บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 461 ไม่สนถูกผิด
ตอนที่ 461: ไม่สนถูกผิด
ตอนที่ 461: ไม่สนถูกผิด
นัยน์ตาของเหวินซินจ้าวเคร่งขรึมเล็กน้อย พลางเอ่ย “ศิษย์พี่ซูสงสัยว่า นายจ้างคือศิษย์วังเทพสวรรค์เมฆาของข้ารึ? ”
ซูอี้ส่ายหน้า “ไม่ใช่สงสัย แต่มั่นใจ”
นัยน์ตาของเหวินซินจ้าวเปลี่ยนเป็นเย็นชาทันที นางไม่นึกเลยว่า คนพายเรือจากทะเลทุกข์จะถูกจ้างวานโดยศิษย์สำนักเดียวกันกับนาง!
สิ่งที่รู้นี้ทำให้นางโกรธเกรี้ยวเป็นอย่างมาก
เหวินซินจ้าวสูดหายใจเข้าลึก ก่อนเอ่ย “เช่นนั้น… ศิษย์พี่ซูจะให้ข้าทำสิ่งใด?”
ซูอี้เอ่ย “ดูอยู่เงียบ ๆ”
เหวินซินจ้าวคิดครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ย “ย่อมได้”
ซูอี้ลุกจากเก้าอี้หวาย มองหญิงสาวที่งามดั่งภาพวาดดั่งเซียน พลางเอ่ย “ที่ข้าไม่ลงมือ ณ ตระกูลจั่ว เพราะกังวลว่าเจ้าที่อยู่ตรงกลางระหว่างทั้งสองฝ่ายจะรู้สึกลำบากใจ”
“แต่ยามนี้ คำตอบของเจ้าทำให้ข้าพอใจอย่างมาก”
ขณะเอ่ย เขาก็เอามือไพล่หลัง และเดินออกไปนอกห้อง
เหวินซินจ้าวชะงักไปครู่หนึ่ง ที่แท้เขา… คำนึงถึงความรู้สึกข้ามาโดยตลอดรึ?
ขณะครุ่นคิดอยู่นั้น นางก็หมุนตัวเดินตามออกไป
…..
ชั้นบนสุดของเรือล่องล้อเมฆา ในตำหนักสง่างามหลังหนึ่ง
“ศิษย์พี่ฮั่ว แม้แต่คนพายเรือก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของซูอี้ แล้วทีนี้จะทำอย่างไรดีเล่า?”
เฉียนเทียนหลงร้อนรุ่มใจ พลางทำหน้านิ่วคิ้วขมวด
เมื่อนึกถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในตระกูลจั่ววันนี้ เขาก็รู้สึกหนาวเหน็บ
“กลัวอะไร คนพายเรือพ่ายแพ้แล้ว นั่นก็เป็นเรื่องของกลุ่มทะเลทุกข์ ไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเราเสียหน่อย”
ฮั่วอวิ๋นเซิงดื่มไปพลาง เอ่ยไปพลาง
“แต่…ข้ากังวลว่าซูอี้จะสงสัยแล้ว”
เฉียนเทียนหลงถอนหายใจออกมาเบา ๆ
“สงสัยแล้วอย่างไร? หากไม่มีหลักฐาน เขาก็ไม่กล้าทำสิ่งใดกับพวกเราหรอก อย่าลืมสิ พวกเราคือศิษย์วังเทพสวรรค์เมฆา หรือวังเทพสวรรค์เมฆาจะไม่อยู่ในสายตาของซูอี้เลยรึ?”
ฮั่วอวิ๋นเซิงยิ้มเยาะ และไม่สนใจสิ่งใด
“ที่ศิษย์พี่ฮั่วกล่าวนั้นถูกต้องแล้ว”
ซุนเฟิงเอ่ยคล้อยตามด้วยรอยยิ้ม
ปัง!
ในเวลานี้เอง ประตูตำหนักที่ปิดสนิทถูกถีบเปิดออก ร่างสูงใหญ่ของซูอี้เดินเข้ามาอย่างช้า ๆ
ฮั่วอวิ๋นเซิง เฉียนเทียนหลงกับซุนเฟิงต่างตกใจ พลันสีหน้าเปลี่ยนไปทันที
“ซูอี้เจ้าถีบประตูเข้ามารึ นี่มันจะไม่เกรงใจกันเกินไปหน่อยหรือไร?”
ฮั่วอวิ๋นเซิงเอ่ยออกมาอย่างเย็นชา สีหน้ามืดครึ้มลง
คล้ายกับเฉียนเทียนหลงสัมผัสได้ถึงบางอย่าง เขากลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก “ซูอี้… เจ้า… เจ้ามาทำอะไรที่นี่?”
ซูอี้กวาดสายตามองทั้งสามคน ก่อนเอ่ยด้วยท่าทางไม่ใส่ใจ “แค่กลุ่มคนที่เหมือนตัวตลกกลุ่มหนึ่ง ไม่ว่าพวกเจ้าจะทำตัวอวดเก่งตลอดทางก่อนหน้านี้แค่ไหน ข้าก็ไม่สนใจ แต่กลับไม่นึกเลยว่า พวกเจ้าจะกำเริบเสิบสาน จ้างวานนักฆ่ามาจัดการข้า คิดจริง ๆ รึว่าข้าจะไม่กล้าสังหารพวกเจ้า?”
ราวกับเฉียนเทียนหลงได้รับการโจมตีจากสายฟ้า หรือ… ชายหนุ่มผู้นี้จะรู้ความจริงแล้ว!?
ฮั่วอวิ๋นเซิงขมวดคิ้ว พลางเอ่ยอย่างไม่พอใจ “ซูอี้ เจ้าเข้าใจผิดหรือเปล่า เรื่องคนพายเรือที่สังหารเจ้า เกี่ยวอันใดกับพวกเรา? เจ้าอย่าได้ใส่ร้ายป้ายสีคนบริสุทธิ์สิ”
เห็นได้ชัดว่าเขาไม่สะทกสะท้านใด ๆ เลย
“ใช่แล้ว เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาหาว่าพวกเราจ้างวานนักฆ่าไปสังหารเจ้า มีหลักฐานหรือไม่?”
ซุนเฟิงเอ่ยอย่างเฉยเมย
ทว่าซูอี้กลับยิ้มออกมา “ข้ามาฆ่าคนเท่านั้น! หรือ… ฆ่าคนจะต้องมีหลักฐาน? ช่างอ่อนหัดนัก”
ฮั่วอวิ๋นเซิง เฉียนเทียนหลง ซุนเฟิงทั้งสามคนร่างแข็งทื่อ พลันมีท่าทางเปลี่ยนไปพร้อมกัน
พวกเขาไม่นึกเลยว่า ซูอี้จะเผด็จการเช่นนี้!
“ซูอี้ พวกเราเป็นถึงศิษย์วังเทพสวรรค์เมฆา แม้เจ้าจะแข็งแกร่งกว่านี้ ทว่าเจ้าไม่กังวลถึงผลที่ตามมาว่ามันจะรุนแรงแค่ไหนเลยรึ?”
ฮั่วอวิ๋นเซิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
“พวกเจ้าเป็นตัวแทนของสำนักไม่ได้หรอก”
ในเวลานี้เอง เหวินซินจ้าวก็เดินเข้ามา สีหน้าเยือกเย็น นัยน์ตาเจือไปด้วยโทสะ “ข้าขอแนะนำพวกเจ้า ทางที่ดีสารภาพความจริงออกมา ว่าใครคือคนจ้างวานคนพายเรือ ไม่เช่นนั้น เกรงว่าวันนี้คงไม่มีผู้ใดช่วยพวกเจ้าได้!”
ฮั่วอวิ๋นเซิงมีสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างขีดสุด พลางเอ่ยด้วยความรู้สึกเคียดแค้นว่า “ศิษย์พี่เหวิน ท่านเป็นถึงศิษย์วังเทพสวรรค์เมฆา เหตุใดถึงช่วยคนนอกเช่นนี้?”
เหวินซินจ้าวเอ่ยด้วยท่าทางเยือกเย็น “ผิดแล้ว ข้าไม่ได้ช่วยผู้ใดทั้งนั้น และวันนี้ก็จะไม่ยื่นมือเข้าไปร่วมด้วยเช่นกัน สิ่งที่ควรพูด ข้าก็ได้พูดไปหมดแล้ว พวกเจ้าก็คิดกันให้ดีแล้วกัน”
เมื่อเอ่ยจบ นางก็ถอยไปอยู่ด้านข้าง ยืนดูอย่างเงียบ ๆ
นี่ทำให้ฮั่วอวิ๋นเซิงและคนอื่น ๆ รู้สึกเคร่งเครียดขึ้นมา
ซุนเฟิงลุกขึ้นมา และเอ่ยด้วยความเกรี้ยวกราด “ข้าอยากไปหาผู้อาวุโสจาง และไม่เชื่อว่าชายชราอย่างเขาจะไม่สนใจเรื่องนี้!”
ขณะเอ่ย เขาก็ก้าวเดินออกไป
ปัง!
ซูอี้ยกมือขึ้น พลันร่างกายของซุนเฟิงสั่นไหว ราวกับถูกภูเขาศักดิ์สิทธิ์กดทับ และคุกเข่าลงบนพื้นทันที เขาทั้งอับอายและโมโห สีหน้าเปลี่ยนไปจนบิดเบี้ยวดูน่าเกลียด
“ในเมื่อเจ้าหนีออกไปเป็นคนแรก เช่นนั้นก็เริ่มจากเจ้าแล้วกัน บอกมาว่าผู้ใดคือคนที่จ้างวานคนพายเรือ เจ้าจะไม่ตอบก็ได้ แต่ข้าจะส่งเจ้าไปอีกภพภูมิหนึ่งแทน”
ซูอี้มองไปทางซุนเฟิง และเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เมื่อได้ยินแล้ว ข้าจะให้เวลาเจ้าคิดแค่สามลมหายใจ”
ดวงตาที่เย็นชานั้น ทำให้ซุนเฟิงสั่นเทาไปทั้งร่าง มองไปทางฮั่วอวิ๋นเซิงกับเฉียนเทียนหลงเพื่อขอความช่วยเหลือ
“หนึ่ง”
ซูอี้เริ่มนับ
น้ำเสียงราบเรียบเฉยเมยนั้น ยามนี้กลับเป็นเหมือนท่วงทำนองที่เร่งรัดเอาชีวิต ทำให้ซุนเฟิงหวาดกลัวจนถึงขีดสุด พลางเอ่ยอย่างรีบร้อน “ศิษย์พี่ทั้งสอง พวกท่านรีบพูดเร็วสิ!”
“สอง”
ซูอี้นับขึ้นมาอีกครั้ง
พลันฮั่วอวิ๋นเซิงตบโต๊ะขึ้นมาทันที พลางลุกขึ้น และเอ่ยด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด “ซูอี้ เจ้าเป็น…”
ปัง!
ยังเอ่ยไม่ทันจบ ซูอี้ก็ดีดนิ้วลงบนระหว่างคิ้วของซุนเฟิง เปลี่ยนบริเวณนั้นให้กลายเป็นโพรงเลือดเนื้อ โลหิตสีแดงฉานไหลรินลงมา ร่างเขาแหงนหน้ามองฟ้าและร่วงหล่นลงมา หนึ่งชีวิตได้จบสิ้นไป
ก่อนตาย สายตาเขายังมองไปที่ฮั่วอวิ๋นเซิงกับเฉียนเทียนหลงอยู่
ภาพการเข่นฆ่านี้ กระตุ้นให้ฮั่วอวิ๋นเซิงกับเฉียนเทียนหลงมือเท้าเย็นเฉียบ วิญญาณเกือบออกจากร่าง
แม้แต่เหวินซินจ้าวเองก็รู้สึกสั่นกลัว ดวงหน้างดงามของนางเปลี่ยนไปเล็กน้อย
เมื่อก่อน นางเลื่อมใสและชื่นชมวิถีดาบของซูอี้ และมองอีกฝ่ายเป็นผู้ชี้แนะเส้นทางแห่งดาบด้วยความเคารพยิ่ง
ซูอี้ให้ความประทับใจดี ๆ มากมายแก่นาง ไม่แยแสสิ่งใด และโดดเด่นกว่าผู้อื่น
แต่นางกลับไม่นึกเลยว่า ในตอนที่ซูอี้สังหารคน จะทำอย่างตามใจและไม่สนใจสิ่งใดเช่นนี้ ราวกับบีบมดแมลงให้ตาย
“เห็นได้ชัดว่าเจ้าซุนเฟิงรู้คำตอบ แต่เขากลับยอมตายไม่เอ่ยสิ่งใด ช่างทำให้รู้สึกแปลกหูแปลกตาจริง ๆ”
ซูอี้เอ่ย พลางมองไปทางฮั่วอวิ๋นเซิงและเฉียนเทียนหลง “ทั้งสองท่าน เห็นเขาตายแล้ว พวกเจ้าไม่รู้สึกเจ็บปวดอะไรเลยรึ?”
เฉียนเทียนหลงสั่นเทาไปทั่วร่าง พลางคุกเข่าลงบนพื้นอย่างหมดอาลัยตายอยาก และตะโกนออกมา “ข้าบอกแล้ว ข้ายอมบอกแล้ว คนที่จ้างวานคนพายเรือคือฮั่วอวิ๋นเซิง ทั้งหมดไม่เกี่ยวอะไรกับข้า!”
ทั่วทั้งบริเวณเงียบสงัด
เหวินซินจ้าวแอบถอนหายใจออกมา ไม่เพียงแต่ดูถูกคนอ่อนแอเหลาะแหละอย่างเฉียนเทียนหลง แต่ยังผิดหวังต่อคนจ้างวานอย่างฮั่วอวิ๋นเซิงด้วยเช่นกัน!
ในยามนี้ คล้ายกับฮั่วอวิ๋นเซิงนิ่งอึ้งไป สีหน้าค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นบิดเบี้ยวดุร้าย พลางเอ่ยเน้นทีละคำ “เฉียนเทียนหลง ข้าไม่อยากจะเชื่อจริง ๆ ว่าเจ้าจะขี้ขลาดเช่นนี้!!”
เฉียนเทียนหลงตะโกนออกมา “ศิษย์พี่ฮั่ว หรือว่าข้ากล่าวผิดรึ? มันเป็นความคิดท่านตั้งแต่เริ่ม ว่าจะจ้างวานนักฆ่าจากทะเลทุกข์ไปสังหารซูอี้ และตอนนั้น แม้แต่ชื่อทะเลทุกข์ข้าก็ไม่เคยได้ยินมาก่อน!”
เพื่อให้มีชีวิตรอด เห็นได้ชัดว่าเฉียนเทียนหลงกระวนกระวายใจ จึงโพล่งออกไปโดยไม่คำนึงถึงสิ่งใด
“เจ้า… ข้าจะฆ่าเจ้าคนทรยศนี่ก่อน!”
ฮั่วอวิ๋นเซิงชักดาบออกมาทันที และตวัดไปทางเฉียนเทียนหลงที่คุกเข่าอยู่บนพื้น
ซูอี้ไม่ได้ขัดขวางอะไร
เขาไม่ได้รับปากว่าใครตอบออกมาก็จะไว้ชีวิต
ตุบ!
หัวของเฉียนเทียนหลงกลิ้งตกลงบนพื้น บนใบหน้าเต็มไปด้วยความตะลึง ราวกับไม่นึกเลยว่า ตัวเองไม่ได้ตายด้วยน้ำมือซูอี้ แต่กลับตายด้วยน้ำมือฮั่วอวิ๋นเซิง
เมื่อเหวินซินจ้าวเห็นภาพนี้ ในหัวก็ผุดคำสามคำนี้ออกมาอย่างช่วยไม่ได้ ‘หมากัดกัน’
“ซูอี้ ไว้ชีวิตข้าสักครั้งเถิด ข้ารับปากว่า ความแค้นระหว่างเจ้ากับข้าจะจบลงตรงนี้ และจากนี้ไปข้าจะไม่ไปรบกวนเจ้าอีก”
ในเวลานี้ นัยน์ตาของฮั่วอวิ๋นเซิงดั่งสายฟ้า ใบหน้าเต็มไปด้วยความน่าสะพรึงกลัว “หากเจ้าไม่ตกลง แม้เจ้าจะสังหารข้าในวันนี้ วันหน้า ‘ตระกูลฮั่ว’ จะไม่ปล่อยเจ้าไว้แน่”
แต่ละคำดังกังวานออกมา แฝงไว้ซึ่งกลิ่นอายคลุ้มคลั่ง
เห็นได้ชัดว่าเขารู้ว่าตัวเองไม่ใช่คู่ต่อสู้ของซูอี้ ดังนั้นการทำเช่นนี้ จึงไม่มีอะไรไปกว่าการเดิมพันครั้งใหญ่
“สหายเต๋าซู ให้โอกาสฮั่วอวิ๋นเซิงสักครั้งได้หรือไม่?”
จางอวิ๋นเทาที่ไม่เผยหน้าออกมาตลอดก็ปรากฏออกมา บนใบหน้าเต็มไปด้วยความร้อนรนและกังวล “ตระกูลฮั่วคือหนึ่งในสามตระกูลใหญ่แห่งต้าเซี่ย ภูมิหลังนั้นยิ่งใหญ่ยากหยั่งถึง มิอาจดูแคลนได้ ชายแก่อย่างข้าก็รู้ดี สหายเต๋าซูไม่หวาดกลัวต่อเรื่องเหล่านี้หรอก ทว่าหากสามารถลดความวุ่นวายลงมาได้ มันจะไม่ดีกว่ารึ?”
จางอวิ๋นเทาอดที่จะลุกขึ้นยืนไม่ได้
ฮั่วอวิ๋นเซิงคือลูกชายของผู้นำตระกูลฮั่ว หากให้ฮั่วอวิ๋นเซิงถูกสังหารตายต่อหน้าต่อตาเขาและตระกูลฮั่วตำหนิกล่าวโทษลงมา จางอวิ๋นเทาก็คงได้รับผลกระทบเช่นกัน
ซูอี้เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย พลางเหลือบมองจางอวิ๋นเทา “จ้างวานนักฆ่ามาสังหารข้าก็ไม่น่าให้อภัยอยู่แล้ว ทว่าเขากลับยังคุยโวโอ้อวด และยังอยากจะจบความแค้นกับข้า เจ้าว่า… นี่ใช่คำพูดของคนรึ?”
จางอวิ๋นเทายิ้มเจื่อน และกำลังจะพูดอะไรต่อ
“ซูอี้ ข้าสามารถให้ของชดเชยที่เพียงพอได้ เหมือนอย่างตระกูลจั่ว ใช้ของล้ำค่ามาชดใช้ความผิด”
ฮั่วอวิ๋นเซิงก้มหัวขอโทษ สถานการณ์แข็งแกร่งกว่าตัวบุคคล จึงจำต้องยอมก้มหัวให้
“ชีวิตของเจ้า แค่เฟินเดียวก็ไม่คุ้ม”
ดวงตาของชายหนุ่มเผยความไม่พอใจออกมา พลันดีดนิ้วทันที
ปราณดาบสายหนึ่งพุ่งขึ้นมา คล้ายกับลูกศรที่มีอานุภาพมหาศาล ทะลวงผ่านหัวของฮั่วอวิ๋นเซิงไปด้วยความเร็วที่น่าเหลือเชื่อ!
ตูม!
หลังปราณดาบเจาะทะลุเป็นโพรงออกมา หัวของฮั่วอวิ๋นเซิงระเบิดแตกกระจายทันที
จางอวิ๋นเทาตื่นตระหนกจนมือไม้สั่นไปหมด
เหวินซินจ้าวเม้มปากไม่เอ่ยสิ่งใด
เมื่อประสบกับเรื่องพวกนี้ ก็ทำให้นางรู้ว่า ซูอี้ที่ดูเหมือนปกติธรรมดา ไม่มีความขัดแย้งใด แต่เมื่อถูกเขามองเป็นศัตรู ชายหนุ่มล้วนไม่สนใจผลที่ตามมาและการคุกคามใด ๆ เลย
เมื่อเทียบกับยามนี้ ก็มองออกได้เลยว่า สมาชิกแห่งตระกูลจั่วโชคดีเพียงใด แทบไม่ต่างอะไรกับการเก็บชีวิตมาจากเทพแห่งความตาย
“สหายเต๋าซู หลังจากที่ข้ากลับไปสำนักแล้ว จะต้องรายงานความจริงออกไปแน่นอน หากเจ้าอยากฆ่าคนเพื่อปิดปาก เจ้าก็ลงมือตอนนี้ได้เลย”
จางอวิ๋นเทาสูดหายใจเข้าลึก พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
เหวินซินจ้าวมีสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย พลันรู้สึกเป็นห่วงขึ้นมาทันที
ซูอี้มองจางอวิ๋นเทาด้วยความแปลกใจเล็กน้อย “ข้าจะสังหารแค่คนที่ควรสังหารเท่านั้น”
จางอวิ๋นเทาชะงักค้างไปครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยด้วยสีหน้ายุ่งเหยิง “เจ้า… ไม่กังวลว่าวังเทพสวรรค์เมฆาข้าจะมองเจ้าเป็นศัตรูรึ?”
ซูอี้เอ่ยด้วยน้ำเสียเย็นชา “วังเทพสวรรค์เมฆาของพวกเจ้าควรกังวลมากกว่า ว่าหากมาเป็นศัตรูกับข้า จะรับผลที่ตามมาได้หรือไม่?”
เมื่อเอ่ยจบ เขาก็เอามือไพล่หลัง และหมุนตัวเดินจากไป
เมื่อคิดอยู่ครู่หนึ่ง เหวินซินจ้าวก็เอ่ยออกมาเบา ๆ “ผู้อาวุโสจาง หลังจากกลับไปครั้งนี้ ข้าก็จะอธิบายความจริงให้แก่อาจารย์ เชื่อว่าด้วยความฉลาดของผู้อาวุโสในสำนักเหล่านั้น จะต้องตัดสินใจที่ฉลาดที่สุดออกมา”
จางอวิ๋นเทาทอดถอนใจ “ซินจ้าวเจ้ายังเด็กนัก ไม่เข้าใจเลยแม้แต่น้อย นี่ไม่ใช่ปัญหาว่าใครผิดใครถูก สำหรับสำนักแล้ว หากมิอาจปกป้องศิษย์ของตัวเองและล้างแค้นให้แก่พวกเขาได้ เช่นนั้นสำนักนี้… ก็คงต้องพังพินาศและเสื่อมสลายไป”
เหวินซินจ้าวพลันหรี่ลงทันที “ท่านหมายถึง สำนักอาจจะไม่สนเรื่องผิดถูก และมองสหายเต๋าซูเป็นศัตรู?”
“ไม่ใช่อาจจะ แต่เป็นแน่นอน!”
เมื่อจางอวิ๋นเทาเอ่ยมาถึงตรงนี้ เขาก็สูดหายใจเข้าลึก “นอกเสียจากว่า ซูอี้จะมีพลังที่ทำให้สำนักสะพรึงกลัว ไม่เช่นนั้นวังเทพสวรรค์เมฆาจะต้องขุดรากถอนโคนเขาแน่!”