บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 466 คุกเข่าอ้อนวอน
ตอนที่ 466: คุกเข่าอ้อนวอน
ตอนที่ 466: คุกเข่าอ้อนวอน
ในระหว่างที่ซูอี้ครุ่นคิดอยู่นั้น เขาก็ได้กลับเข้าไปในพระราชวังที่จัดงานเลี้ยงก่อนหน้านี้
“พี่ชายซูอี้ เรียบร้อยแล้วรึ?”
ชิงหยานำเนื้อกุ้งขาวราวหิมะที่แกะเปลือกออกแล้ววางไว้ด้านหน้าซูอี้ พลางเอ่ยถามอย่างใคร่รู้
ซูอี้ยิ้มพลางพยักหน้า เขาทานเนื้อกุ้งไปด้วย และดื่มไปด้วย
“เช่นนั้นแสดงว่าพี่ชายซูอี้มีวิธีจัดการกับ ‘การจองจำแห่งยุคมืด’ แล้วจริง ๆ?”
ชิงหยาเอ่ยด้วยความตกใจ
ประโยคนี้ทำให้จางอวิ๋นเทา เหวินซินจ้าวและคนอื่น ๆ หันมามอง
การจองจำแห่งยุคมืด! …ที่กักขังมหาทวีปคังชิงมานานนับสามหมื่นปี แม้แต่กลุ่มวิถีปราชญ์โบราณที่มีตัวตนในขอบเขตจักรพรรดิบัญชาการเหล่านั้น ต่างไร้หนทางแก้ไข และค่อย ๆ เสื่อมถอยล่มสลายไป
แล้วจะมีผู้ใดสามารถคลี่คลายพลังเช่นนี้ได้กัน?
หากเป็นเช่นนั้น บิดาของอิงเชวียผู้แข็งแกร่งที่อยู่ในขอบเขตวงล้อวิญญาณ จะถูกทรมานด้วยพลังจองจำแห่งยุคมืดมาจนถึงทุกวันนี้ได้อย่างไร?
เมื่อสัมผัสได้ถึงสายตาของทุกคน จู่ ๆ ซูอี้ก็นึกปัญหาหนึ่งขึ้นมาได้ สำหรับผู้ฝึกตนบนมหาทวีปคังชิงแล้ว การจองจำแห่งยุคมืดคือสิ่งชั่วร้ายที่มิอาจทำลายได้
หากให้ทุกคนรู้ว่าตนเองมีวิธีทำลายสิ่งชั่วร้ายนี้ เกรงว่าคงทำให้เกิดเรื่องวุ่นวายและยุ่งยากมากมายแน่
ซูอี้ไม่กลัวความยุ่งยาก แต่กลับกลัวความขัดแย้งวุ่นวายที่จะมาถึงตัวเขา
“โชคดี ในตอนที่อยู่ทะเลวิญญาณโกลาหล มีเพียงแค่ฮวาซิ่นเฟิงและคนอื่น ๆ ที่รู้ว่าข้ามีวิธีทำลาย ‘การจองจำแห่งยุคมืด’ นี้ และพวกเขาก็ไม่น่าจะนำเรื่องนี้แพร่งพรายออกไปง่าย ๆ”
“ส่วนซิงเหิงที่อยู่บนเรือเก็บดาว หากไม่รอให้แสงสว่างแห่งโลกกว้างมาถึง เกรงว่าเขาคงมิอาจหลุดพ้นการกักขังของ ‘การจองจำแห่งยุคมืด’ ได้”
“ต่อไป ขอแค่อิงเชวียปิดปากเงียบไว้ก็พอแล้ว”
เมื่อคิดอยู่ครู่หนึ่ง ซูอี้ก็เอ่ยขึ้น “สำหรับข้าแล้ว การช่วยบิดาของอิงเชวียให้หลุดพ้นจากการกักขังนี้ ไม่ใช่เรื่องที่ยากอะไร”
คำพูดนี้มีความหมายที่คลุมเครือ ทำให้ทุกคนคิดว่า ซูอี้ก็ไม่มีวิธีทำลาย ‘การจองจำแห่งยุคมืด’ ได้
สำหรับพวกเขาแล้ว คำตอบนี้ถึงจะเป็นคำตอบที่สมเหตุสมผลมากที่สุด
หนึ่งก้านธูปต่อมา
หลังจากที่อิงเชวียกลับมาแล้ว เขาก็คุกเข่าลงบนพื้น พลางคำนับไปทางซูอี้ และเอ่ยด้วยความเคารพ ภายใต้สายตางงงวยของทุกคนที่จับจ้อง “คุณชายซู ข้าอิงเชวียขอคำนับท่านแทนท่านพ่อ เพื่อแสดงมิตรภาพที่ท่านช่วยชีวิตเอาไว้!”
เขาคำนับอีกครั้ง และกล่าวว่า “ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป คุณชายซูคือผู้มีพระคุณยิ่งใหญ่ของตระกูลอิงสายเลือดมังกรเกล็ดดำเรา และจากนี้ไปไม่ว่าคุณชายจะให้เราทำสิ่งใด ตระกูลอิงจะไม่ปฏิเสธ จะบุกน้ำลุยไฟล้วนยอม และหากไม่ปฏิบัติตาม ขอให้ฟ้าผ่า เปลวไฟเผาไหม้ สวรรค์ลงโทษให้พังพินาศจนไม่ตายดี!”
เมื่อเอ่ยจบ เขาคำนับอีกครั้ง
น้ำเสียงเคารพที่ดังกังวาน ยังดังก้องอยู่ในอากาศ
ทั่วบริเวณล้วนเงียบสงัด ทุกคนต่างตกใจ!
ใครจะคิดเล่าว่า แค่ทำให้มังกรเกล็ดดำชราตัวหนึ่งหลุดพ้นจาก ‘ความตาย’ จะทำให้อิงเชวียซาบซึ้งใจจนมาถึงขั้นนี้?
และที่สำคัญ อิงเชวียคือมังกรเกล็ดดำขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณที่แกร่งกล้าอย่างมาก แต่เขากลับคำนับสามครั้ง และให้สัตย์ปฏิญาณทดแทนบุญคุณ แล้วใครจะไม่ตกใจกัน?
จางอวิ๋นเทานิ่งค้างไป ในใจรู้สึกสั่นเทิ้ม
หากได้รับการช่วยเหลือจากอิงเชวีย แล้วกองกำลังฝึกฝนภายในต้าเซี่ยไหนเลยจะกล้าเป็นศัตรูกับซูอี้ง่าย ๆ?
“คุณชายซู?”
แววตาของซูอี้วูบไหวเล็กน้อย
คำเรียกนี้ ทำให้เขานึกถึงช่วงเวลาที่แต่งเข้าไปเป็นลูกเขยตระกูลเหวินอยู่ที่เมืองกว่างหลิง นึกถึงเรือนเล็กเหมยอำพัน นึกถึงสหายเก่าในอดีต
แม้ว่าช่วงเวลานั้นจะห่างจากวันนี้ไม่ถึงครึ่งปี
แต่เมื่อได้ยินคำเรียกเช่นนี้อีกครา ซูอี้ก็อดรู้สึกทอดถอนใจออกมาไม่ได้
คิดยืนอยู่ปลายยอดสุดบนเส้นทางเต๋า ต้องบรรลุจนเข้าใจแจ่มแจ้งก่อน เฉกเช่นต้องเป็นศิษย์ก่อนจึงจะสามารถเป็นอาจารย์ได้
หากเอ่ยถึงศักดิ์ ก็เปรียบได้ว่า ‘ตัวเองต้องรู้ก่อนจึงจะสามารถสอนสั่งผู้อื่นได้’
กล่าวง่าย ๆ คือ คำว่า ‘คุณชาย’ สองคำนี้ บนเส้นทางการฝึกฝนคือคำเรียกที่แสดงความเคารพอย่างสูง!
“ลุกขึ้นเถิด” ซูอี้โบกมือ
แค่มองแวบเดียวเขาก็ดูออกแล้ว การคำนับและการกล่าวในครานี้ของอิงเชวียคือความรู้สึกที่จริงใจ ไม่ใช่เสแสร้งจริง ๆ
เพียงแต่ เขาไม่สนเรื่องเหล่านี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว
ถึงอย่างไรมนุษย์ก็ต้องมีการเปลี่ยนแปลง
ดูที่การกระทำไม่ใช่จิตใจ ก็เพียงพอแล้ว
อิงเชวียลุกขึ้นมาจากพื้น พลางก้มตัวเคารพไปทางเหวินซินจ้าวกับคนอื่น ๆ และกล่าว “คราแรกที่ได้พบกัน อิงผู้นี้ได้กระทำการล่วงเกินและทำผิดต่อทุกท่าน หวังว่าทุกท่านอย่าได้ถือโทษ”
จางอวิ๋นเทารีบลุกขึ้นและเคารพกลับอย่างลุกลี้ลุกลน พลางเอ่ย “ผู้อาวุโสอิงมิต้องทำเช่นนี้หรอก ที่วันนี้พวกเราโชคดีได้มาดื่มเหล้าสังสรรค์ในวังของผู้อาวุโส ก็ถือว่าเป็นเกียรติอย่างมากแล้ว”
เขาอยู่ในขอบเขตรวบรวมดารา เมื่อเผชิญหน้ากับมหาปีศาจวิถีวิญญาณอันน่าสะพรึงกลัวอย่างอิงเชวีย แค่เคารพยำเกรงก็ยังดูไม่มากพอ แล้วจะกล้ารับการเคารพจากอีกฝ่ายอย่างสบายใจได้อย่างไร?
ยิ่งไปกว่านั้น จางอวิ๋นเทาย่อมเข้าใจดี ที่อิงเชวียขอโทษคนเช่นเขา ก็เพราะเห็นแก่หน้าซูอี้
หากไม่เป็นเช่นนี้ เกรงว่าอิงเชวียคงไม่สนใจคนอย่างเขาแน่นอน
ครั้นเห็นจางอวิ๋นเทาลุกขึ้นทำความเคารพกลับ เหวินซินจ้าวจะนั่งอยู่เฉย ๆ ได้อย่างไร?
เพียงแต่ พวกเขายังไม่ทันได้ลุกขึ้น อิงเชวียก็ยิ้มพลางโบกมือ “ทุกท่านอย่าทำเช่นนี้เลย อิงผู้นี้แค่แสดงการขอโทษด้วยใจจริงก็เท่านั้น”
ในตอนที่เขาอยู่งานเลี้ยงก่อนหน้านี้ ก็เข้าใจได้แล้วว่า นอกจากจางอวิ๋นเทา เหวินซินจ้าว ชิงหยาและคนอื่น ๆ ต่างก็มีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับซูอี้อยู่บ้าง
ภายในสถานการณ์เช่นนี้ จะกล้าให้เหวินซินจ้าวและคนที่เหลือเคารพกลับได้อย่างไรกัน?
ซูอี้ที่เห็นภาพนี้ก็ไม่เอ่ยสิ่งใดมาก พลางลุกขึ้นยืน “สหายเต๋าอิง พวกเรามาคุยกันเป็นการส่วนตัวสักครู่หนึ่ง”
…..
ด้านนอกพระราชวัง
ซูอี้เริ่มเอ่ยทันที “ข้าหวังว่า เรื่องที่ช่วยบิดาเจ้าให้หลุดพ้นในวันนี้ จะไม่มีผู้ใดรู้อีก”
อิงเชวียเอ่ยด้วยความเคารพนอบน้อม “ไม่ปิดบังคุณชายซู ก่อนที่บิดาข้าจะจากไป ยังกำชับข้าถึงสามครั้งว่าอย่าได้แพร่งพายเรื่องนี้ออกไป ไม่เช่นนั้น จะทำให้คุณชายเกิดเรื่องวุ่นวายที่มิอาจคาดเดาได้ อิงผู้นี้จะปิดปากเงียบอย่างแน่นอน ดังนั้นคุณชายโปรดวางใจ!”
ซูอี้ยิ้มออกมา ก่อนเอ่ย “เช่นนั้นก็เท่านี้ และพวกเราก็ควรแยกจากกันได้แล้ว”
อิงเชวียรีบเอ่ยขึ้น “คุณชายซู อิงผู้นี้ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่อยากขอร้อง”
ซูอี้ขมวดคิ้วเล็กน้อย
อิงเชวียรู้สึกกังวลทันที และก้มตัวลงเคารพ “ก่อนบิดาข้าจะจากโลกนี้ไป ท่านหวังให้ข้าอิงผู้นี้คำนับเข้าสำนักของคุณชายซู คอยตามปรนนิบัติคุณชาย เพื่อตอบแทนบุญให้แก่คุณชายซู!”
มหาปีศาจขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณผู้หนึ่ง กลับอยากถวายชีวิตรับใช้สำนักของชายหนุ่มขอบเขตไร้เบญจธัญผู้หนึ่ง หากเรื่องนี้ถูกเผยแพร่ออกไป ทั่วทั้งใต้หล้าคงตกตะลึงอย่างแน่นอน!
ซูอี้ชะงักค้างไปครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยด้วยการแสร้งทำเป็นยิ้ม “บิดาเจ้าให้เจ้าทำเช่นนี้ คงมิใช่การตอบแทนธรรมดาสินะ?”
ทันใดนั้น อิงเชวียก็รู้สึกเหมือนกับว่าซูอี้ได้ล่วงรู้ความคิดของเขาทั้งหมดแล้ว พลันรู้สึกไม่สบายใจอยู่ครู่หนึ่ง
เขาไม่กล้าปิดบัง และกล่าวความจริงออกมา “หลังจากที่บิดาข้าล่วงรู้ความสามารถของคุณชาย ในใจนั้นรู้สึกตกใจและเลื่อมใสอย่างมาก ก่อนจะบอกด้วยความจริงออกมาว่า ในตอนที่เขาข้ามภัยพิบัติเพื่อกลายเป็นมังกรแท้ หากได้รับการช่วยเหลือจากคุณชายซู ก็คงไม่ต้องกลุ้มใจที่จะก้าวข้ามภัยพิบัติกลายเป็นมังกรไม่ได้!”
“และท่านพ่อยังบอกอีกว่า หากข้าสามารถถวายชีวิตรับใช้สำนักของคุณชายได้ ในยามที่มีโอกาสก้าวข้ามภัยพิบัติจนกลายเป็นมังกรได้ ก็จะไม่ซ้ำรอยเดิมเช่นท่านอีก”
เมื่อฟังจบ ซูอี้ก็เข้าใจในทันที
มังกรเกล็ดดำเฒ่าทุกข์ทรมานอยู่กับ ‘การจองจำแห่งยุคมืด’ มานานนับหนึ่งหมื่นสามพันปี จะอยู่ก็ไม่ได้จะตายก็ไม่ตาย จึงย่อมเข้าใจความน่าสะพรึงกลัวของ ‘การจองจำแห่งยุคมืด’ ดี
และตัวเขามีวิธีทำลาย ‘การจองจำแห่งยุคมืด’ จึงเป็นธรรมดาที่มังกรเกล็ดดำเฒ่าจะมองเขาสูงกว่าเดิม ในสถานการณ์เช่นนี้ จึงไม่แปลกใจเท่าไรที่อีกฝ่ายจะให้อิงเชวียมาเข้าร่วมสำนักของตัวเขา
ช่างน่าเสียดาย ซูอี้ไม่รับศิษย์ ผนวกกับมีหยวนเหิงอยู่ด้วย เขาจึงไม่มีความคิดที่จะรับใครมาปรนนิบัติอยู่เคียงข้างอีก
ความสามารถของอิงเชวียแข็งแกร่งมากจริง ๆ หากอยู่ในต้าเซี่ย คงยืนอยู่ในตำแหน่งสูงสุดได้
แต่สำหรับซูอี้ คนคอยปรนนิบัติคือคนรับใช้ที่ทำงานทั่วไป การฝึกฝนจะสูงต่ำหรือไม่นั้นไม่สำคัญ
ครั้นเห็นท่าทางที่เย็นชาของซูอี้ อิงเชวียก็คุกเข่าลงบนพื้นอีกครั้ง พลางก้มคำนับลงบนพื้น และเอ่ยขอร้องวิงวอน “อิงผู้นี้สาบานว่าจะรับใช้คุณชายไปจนตาย ขอคุณชายได้โปรดเก็บข้าเอาไว้ด้วย!”
มังกรเกล็ดดำขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณที่แกร่งกล้าตัวหนึ่ง กลับคุกเข่าคำนับซูอี้ครั้งแล้วครั้งเล่า!
ทว่าซูอี้กลับไม่สนใจ และยิ่งขมวดคิ้วขึ้นอีก “ดูเหมือนเรื่องเช่นนี้ข้าคงช่วยเจ้าไม่ได้ และหากเจ้ายังทำเช่นนี้อีก ก็อย่าหาว่าข้าใจร้ายตัดความสัมพันธ์อันดีนี้แล้วกัน”
ร่างกายอิงเชวียแข็งทื่อ พลางเอ่ยด้วยความขลาดกลัว “ขอคุณชายอย่าได้โมโหไปเลย อิงผู้นี้จะไม่ทำเช่นนี้อีก”
ในใจเขาเต็มไปด้วยความเสียใจและขมขื่น
ก่อนที่มังกรเกล็ดดำเฒ่าจะจากโลกนี้ไป ยังกำชับเขาถึงสามครั้งว่า นี่คือโอกาสครั้งใหญ่ที่จะพลิกโชคชะตาของอิงเชวีย ซึ่งหาได้ยากนับหมื่นปี และห้ามพลาดโอกาสนี้ไปอย่างเด็ดขาด
ในตอนแรกอิงเชวียคิดว่าด้วยความสามารถและพลังของตัวเอง ถ้าเขาขอให้ซูอี้ยอมรับด้วยความจริงใจก็จะไม่เป็นปัญหาใหญ่อะไร
แต่เขากลับไม่นึกเลยว่า… ซูอี้จะปฏิเสธ!
และดูเหมือนจะรู้สึกไม่พอใจอีกด้วย!
แล้วอิงเชวียจะไม่ตื่นตระหนกและเสียใจได้อย่างไร?
ครั้นเห็นท่าทางเช่นนั้นของอิงเชวีย ซูอี้ก็ครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยว่า “วันนี้ มารในใจของเจ้าถูกกำจัดไปหมดสิ้น และใกล้จะเข้าสู่การก้าวข้ามภัยพิบัติ เอาไว้เมื่อเจ้าก้าวเข้าสู่ขอบเขตสยายวิญญาณเมื่อไร ก็ค่อยมาหาข้าอีกครั้ง”
เมื่อเอ่ยจบ เขาก็หมุนตัวเดินเข้าไปในตำหนัก
อิงเชวียชะงักค้าง ทบทวนความหมายที่แฝงไว้ในคำพูดของซูอี้ทันที พลันความรู้สึกเสียใจถูกกวาดล้างออกไป ใบหน้าเต็มไปด้วยความดีใจอย่างขีดสุด
คุณชายซู… กำลังทดสอบข้าใช่หรือไม่?
ก้าวเข้าสู่ขอบเขตสยายวิญญาณ?
เขาอยู่ขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณมานานนับพันปี และวันนี้ก็ได้ขจัดมารในใจไป การจะบรรลุเข้าสู่ขอบเขตสยายวิญญาณจึงไม่เป็นปัญหาใหญ่อะไรอีก
เมื่อถึงตอนนั้น กลับไปพบกับคุณชายซูอีกครั้ง บางที… ตัวเขาก็อาจจะได้ถวายชีวิตรับใช้อยู่เคียงข้างคุณชายก็เป็นได้!
เมื่อนึกมาถึงตรงนี้ อิงเชวียสูดหายใจเข้าลึก ควบคุมความรู้สึกที่ตื่นเต้นเอาไว้ พลางลุกขึ้น
และก็เป็นในตอนนั้นเอง ที่กลุ่มของซูอี้เดินออกมาจากพระราชวัง ตัดสินใจที่จะเดินทางกลับ
อิงเชวียก้าวไปข้างหน้าเพื่อหวังรั้งเอาไว้ ทว่าครั้นเห็นว่าซูอี้และคนอื่น ๆ ตัดสินใจจะกลับไป เขาจึงได้ส่งซูอี้และคณะออกไปด้วยตนเอง
จางอวิ๋นเทาและคนอื่น ๆ สัมผัสได้ว่า คล้ายกับอิงเชวียอารมณ์ดีขึ้นมาก พูดคุยหัวเราะสนุกสนาน อ่อนโยนราวกับสายลมฤดูใบไม้ผลิ
เพียงแต่ในตอนที่เผชิญหน้ากับซูอี้ เขามีท่าทางระมัดระวังตัวและเคารพยำเกรง ราวกับ ‘ไม่กล้าเอ่ยเสียงดัง เพราะกลัวคนบนสวรรค์จะตกใจ’
‘เมื่อกลับถึงสำนักเมื่อใด จะต้องรายงานเรื่องในคืนนี้ให้แก่สำนัก!’
จางอวิ๋นเทาแอบคิด
เดิมทีที่ซูอี้สังหารฮั่วอวิ๋นเซิงและคนอื่น ๆ ทำให้จางอวิ๋นเทาคาดเดาได้เลย ว่าหลังจากที่วังเทพสวรรค์เมฆารู้ข่าวแล้ว คงจะไม่ปล่อยเรื่องนี้ไปแน่
ทว่ายามนี้ ซูอี้กลับมีมหาปีศาจขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณอยู่เคียงข้าง!
ในสถานการณ์เช่นนี้ หากวังเทพสวรรค์เมฆาอยากจะจัดการกับซูอี้ เกรงว่าคงต้องไต่รตรองผลที่ตามมาอย่างจริงจังเสียแล้ว
เมื่อนึกมาถึงตรงนี้ จางอวิ๋นเทาก็รู้สึกทอดถอนใจออกมาชั่วครู่หนึ่ง
เมื่อถามกับตัวเอง แม้เขาจะเคยพ่ายแพ้ต่อซูอี้ แต่กลับไม่โกรธเกลียดใด ๆ เลยแม้แต่น้อย และอีกอย่างความสามารถเขาก็นับว่าด้อยกว่าคนอื่น เช่นนี้แล้วจะโทษใครได้อีกเล่า?
หากเป็นไปได้ เขาก็ไม่อยากให้วังเทพสวรรค์เมฆามองซูอี้เป็นศัตรูเพราะเรื่องของฮั่วอวิ๋นเซิงและคนอื่น ๆ
ยามนี้ หากสำนักรู้ว่าข้างกายซูอี้ยังมีมหาปีศาจขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณที่แข็งแกร่งอย่างอิงเชวียอยู่ด้วย จะต้องไตร่ตรองก่อนทำอะไรแน่!
และก็เป็นในตอนนี้เอง ที่น้ำเสียงอ่อนโยนดั่งฤดูใบไม้ผลิของอิงเชวียดังเข้ามาในหูของจางอวิ๋นเทา
“สหายเต๋าจาง เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ช่างซับซ้อนวุ่นวายอย่างมาก ผู้แก่กล้าอย่างคุณชายซู ไม่อยากให้แพร่งพรายเรื่องเหล่านี้ออกไป และอิงผู้นี้มิอาจนิ่งดูดายต่อคำสั่งนั้นได้”
“สรุปคือ เรื่องในวันนี้ อย่าให้ผู้ใดรู้อีก สหายจางคงจะเข้าใจความหมายของอิงผู้นี้ใช่หรือไม่?”
เมื่อฟังจบ นัยน์ตาของจางอวิ๋นเทาพลันหดลงทันใด