บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 464 มารในใจและสัญญาสามประการ
ตอนที่ 464: มารในใจและสัญญาสามประการ
ตอนที่ 464: มารในใจและสัญญาสามประการ
ทุกคนตกตะลึง
ปีศาจขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณที่ทรงพลังซึ่งยืนอยู่บนจุดสูงสุดของโลก กลับเป็นฝ่ายเอ่ยปากขอคำชี้แนะจากชายหนุ่มในขอบเขตไร้เบญจธัญก่อน?
หากเรื่องน่าตกใจนี้แพร่กระจายออกไปเกรงว่าจะไม่มีใครเชื่อ
แต่โชคร้ายที่มันเกิดขึ้นแล้ว!
ทายาทของมังกรเกล็ดดำ ชายวัยกลางคนในชุดคลุมได้ลดท่าทางลงและได้ขอชี้คำแนะจากซูอี้!
ขณะนั่งบนเก้าอี้หวาย ซูอี้รับการคำนับอย่างสงบและกล่าวว่า “ขอฟังก่อน”
อิงเชวียหายใจเข้าลึก ก่อนเล่า “เมื่อหมื่นสามพันปีก่อนบิดาของข้าก้าวข้ามภัยพิบัติมังกรที่ผามังกรด้วน แม้ว่าท้ายที่สุดมันจะถูกทำลายลงโดยนักดาบผู้หนึ่ง แต่เขาก็ไม่ได้ตาย”
มังกรเกล็ดดำยังไม่ตาย!?
ทุกคนประหลาดใจ
“ทว่า แม้ว่าในที่สุดบิดาของข้าจะรอดชีวิตมาได้ ในช่วงหนึ่งหมื่นสามพันปีที่ผ่านมา เขากลับตกอยู่ในสภาพที่เลวร้ายยิ่งกว่าความตาย ถูกทรมานจนอยู่มิสู้ตาย และถึงแม้ว่าเขาจะต้องการสังหารตัวตาย เขาก็ทำไม่ได้…”
นัยน์ตาของเขาฉายแววเศร้า พูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า “ถึงตอนนี้ บิดาของข้าก็ยังคงอยู่ในสภาพไม่มีสติและสับสน ข้ารู้ดีว่าความปรารถนาเดียวของเขาคือการหลุดพ้นจากสภาพ ‘ไม่อาจร้องขอความตาย’ ได้”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ อิงเชวียก็มองไปที่ซูอี้ แล้วพูดอย่างจริงใจและจริงจัง “ดังนั้น ข้าอยากจะถามสหายเต๋าว่าจะช่วยให้บิดาของข้าบรรลุความปรารถนาของเขาได้อย่างไร?”
เขาอยู่ในสถานการณ์เช่นใดกันจึงต้องทนทุกข์ทรมานอย่างโหดร้ายเช่นนี้?
เหวินซินจ้าว และคนอื่น ๆ ต่างตกใจจนหัวใจของพวกเขาเต้นผิดจังหวะ
ซูอี้อดที่จะอยากรู้อยากเห็นไม่ได้ และถามด้วยความสนใจอย่างมากว่า “เป็นไปได้หรือไม่ว่าจิตวิญญาณและร่างกายของบิดาของเจ้าถูกกักขังด้วยพลังบางอย่าง?”
อิงเชวียพยักหน้าและกล่าวว่า “สหายเต๋ามีสายตาเฉียบแหลมยิ่ง บิดาของข้ากำลังทุกข์ทรมานจากการก้าวข้ามภัยพิบัติมังกร แล้วอิทธิพลของ ‘การจองจำแห่งยุคมืด’ ก็ได้นำพาไปสู่สถานการณ์ที่น่าสังเวชเช่นนี้”
การจองจำแห่งยุคมืด!
จางอวิ๋นเทา เหวินซินจ้าว และสีหน้าของคนอื่น ๆ เปลี่ยนไปเล็กน้อย พวกเขารู้สึกหวาดกลัวอย่างช่วยไม่ได้
เป็นเรื่องปกติที่พวกเขาจะรู้ดีว่าการจองจำแห่งยุคมืดนั้นน่ากลัวเพียงใด พลังที่คล้ายพลังต้องห้ามเช่นนี้ทำให้มหาทวีปคังชิงตกอยู่ในความพินาศและทรุดโทรมนานสามหมื่นปี ทั้งขาดปราณจิตวิญญาณและวิถีเต๋าเสื่อมถอย
ในหลายปีที่ผ่านมา ไม่รู้ว่ามีกองกำลังโบราณอันทรงพลังและไร้ผู้เทียบเทียมจำนวนเท่าใดที่ถูกกำจัดไปภายใต้การจองจำแห่งยุคมืด!
ย้อนกลับไปในตอนนั้น มังกรเกล็ดดำเองก็ถูกผลจากพลังการจองจำแห่งยุคมืด จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่มันจะตกต่ำจนอยู่ในสภาพน่าสังเวชเช่นนี้
“ที่แท้ก็เป็นการจองจำแห่งยุคมืด”
ซูอี้ตะลึง
เขาจำสี่สิ่งต้องห้าม เกาะไร้หวน ภูเขาฝังศพ เจดีย์กระดูกขาว และเรือเก็บดาว ที่เขาพบในทะเลวิญญาณโกลาหลได้
เขายังจดจำมารเฒ่าหลีฮั่ว ปีศาจเฒ่าสือกู่ ราชาจี้เหยียนเหลย และ ราชาสิงเจินต้าวที่ติดอยู่ในสิ่งต้องห้ามทั้งสี่นี้ตามลำดับได้
ไม่ต้องสงสัยเลยว่ามังกรเกล็ดดำเองก็ประสบกับการเปลี่ยนแปลงเช่นเดียวกับสิ่งมีชีวิตที่น่าสะพรึงกลัวทั้งสี่ และไม่อาจหลุดพ้นจากสถานการณ์ดังกล่าว
แต่สำหรับซูอี้ เขามีวิธีแก้ไขปัญหามัน
ย้อนกลับไปเมื่อตอนที่เขาตัดหัวมารเฒ่าหลีฮั่ว ปีศาจเฒ่าสือกู่ และราชาจี้เหยียนเหลย ในทะเลวิญญาณโกลาหล เขาใช้พลังของดาบเก้าคุมขังเพื่อทำลายพลังของการจองจำแห่งยุคมืด และสังหารตัวตนอันน่าสะพรึงทั้งสามคนลง
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ซูอี้ก็กล่าวขึ้นว่า “เจ้าควรจะรู้ว่าภายในสามถึงห้าปีเมื่อแสงสว่างแห่งโลกกว้างมาถึง พลังของการจองจำแห่งยุคมืดจะหายไปอย่างสมบูรณ์เอง ในเวลานั้น สถานการณ์ของบิดาเจ้าเองก็จะหายไปเช่นกัน โดยจะหายไปพร้อมกับมัน”
อิงเชวียเงียบไปครู่หนึ่งแล้วทอดถอนใจอย่างขมขื่น “สหายเต๋าอาจไม่รู้ ข้าติดอยู่ในขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณมาเกือบพันปีแล้ว และได้ระงับขอบเขตไว้ แต่ไม่นานมานี้ข้ามีลางสังหรณ์ว่าโอกาสในการทะลวงขอบเขตกำลังใกล้เข้ามา”
“ข้าไม่กลัวภัยพิบัตินี้ สิ่งเดียวที่ข้ากังวลคือสิ่งที่บิดาข้าเผชิญอาจกลายเป็นมารในใจของข้าไปแล้ว ซึ่งมันจะกลายเป็นจุดอ่อนร้ายแรง ถ้าเป็นเช่นนั้น ชีวิตของข้าก็จะตกอยู่ในอันตราย…”
ซูอี้เข้าใจและกล่าวว่า “ดังนั้น เจ้าหวังที่จะช่วยปลดปล่อยบิดาของเจ้า ก่อนที่ภัยพิบัติการทะลวงขอบเขตจะมาถึง เพื่อขจัดมารในใจเจ้าใช่หรือไม่?”
“ไม่ผิด”
อิงเชวียพยักหน้า “ประสบการณ์การข้ามผ่านภัยพิบัติมังกรของบิดาข้าได้ทรมานเขามามากกว่าหนึ่งหมื่นปี ประสบการณ์เช่นนี้น่าสะพรึงเกินไป เวลาผ่านไปมันก็ได้ก่อมารขึ้นในใจของข้า หากไม่กำจัดไปก็ไม่มีหวังในการข้ามผ่านทัณฑ์ที่จะถึงเลย”
เหวินซินจ้าวและพวกต่างได้ยินที่พูดคุยกัน ซึ่งมันก็ทำให้พวกเขารู้สึกสะท้อนไม่รู้จบ
นี่คืออันตรายของวิถีวิญญาณ
ตรงกับที่มังกรเกล็ดกังวล ถึงมันจะดูงดงามอย่างหาที่เปรียบมิได้ และทรงพลังพอที่จะกู่ก้องคำรามไปทั่วโลกอย่างภาคภูมิใจ แต่เมื่อต้องทะลวงขั้นภัยพิบัติแล้ว ภัยพิบัติที่มันต้องเผชิญอยู่นั้นกลับเหนือกว่าผู้ฝึกตนทั่วไปนัก
หากมารภายในใจของเขาไม่ถูกกำจัดไป แม้ว่าเขาจะมีความสามารถขัดสวรรค์ แต่เมื่อก้าวข้ามภัยพิบัติ เขาก็จะต้องจบลงด้วยความตายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้!
ซูอี้ยิ้มและถามว่า “แล้วเหตุใดเจ้าถึงคิดว่าข้าสามารถช่วยกำจัดปีศาจในใจเจ้าได้?”
อิงเชวียยิ้มอย่างขมขื่น “พูดตามตรงเลย มันเป็นเพราะคำพูดของสหายเต๋าเกี่ยวกับการสังหารมังกรที่ทำให้ข้ารู้ว่าความเข้าใจของสหายเต๋าเกี่ยวกับเชื้อสายมังกรเกล็ดของข้านั้นเกินกว่าผู้ฝึกตนในโลกนี้ จนแม้แต่ผู้ฝึกตนวิถีวิญญาณเหล่านั้นก็ไม่มีความเข้าใจเช่นเดียวกับสหายเต๋า”
นี่ไม่ใช่คำชม
เมื่อเขาได้ยินซูอี้พูดถึงการสังหารมังกร ว่าให้ขอดเกล็ดและกรงเล็บของมันก่อน จากนั้นตัดหาง แทงตา ทำลายเขา อิงเชวียก็พลันรู้สึกเหน็บหนาวในใจราวกับว่าอีกฝ่ายเห็นจุดอ่อนทั้งหมดบนร่างของเขา!
การขอดเกล็ดกับกรงเล็บออกจะทำให้มังกรเกล็ดไม่มีอำนาจที่จะควบคุมสถานการณ์อีกต่อไป
การตัดหางของมังกรเกล็ดจะทำให้มังกรเกล็ดไม่สามารถบินขึ้นไปบนท้องฟ้าและขี่เมฆได้อีก
เมื่อตาบอด จิตสัมผัสของมังกรเกล็ดจะได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง
เมื่อหักเขาที่มีเพียงอันเดียวของมันลง พลังเต๋าของทั้งร่างส่วนใหญ่ก็ไม่ต่างจากถูกทำลายลง
ในฐานะทายาทของมังกรเกล็ดดำ เหตุใดอิงเชวียจะไม่รู้ว่าวิธีการสังหารมังกรเกล็ดที่ซูอี้พูดถึงนั้นกำลังโจมตีจุดสำคัญและจับจุดตายของเชื้อสายมังกรเกล็ดไว้อย่างสมบูรณ์?
และในโลกนี้ คนที่มีความรอบรู้เช่นนั้นจะเป็นคนธรรมดาไปได้อย่างไร?
ด้วยเหตุนี้ อิงเชวียจึงเป็นฝ่ายเผยตัวออกมาเอง
“ปรากฎว่าสิ่งที่ซูอี้พูดเมื่อครู่กลับกลายเป็นเรื่องจริง…”
เหวินซินจ้าวและคนอื่น ๆ ต่างก็ตกตะลึง ดวงตาของพวกเขาฉายแววประหลาด
คำพูดของอิงเชวียทำให้พวกเขาพลันตระหนักว่า การพูดคุยที่ดูเหมือนเล็กน้อยของซูอี้ก่อนหน้านี้ได้เผยให้เห็นจุดอ่อนของมังกรเกล็ด!
ซูอี้คิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ข้าสามารถช่วยบิดาของเจ้าให้เป็นอิสระได้ แต่… เหตุใดข้าถึงต้องช่วยเจ้าด้วย?”
หัวใจของอิงเชวียสั่นไหว คิ้วของเขาเต็มไปด้วยความสุขและความตื่นเต้นอย่างไม่ปิดบัง
เขาหายใจเข้าลึก ก่อนพลันประสานหมัดและโค้งคำนับ “หากสหายเต๋าช่วยข้า ข้าจะมอบของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อแสดงความจริงใจ ข้าจะไม่มีวันลืมบุญคุณนี้ไปตลอดชีวิต!”
ซูอี้มองไปที่อิงเชวีย แล้วกล่าวว่า “ข้าไม่ต้องการของขวัญชิ้นใหญ่อะไร และข้าก็ไม่ต้องการความซาบซึ้งของเจ้า”
อิงเชวียตกใจ ก่อนจะพูดอย่างจริงจังว่า “สหายเต๋าต้องการอะไรรึ? ตราบใดที่ข้าทำได้ ข้าก็จะทำ”
ซูอี้เหยียดออกด้วยสามนิ้ว เขาพูด “ในอนาคตเมื่อข้าต้องการ จงช่วยข้าทำสามเรื่อง แน่นอน เจ้าวางใจได้ว่าสิ่งที่ข้าขอให้เจ้าทำจะไม่ขัดต่อความตั้งใจเดิมของเจ้า และจะไม่ทำให้เจ้าตาย ตราบเท่าที่เจ้าสัญญา ข้าสามารถช่วยเจ้าสังหารมารในใจลงในตอนนี้เลย”
“เจ้าคิดดูเอาเอง”
พูดจบซูอี้ก็ยกน้ำเต้าขึ้นจิบอย่างเกียจคร้าน
เขาหาใช่คนเลวทราม ถ้าอีกฝ่ายไม่ได้บังเอิญพบกับเขาซูอี้ในครั้งนี้ อิงเชวียผู้อยู่ขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณซึ่งเต็มไปด้วยพลังปีศาจ จะทำให้เขาลดตาลงไปมองได้อย่างไร?
สีหน้าของอิงเชวียเปลี่ยนไปชั่วอึดใจ
จางอวิ๋นเทาและคนอื่น ๆ ก็ประหม่าอยู่พักหนึ่ง เกรงว่ามหาปีศาจขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณจะบันดาลโทสะและต่อสู้เพื่อบังคับให้ซูอี้ ‘ช่วยเหลือ’
แต่ในท้ายที่สุด อิงเชวียก็สูดหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนโค้งคำนับและพูดว่า “สหายเต๋า อิงผู้นี้รับปาก!”
ซูอี้กล่าวอย่างมีความหมาย “เจ้าควรคิดให้ดี ถึงแม้ว่าข้าจะเสนอเงื่อนไข แต่ถึงอย่างไรก็เป็นการช่วยเหลือเจ้าไว้ และยังเป็นการช่วยเจ้าแก้ไขภัยพิบัติการฝึกฝน หากเจ้าไม่เต็มใจ คิดวางแผนแกล้งทำเป็นตกลงก่อนพลิกหน้าทีหลัง ข้าสัญญาเลยว่าเจ้าจะมีจุดจบที่เลวร้ายยิ่งกว่าบิดาของเจ้า”
ร่างกายของอิงเชวียแข็งทื่อไป เมื่อเผชิญกับดวงตาที่เฉยเมยและลึกล้ำของซูอี้พลันบังเกิดความเย็นยะเยือกขึ้นในหัวใจของเขาอย่างไร้เหตุผล
“สหายเต๋าไม่ต้องห่วงไป ข้าสามารถสาบานด้วยชีวิตและจิตวิญญาณของข้าตอนนี้เลย!”
อิงเชวียกล่าว ก่อนกัดปลายนิ้วของเขาเตรียมเอ่ยสาบาน
ซูอี้ลุกขึ้นจากเก้าอี้หวายแล้วโบกมือเพื่อหยุดเขา “ไม่จำเป็น แค่คำสาบานมันไร้ประโยชน์ ข้าเป็นคนดูสิ่งที่ผู้อื่นกระทำ หาใช่ที่ผู้อื่นคิด”
อิงเชวียตะลึงไป เขายิ่งมองชายหนุ่มขอบเขตไร้เบญจธัญผู้นี้ไม่ออกมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งที่ยังอ่อนเยาว์และระดับการฝึกฝนก็ต่ำต้อย แต่พฤติกรรมของชายผู้นี้กลับไม่สามารถเข้าใจได้โดยสิ้นเชิง
“ไปเถอะ พาข้าไปหาบิดาของเจ้า”
ซูอี้วางเก้าอี้หวายแล้วยืดเอวที่ขี้เกียจของเขา
กลางดึก ดวงจันทร์บนท้องฟ้าส่องสว่างและใสกระจ่าง
อิงเชวียพาซูอี้และคณะบินเข้าไปในอากาศแล้วพุ่งเข้าไปในส่วนลึกของแม่น้ำข้างหน้าผามังกรด้วน
แม่น้ำสายนี้มีชื่อว่า ‘มังกรคลั่ง’ เพราะมันทั้งรุนแรงและปั่นป่วนยิ่ง
ที่ด้านล่างของแม่น้ำมังกรคลั่งมีเส้นทางใต้น้ำที่นำไปสู่ส่วนลึกของใต้ดิน หลังจากเข้าไปแล้วก็พลันเห็นแสงสว่าง ก่อนพื้นที่ใต้ดินที่กว้างใหญ่จะปรากฏขึ้นในทันใด
น่าแปลกที่พื้นที่ใต้ดินนี้สร้างขึ้นราวกับพระราชวังอันงดงาม โดยมีพระราชวังอยู่มากมายและบรรยากาศอันวิจิตร
“สถานที่นี้ถูกปกคลุมด้วยค่ายกลต้องห้ามที่ผนึกเส้นชีพจรจิตวิญญาณไว้ ดึงเอาศักยภาพของภูมิประเทศมา การจัดวางก็ไม่เลว แทบจะเรียกได้ว่าเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่เหมาะแก่การฝึกฝน”
ซูอี้กล่าวด้วยความประหลาดใจ “ผู้ฝึกตนทั่วไปไม่สามารถรับรู้ถึงการมีอยู่ของสถานที่แห่งนี้ได้เลย แม้ว่าจะมีศัตรูคิดมองหามัน ค่ายกลนี้สามารถต้านและป้องกันไม่ให้ศัตรูบุกเข้ามาได้ช่วงหนึ่ง”
อิงเชวียใจสั่น เขาไม่ได้คาดว่าซูอี้จะสามารถเห็นความลึกลับของสถานที่แห่งนี้ได้อย่างรวดเร็ว
“ดวงตาของสหายเต๋าช่างเปรียบเสมือนคบไฟ”
อิงเชวียกล่าวด้วยความชื่นชม
ถ้าก่อนหน้านี้เขายังมีความกังขาเล็ก ๆ เกี่ยวกับวิธีการของซูอี้อยู่บ้าง ตอนนี้ความสงสัยนี้ก็หายไปอย่างเงียบเชียบ
ขอบเขตไร้เบญจธัญแล้วอย่างไรล่ะ?
พวกมหาปราชญ์สวรรค์วิถีวิญญาณในโลกจะไปมีความเข้าใจและประสบการณ์ที่เหลือเชื่อเช่นนี้ได้อย่างไร?
“สหายเต๋า เชิญ”
เมื่อเขาดึงความคิดกลับมา อิงเชวียก็ยิ้มแล้วนำทุกคนเข้าไปในส่วนลึกของวังที่เรียงรายไปด้วยพระราชวังมากมาย
ระหว่างทางมีฉากที่วิจิตรอยู่ทุกหนทุกแห่ง ทั้งดอกไม้งดงามและหญ้าแปลกตา ทั้งเสาหยกแกะสลัก
ทั้งยังเจอคนรับใช้ ผู้คุม สาวใช้ และคนอื่น ๆ ซึ่งเกือบทั้งหมดเป็นปีศาจ โดยที่บางคนก็อยู่ในขอบเขตเปิดทวารด้วย!
เมื่อพวกเขาเห็นอิงเชวีย ทั้งหมดเคารพและให้เกียรติในฐานะ ‘จ้าวมังกร’
เมื่อเห็นฉากนั้น เหวินซินจ้าวกับคนอื่น ๆ ล้วนเบิกตากว้างอย่างประหลาดใจ
ทว่าซูอี้ส่ายหัวครู่หนึ่ง เป็นแค่มังกรเกล็ดดำ กลับกล้าเรียกตนว่า ‘จ้าวมังกร’ แน่ชัดแล้วว่าความทะเยอทะยานของมังกรเกล็ดดำตนนี้ไม่เล็กเลย!