บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 465 ปราณดาบที่ทำให้มังกรเกล็ดดำตกใจ
ตอนที่ 465: ปราณดาบที่ทำให้มังกรเกล็ดดำตกใจ
ตอนที่ 465: ปราณดาบที่ทำให้มังกรเกล็ดดำตกใจ
ภายในพระราชวังที่ตกแต่งอย่างงดงาม
หญิงรับใช้สาวสวยกลุ่มหนึ่งถือถาดหยกที่เต็มไปด้วยอาหารรสเลิศมา
อย่างเช่น ปูตัวใหญ่ขนาดเท่าอ่าง ปลาสลิดขาวหิมะตัวอวบอ้วน และกุ้งเขียวตัวหนาเท่าแขน…
นอกจากนี้ยังมีอาหารที่ทำจากหอยหลายชนิดอีกหกสิบจาน ซึ่งทั้งหมดมีร่องรอยปราณจิตวิญญาณจับคู่กับการผสมผสานเครื่องเทศต่าง ๆ จนทำให้มีรสชาติเลิศล้ำ
อิงเชวียจัดงานเลี้ยงให้แก่ซูอี้และคณะก่อน ซึ่งในระหว่างการสนทนา เขาก็ได้ทราบถึงตัวตนของซูอี้และคนอื่น ๆ
เมื่อเขารู้ว่าซูอี้มาจากต้าโจว อิงเชวียก็ตกตะลึงไปพักหนึ่ง ราวกับไม่อยากเชื่อว่าอาณาจักรเล็ก ๆ ที่ห่างไกลเช่นนี้จะมีตัวตนที่น่าอัศจรรย์อย่างซูอี้โผล่ออกมาได้
“ข้าได้ยินมาว่าสถานที่ที่ต้าโจวตั้งอยู่นั้นเป็นชายแดนทางใต้ของมหาทวีปคังชิง เมื่อสามหมื่นปีที่แล้วสถานที่ศักดิ์สิทธิ์วิถีพุทธของศาลเซนวิถีพุทธแห่งแรกของโลกได้ก่อสร้างขึ้นในดินแดนนั้น ในศาลเซนวิถีพุทธนี้ว่ากันว่ามีมังกรจริง ๆ ประดิษฐานอยู่ในนั้น ซึ่งมีภูมิหลังแข็งแกร่งอย่างยิ่งยวด”
อิงเชวียหัวเราะ
เขาแต่งกายด้วยเสื้อคลุมยาว ขมับของเขาเป็นสีขาว และรูปลักษณ์ของเขาดูแปลก ๆ เมื่อกลิ่นอายของเขาสงบลงก็มองไม่เห็นร่องรอยของความดุร้ายของมหาปีศาจขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณอีก
“กองกำลังของวิถีพุทธนี้มีมังกรอยู่จริง ข้าไปที่ซากปรักหักพังและได้เลือดมังกรแท้จริงมาหยดหนึ่ง ข้าจึงกล้าคาดการณ์ว่านี่เป็นเรื่องจริง”
ซูอี้พูดอย่างสบาย ๆ เขากำลังจัดการกับปูตัวขนาดเท่าอ่าง เนื้อปูมีสีขาวดั่งหิมะ กลิ่นหอมสดชื่นและรสชาติสดมาก
อิงเชวียตะลึงงันในใจ ก่อนดวงตาของเขาเปล่งประกายด้วยความบ้าคลั่งที่หาได้ยาก “สหายเต๋าซู ซากปรักหักพังเหล่านั้นยังคงอยู่ที่นั่นหรือไม่?”
เขาเป็นมังกรเกล็ดดำ ตัวตนมังกรที่แท้จริงในใจเขาจึงเป็นดังเป้าหมายในการฝึกฝน ซึ่งเทียบได้กับเทพเจ้า!
“สถานที่นั้นกลายเป็นซากปรักหักพังไปนานแล้ว หากเจ้าไปตามหามัน เจ้าจะต้องกลับมามือเปล่าแน่นอน ยิ่งกว่านั้น มังกรเกล็ดดำอย่างเจ้าในเชื้อสายมังกรเกล็ด แม้ว่าพรสวรรค์สายเลือดจะเป็นชั้นหนึ่ง แต่มันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะกลายเป็นมังกรที่แท้จริง”
คำพูดของซูอี้เหมือนอ่างน้ำเย็นสาดดับความเร่าร้อนในหัวใจของอิงเชวียอย่างสมบูรณ์
เขาถอนหายใจและพูดอย่างเต็มไปด้วยอารมณ์ว่า “เส้นทางย่อมยากลำบาก แต่ทว่าชั่วชีวิตนี้ข้าได้ตัดสินใจแล้ว จึงต้องมุ่งมั่นก้าวไปอย่างกล้าหาญเท่านั้น”
หลังจากหยุดชะงักไปชั่วขณะ อิงเชวียก็กล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้ม “นอกจากนี้ สหายเต๋าซูไม่ได้พูดเกี่ยวกับความตาย ซึ่งพิสูจน์ว่าเส้นทางที่จะกลายเป็นมังกรนี้แม้แทบจะเป็นไปไม่ได้ แต่ก็ยังมีความหวังริบหรี่”
ซูอี้พยักหน้าและไม่พูดอะไร
เผ่ามังกรเกล็ดกลายเป็นมังกรแท้จริงยากกว่าการที่ผู้ฝึกตนจะย่างก้าวเข้าสู่ขอบเขตจักรพรรดิเสียอีก
ไม่รู้ว่ามีมังกรเกล็ดที่น่าอัศจรรย์กี่ตัวที่กระโจนเข้าไปในเส้นทางสายนี้ ซึ่งผู้ที่อาจประสบความสำเร็จเกือบทั้งหมดมีอยู่ในตำนานปรัมปราเท่านั้น จึงไม่อาจพิสูจน์จริงเท็จได้
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ถ้าเขาบอกความจริงกับอิงเชวีย น่ากลัวว่าอีกฝ่ายจะไม่สามารถต้านทานการโจมตีดังกล่าวได้
บางครั้งการไม่รู้และความกล้าหาญก็เป็นเรื่องดี อย่างน้อยก็จะไม่สัมผัสถึงความสิ้นหวังอย่างแท้จริงยามแสวงหาเป้าหมาย…
หลังดื่มสามจอก ลิ้มอาหารห้ารสเสร็จ อิงเชวียก็ลุกขึ้นเดินออกจากห้องโถงไปพร้อมกับซูอี้
นี่แสดงให้เห็นว่าอิงเชวียนั้นฉลาดในการใช้ชีวิตเพียงใด แม้ว่าเขาจะกระวนกระวายอยากให้ซูอี้ช่วย แต่เขาก็อดทน ก่อนอื่นเขาเชิญซูอี้และคนอื่น ๆ ไปทานอาหารเย็น ซึ่งไม่เพียงแต่จะช่วยพัฒนาความสัมพันธ์ แต่ยังแสดงถึงความสุภาพและความเอาใจใส่
การเคลื่อนไหวนี้ของอิงเชวียได้รับความโปรดปรานจากซูอี้
“พระบิดา ข้าได้นำปรมาจารย์มาช่วยท่านแล้ว!”
ในวังที่มืดมิดและน่าหดหู่ซึ่งเต็มไปด้วยพลังต้องห้ามหนาแน่น ทันทีที่อิงเชวียเข้ามา เขาก็คุกเข่าลงกับพื้น ดูทั้งตื่นเต้นและโศกเศร้า
ความช่วยเหลือที่ว่าก็คือการปลดปล่อยบิดาของเขาจากสภาพ ‘ไม่อาจร้องขอความตาย’
ช่างเป็นรสชาติที่ยากจะอธิบายนัก
ซูอี้เงยหน้าขึ้นมองและเห็นมังกรเกล็ดดำที่กำลังจะตายนอนอยู่ในส่วนลึกของห้องโถง มันยาวกว่าสิบจั้ง และร่างของมันเหมือนกับภูเขาเล็ก ๆ วางอยู่บนพื้น ร่างกายทั้งหมดถูกปกคลุมไปด้วยเกล็ดสีดำขนาดเท่าพัดมือ
สิ่งที่น่าตกใจคือมีดาบเสียบอยู่เหนือหัวของมังกรเกล็ดดำตัวนี้ และบริเวณบาดแผลก็เต็มไปด้วยคราบเลือดแห้งกรัง
ตรงกลางร่างของมังกรเกล็ดดำ เลือดเนื้อพร่าเลือน เห็นได้ชัดว่าบาดแผลเพิ่งถูกเย็บใหม่หลังปริออก
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าดาบเล่มนั้นถูกทิ้งไว้โดยนักดาบในยุคสมัยนั้น
ส่วนร่างกายก็ถูกตัดออกโดยภัยพิบัติของมังกร!
ลมปราณต้องห้ามที่คลุมเครือและแปลกประหลาดที่ติดอยู่ในร่างกายของมังกรเกล็ดดำทำให้ซูอี้ตัดสินใจได้ทันทีว่ามันคือพลังการจองจำแห่งยุคมืด!
ราวกับว่าได้ยินเสียงของอิงเชวีย ดวงตาที่ปิดอยู่ของมังกรเกล็ดดำก็ปรือขึ้น ดวงตาขุ่นมัวเต็มไปด้วยความเจ็บปวด มึนงง คุกคาม สับสน เห็นได้ชัดว่าไม่มีสติเหลืออยู่อีก
ทันใดนั้น มังกรเกล็ดดำคล้ายจะตื่นเต้น มันส่งเสียงคำรามอย่างบ้าคลั่งออกมาจากริมฝีปาก
“หลิ่วเชียนสิง นายท่านผู้นี้จะสังหารเจ้า! จะสังหารเจ้าซะ!!!”
เสียงสั่นสะเทือนห้องโถงเผยให้เห็นความเกลียดชังที่หาที่เปรียบมิได้
เมื่อเห็นมังกรเกล็ดดำที่กำลังดิ้นรนเพื่อจะพุ่งออกมา อิงเชวียก็หยิบแผ่นค่ายกลออกจากแขนเสื้อคลุม จากนั้นจึงหมุนมันอย่างแรง
ตูม!
แรงยับยั้งที่ปกคลุมรอบ ๆ ห้องโถงปรากฏขึ้น ราวกับโซ่ตรวนปราบมังกรเกล็ดดำอย่างแน่นหนา
“หลิ่วเชียนสิงคือผู้ใด?” ซูอี้ถาม
อิงเชวียแสดงสีหน้าเจ็บปวดและขุ่นเคือง ก่อนกล่าวว่า “คนผู้นี้คือนักดาบที่ใช้โอกาสที่ลอบโจมตียามบิดาของข้าข้ามภัยพิบัติมังกร คนผู้นี้เป็นผู้อาวุโสของสำนักดาบเทียนชู ซึ่งยามที่เขาโจมตีบิดาของข้า อีกฝ่ายเองก็ได้ถูกบิดาของข้าสังหารทิ้งไปแล้ว”
ซูอี้ตระหนักในทันใดว่า ไม่น่าแปลกใจเลยที่มังกรเกล็ดดำตนนี้จะเกลียดหลิ่วเชียนสิงนัก
เขาถามต่อว่า “ถ้าข้าเริ่มทำลายพลังการจองจำแห่งยุคมืด เกรงว่าบิดาของเจ้าจะตกตายทันทีโดยไม่มีมีโอกาสแม้แต่ดื่มชาสักถ้วย เจ้าพร้อมหรือไม่?”
อิงเชวียโค้งคำนับและคารวะ “ข้ารอวันนี้มานับพันปีแล้ว ขอสหายเต๋าโปรดช่วยปลดปล่อยบิดาของข้าให้พ้นจากความทุกข์ทรมานด้วย!”
ซูอี้พยักหน้า
เคร้ง!
ดาบนิลกาฬกลืนฟ้าเข้ามายังฝ่ามือของซูอี้ ตัวฝักดาบวิญญาณงดงามเหมือนท้องฟ้ายามค่ำคืน เผยให้เห็นประกายคมดาบราง ๆ ซึ่งดูคล้ายกับมีเงาภาพมายาของนกดุร้ายที่ไร้ผู้เทียบสยายปีกบินผ่านไป
“ช่างเป็นดาบวิญญาณที่ยอดเยี่ยม!”
อิงเชวียตกตะลึงไปยามเห็นความพิเศษของดาบนิลกาฬกลืนฟ้า และแม้แต่เงาของสัตว์ร้ายโหดเหี้ยมที่ปรากฏขึ้นบนตัวฝักดาบก็ทำให้เขาสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายอันตราย
วิญญาณที่ดุร้ายนี่มันอะไรกัน เหตุใดจึงมีกลิ่นอายดุร้ายและน่ากลัวยิ่งนัก?
ไม่ทันที่อิงเชวียจะทำความเข้าใจ ร่างกายก็พลันแข็งทื่อในทันใด ผิวรู้สึกปวดแสบ และจิตสัมผัสของเขาก็ถูกกดข่มอย่างหนักจากพลังของดาบ ทำเอาเขาตกใจจนวิญญาณเกือบจะหลุดออกจากร่าง นี่มันพลังอำนาจอันใดกัน!?
ด้วยการฝึกฝนขอบเขตการเปลี่ยนแปลงวิญญาณที่เขาสะกดมาเกือบพันปี ก็เพียงพอแล้วที่จะเหยียดหยันต้าเซี่ยในปัจจุบัน แต่ในเวลานี้ เขาเป็นเสมือนมดปลวกตัวเล็ก ๆ ที่ทำได้เพียงหวาดกลัวและสิ้นหวัง!
เกือบจะในเวลาเดียวกัน บนดาบนิลกาฬกลืนฟ้า บัญญัติกลืนวิญญาณก็เรืองแสงขึ้น เป็นแสงที่ส่องสว่างและใสกระจ่างอาบทั่วดาบ!
แต่ที่น่ากลัวกว่านั้นคือลมปราณที่แผ่ซ่านออกมาจากปลายดาบ
ลมปราณเป็นเหมือนหุบเหวลึก ทั้งมืดมนและลึกลับ ทว่ากลับแฝงเร้นไว้ซึ่งพลังน่าสะพรึงกลัวที่สามารถข้ามผ่านยุคสมัยและกดข่มสวรรค์
กลิ่นอายนี้ทำให้อิงเชวียที่อยู่ข้าง ๆ รู้สึกหวาดผวาและหวั่นกลัว
ฟ้าว!
ซูอี้ฟันออกไปหนึ่งดาบ
พุ่งตรงไปเขาโค้ง ปราณดาบที่มองไม่เห็นสายหนึ่งได้ฟันลงมา ซึ่งมังกรเกล็ดดำก็อดส่งเสียงคำรามออกมาไม่ได้ มันได้แต่ตัวสั่นเทา โดยไม่กล้าต่อสู้หรือต่อต้านเลย
แต่ดาบเล่มนี้ไม่ได้มุ่งเป้าไปที่มังกรเกล็ดดำ
ฉัวะ!
เสียงระเบิดเล็ก ๆ ดังขึ้น และการจองจำแห่งยุคมืดที่แผ่ขยายไปทั่วร่างของมังกรเกล็ดดำก็ดูราวกับเชือกที่ถูกตัดขาด ค่อย ๆ พังทลายลงทีละน้อย และในชั่วพริบตา มันก็สลายหายไป
แทบจะในเวลาเดียวกัน อิงเชวียซึ่งจิตสัมผัสถูกสะกดและตกอยู่ในความหวาดกลัวก็รู้สึกโล่งใจ ความรู้สึกสิ้นหวังและหมดหนทางได้หายไปแล้ว
ทว่า ราวกับว่าเขาเพิ่งรอดพ้นจากความตาย แผ่นหลังของเขาสั่นสะท้านด้วยความเหน็บหนาว สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปโดยสมบูรณ์ และอดไม่ได้ที่จะมองไปทางซูอี้ด้วยความกลัวอย่างสุดซึ้ง
ในเวลานี้ที่อิงเชวียมั่นใจอย่างไร้ข้อกังขาว่าคำพูดของซูอี้ที่เต็มไปด้วยการดูถูกบนฝั่งของผามังกรด้วนก่อนหน้านี้ และการปฏิบัติกับเขาเหมือนเหยื่อที่พร้อมถูกเชือดไม่ใช่เรื่องหลอกลวง
ชายหนุ่มขอบเขตไร้เบญจธัญผู้นี้มีพลังพอที่จะสังหารเขาจริง ๆ!
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ อิงเชวียก็ยิ่งดีใจมากขึ้นที่ตนเองไม่ได้ลงมือด้วยความหุนหันพลันแล่นก่อนหน้านี้ มิฉะนั้น ผลที่ตามมาคงไม่แตกต่างจากการรนหาที่ตาย
ในเวลานี้เอง มังกรเกล็ดดำที่นอนอยู่บนพื้นในห้องโถงก็สงบลงเล็กน้อย ภายในดวงตาคู่ที่มืดมน ค่อย ๆ ปรากฏสีสันใสกระจ่างขึ้นอย่างเงียบ ๆ ราวกับว่ามันค่อย ๆ ฟื้นคืนสติจากความมืดมิดที่ไม่มีที่สิ้นสุด
ฮึ่ม!
เมื่อเห็นฉากนี้ ซูอี้ก็เก็บดาบนิลกาฬกลืนฟ้าลง ก่อนหมุนตัวเดินออกจากห้องโถงไป “เวลาของบิดาของเจ้ากำลังจะหมดลงแล้ว จงพูดคุยกับเขาให้ดี ๆ”
“ขอบคุณสหายเต๋า!”
อิงเชวียโค้งคำนับ ท่าทีของเขาพลิกเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ
ก่อนหน้านี้ เขายังคงพึ่งพาฐานะและพลังฝึกฝนของตนเอง แม้ว่าเขาจะหวาดกลัวซูอี้ และมีท่าทีถ่อมตัวเอาใจใส่ แต่นั่นเป็นเพราะเขามีสิ่งที่ต้องการจากซูอี้
ทว่าตอนนี้เมื่อได้เห็นฝีมือของซูอี้แล้ว อิงเชวียก็ตกตะลึงไปกับพลังที่ซูอี้แสดงออกมา และไม่กล้าที่จะดูหมิ่นชายหนุ่มอีก
เพราะท้ายที่สุด นั่นคือพลังของการจองจำแห่งยุคมืด ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถช่วยอะไรได้ แม้จะอยู่ในขอบเขตวิถีวิญญาณเช่นนี้ เขาก็ทำได้เพียงเฝ้ามองบิดาตนอยู่ภายใต้ความทุกข์ทรมานจาก ‘การอยู่มิสู้ตาย’ มานับครั้งไม่ถ้วน
แต่ภายใต้ฝีมือของซูอี้ การจองจำแห่งยุคมืดกลับถูกกำจัดออกไปในดาบเดียว!
อิงเชวียจะไม่ตื่นตระหนกได้อย่างไร? เขาจะกล้าดูหมิ่นได้อย่างไร?
“บุตรชายข้า นั่นเจ้างั้นหรือ?”
เสียงที่แผ่วเบาและแหบห้าวดังก้องอยู่ในส่วนลึกของห้องโถงที่มืดมิดน่าหดหู่นี้
หัวใจของอิงเชวียสั่นสะท้าน ดวงตาของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดงด้วยความตื่นเต้น เขารีบก้าวไปข้างหน้า คุกเข่าลงแล้วก้มหน้างุด “พระบิดา ในที่สุดท่านก็ตื่นแล้ว!”
…
ฟู่!
หลังเดินออกจากห้องโถง ซูอี้ถอนหายใจยาว
มันเป็นเรื่องง่ายดายยิ่งที่จะทำลายการจองจำแห่งยุคมืด เพียงแค่ตัดมันด้วยลมปราณของดาบเก้าคุมขัง
ทว่า การยืมลมปราณของดาบเก้าคุมขังนั้นกินพลังวิญญาณของเขาไปมาก ซึ่งแม้เวลาจะผ่านไปนานแล้ว มันก็ยังส่งผลกระทบและสร้างบาดแผลให้กับจิตวิญญาณ
“พลังวิญญาณในปัจจุบันของข้าแข็งแกร่งกว่าตอนที่ข้าฆ่ามารเฒ่าหลีฮั่วและคนอื่น ๆ ในทะเลวิญญาณโกลาหลหลายเท่า แต่ถึงกระนั้นเมื่อข้าใช้ลมปราณของดาบเก้าคุมขัง ข้าก็ยังสามารถรองรับได้นานสุดเพียงเศษเสี้ยวของครึ่งชั่วยามเท่านั้น…”
“ถ้าฝืนยืมมันนานกว่าเศษเสี้ยวของครึ่งชั่วยาม จิตวิญญาณของข้าจะได้รับความเสียหายอย่างรุนแรง…”
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ คิ้วของซูอี้ก็แสดงอาการหมดหนทาง
นี่เป็นเพียงการใช้ลมปราณที่เป็นของดาบเก้าคุมขังเท่านั้น หากต้องการใช้ดาบเก้าคุมขังอย่างแท้จริง ไม่รู้ว่าจะใช้เวลานานแค่ไหนถึงจะทำได้
ในชีวิตก่อนหน้านี้เขาถูกเรียกว่าจักรพรรดิแห่งเก้ามหาแดนดิน และถึงแม้เขาจะสามารถใช้ดาบเก้าคุมขังได้ แต่เขาก็ใช้มันได้เพียงเศษเสี้ยวของครึ่งชั่วยามเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ซูอี้เองก็ตระหนักแล้วว่า ในอนาคตตราบใดที่เขาสามารถเข้าใจความลับของดาบเก้าคุมขังได้ ไม่ว่าระดับการฝึกฝนของเขาจะสูงต่ำเพียงใด เขาก็สามารถควบคุมดาบนี้ได้อย่างง่ายดาย!