดาบที่เขามีใจชอบพอมากที่สุดในบรรดาดาบที่เขาพกติดตัว!
กล่าวง่าย ๆ คือ ทั่วทั้งใต้หล้า ‘เมล็ดพันธุ์โดยกำเนิด’ เรียกได้ว่าเป็นสิ่งของล้ำค่าอย่างมากที่เจอได้ด้วยโชคชะตา แต่มิอาจแสวงหาได้
มันเกิดมาจากพลังแหล่งกำเนิดโลก ซึ่งสามารถเติบโตมาเป็นสิ่งมหัศจรรย์อย่าง ‘ต้นปฐวีร่ายรำ’ หรือพัฒนาไปเป็นอาวุธศักดิ์สิทธิ์อย่าง ‘ดาบสามชุ่นสะบั้นใจสวรรค์’ ได้!
คุ้มค่าที่จะกล่าวอีกอย่างคือ แม้เมล็ดพันธุ์โดยกำเนิดจะเป็นของล้ำค่าหายาก แต่ก็ใช่ว่าจะเติบโตออกมาเป็นสิ่งมหัศจรรย์ล้ำค่าที่ยอดเยี่ยมหายากไปซะหมดทุกอย่าง
ซูอี้รู้ตัวถึงสิ่งที่เรียกว่าตลกขบขันอย่างมาก
เฉกเช่น ‘เผ่ามารแดนสุขาวดี’ กองกำลังอันดับหนึ่งของสำนักมารแห่งเก้ามหาแดนดิน ซึ่งเคยถูกร่ำลือว่าค้นพบเมล็ดพันธุ์โดยกำเนิดที่เรียกได้ว่าหายากยิ่ง เมื่อผ่านการบ่มเพาะเลี้ยงดูมาเกือบพันปี พวกเขาได้ใช้วัตถุศักดิ์สิทธิ์ที่เรียกได้ว่าเป็นของล้ำค่าแห่งสวรรค์และแรงกายแรงใจไปมากมาย
สุดท้าย… ผลลัพธ์ที่ได้กลับเพาะออกมาเป็นไก่แจ้เฒ่าที่มีสีสันหลากหลายตัวหนึ่ง…
จักรพรรดิอสูรสวรรค์ที่โมโหจึงนำไก่แจ้เฒ่าตัวนี้ไปตุ๋นกินทันที
หลังจากเกิดเหตุการณ์นั้นแล้ว จักรพรรดิอสูรสวรรค์ก็หัวเราะเยาะเย้ยกับตัวเองและเอ่ยว่า “นี่น่าจะเป็นไก่ที่แพงที่สุดในเก้ามหาแดนดินตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน และมารดาข้าก็เป็นคนแรกที่กินไก่ตัวนี้ นับว่าเป็นผู้ริเริ่มประวัติศาสตร์ เรียกได้ว่าในอดีตไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน หลังจากนั้นก็จะไม่มีผู้ใดเหมือนนาง!”
ตัวอย่างเช่นนี้ พบเห็นได้น้อยมาก
สรุปคือ สิ่งมหัศจรรย์อย่างเมล็ดพันธุ์โดยกำเนิดก็เหมือนกับหินจิตวิญญาณแหล่งกำเนิด หากไม่ถึงเวลาที่มันผลิดอกออกผล ก็จะไม่รู้เลยว่าจะได้รับสิ่งมหัศจรรย์ล้ำค่าแบบใด
แต่แม้จะกล่าวเช่นนี้ ไม่ว่าจะเป็นตัวตนในขอบเขตจักรพรรดิ หรือกลุ่มวิถีปราชญ์โบราณสูงสุดแห่งเก้ามหาแดนดิน ต่างก็ถือว่า ‘เมล็ดพันธุ์โดยกำเนิด’ คือของล้ำค่าที่ประเมินค่ามิได้ และไม่ใช่สิ่งของที่จะนำไปเทียบเคียงกับทรัพยากรฝึกฝนบนโลกนี้ได้
ด้วยเหตุนี้ เมื่อเห็นเมล็ดพันธุ์โดยกำเนิดในตระกูลจั่ว ซูอี้ถึงได้บอกว่าตระกูลจั่วนั้นโชคดีมาก และท่าทีของเขาที่มีต่อตระกูลจั่วก็เปลี่ยนไปทันที
ไม่เช่นนั้น เขาจะยกโทษให้กับตระกูลจั่วง่าย ๆ ได้อย่างไร?
เพียงแต่ไม่รู้ว่า หากตระกูลจั่วรู้ว่าหินหยกลึกลับก้อนนั้นคือของล้ำค่าที่หายากยิ่งเช่นนี้แล้ว พวกเขาจะคิดอย่างไรกัน
จะทุบหน้าอกเสียใจซ้ำไปซ้ำมา?
หรือไม่สนใจเรื่องทั้งหมดและฉีกหน้าซูอี้?
ล้วนเป็นไปได้ทั้งสิ้น
แต่มีเพียงซูอี้ผู้เดียวที่เข้าใจ ดังนั้นเมื่อเมล็ดพันธุ์โดยกำเนิดนี้อยู่กับตระกูลจั่ว ก็คงเป็นได้แค่สิ่งของที่ไร้ประโยชน์
สาเหตุนั้นคือ การบ่มเพาะเลี้ยงดูเมล็ดพันธุ์โดยกำเนิด จะต้องใช้วิชาลับพิเศษ และใช้แรงกายแรงใจกับเวลาที่ยาวนาน อีกทั้งยังต้องสูญเสียสิ่งที่เรียกว่าของล้ำค่าแห่งสวรรค์จำนวนมหาศาลเพื่อหล่อเลี้ยงมัน!
แม้แต่กลุ่มวิถีปราชญ์โบราณในเก้ามหาแดนดินเหล่านั้น หากอยากจะบ่มเพาะเมล็ดพันธุ์โดยกำเนิด ยังต้องเตรียมตัวก่อนหลายปี
ดังนั้นกองกำลังฝึกฝนธรรมดา จึงมิอาจทนการรอคอยและการสูญเสียเช่นนี้ได้
ส่วนตระกูลจั่วที่เป็นแค่กองกำลังฝึกฝนหนึ่งในมหาทวีปคังชิงเท่านั้น ต่อให้รู้ความลี้ลับมหัศจรรย์ของเมล็ดพันธุ์โดยกำเนิด ก็ทำได้แค่หยุดชะงักอยู่แค่นั้น
มิอาจไม่ยอมรับเงื่อนไขได้
“ด้วยความสามารถของข้าในยามนี้ ก็มิอาจบ่มเพาะเมล็ดพันธุ์โดยกำเนิดให้ออกผลมาภายในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ ได้เช่นกัน”
“เพียงแต่ เมื่อข้าก้าวเข้าสู่เส้นทางวิถีวิญญาณ ข้าก็ย่อมสามารถใช้เคล็ดวิชาลับ โดยนำ ‘เมล็ดพันธุ์โดยกำเนิด’ ไปปิดผนึกไว้ในทะเลแห่งจิตวิญญาณ และยืมพลังกับลมปราณของดาบเก้าคุมขังมาบ่มเพาะหล่อเลี้ยงสิ่งนี้”
“เมื่อเป็นเช่นนี้ ไม่เกินสิบปี ก็จะสามารถทำให้เมล็ดพันธุ์โดยกำเนิดนี้ผลิดอกออกผลได้!”
…ซูอี้จมเข้าสู่ห้วงแห่งความคิด
เมื่อชาติก่อน เขาเคยได้รับเมล็ดพันธุ์โดยกำเนิดมากกว่าหนึ่งเม็ด จนกระทั่งต่อมา เขาได้ค้นพบโดยบังเอิญ ว่าพลังของดาบเก้าคุมขังสามารถย่นเวลาการบ่มเพาะของเมล็ดพันธุ์นี้ได้
และไม่ต้องสูญเสียของล้ำค่าแห่งสวรรค์ใด ๆ เพื่อใช้ในการเพาะปลูกมันเลย!
แต่น่าเสียดาย ในตอนที่เขาค้นพบความลับนี้ มันก็สายไปตั้งหลายหมื่นปีแล้ว หลังจากที่เขาได้รับ ‘ดาบสามชุ่นสะบั้นใจสวรรค์’
ไม่เช่นนั้น ในตอนที่บ่มเพาะ ‘ดาบสามชุ่นสะบั้นใจสวรรค์’ ก็คงมิต้องลำบากขนาดนั้น และคงไม่ต้องรอนานเกือบหกพันปี
“ศิษย์พี่ซู ท่านเรียกหาข้ามีเรื่องอันใดรึ?”
ในขณะที่ซูอี้ครุ่นคิดอยู่นั้น ภายใต้การนำของหยวนเหิง เหวินซินจ้าวก็มาถึง ดวงหน้างดงามดั่งรูปวาดแฝงไปด้วยความสงสัย
ซูอี้เก็บเมล็ดพันธุ์โดยกำเนิดไว้ จากนั้นก็มองไปทางเหวินซินจ้าว พลางเอ่ย “ข้ามั่นใจได้ว่า คนที่จ้างวานคนพายเรือ คือคนที่อยู่บนเรือล่องล้อเมฆา ดังนั้นข้าจึงอยากให้เจ้าช่วยอะไรบางอย่าง”