บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 467 ศัตรูโจมตี
ตอนที่ 467: ศัตรูโจมตี
ตอนที่ 467: ศัตรูโจมตี
จางอวิ๋นเทาเพิ่งคิดเมื่อครู่ว่าจะรายงานเรื่องในคืนนี้ หลังจากกลับไปถึงสำนักแล้ว
แต่ไม่นึกเลยว่า คล้ายกับอิงเชวียจะมองความคิดเขาออก จึงกล่าว ‘เตือน’ ขึ้นมา!
จางอวิ๋นเทาเคลื่อนสายตาไปมา และมองเห็นรอยยิ้มที่อ่อนโยนของอิงเชวีย
แต่เมื่อสายตาปะทะเข้ากับดวงตาสีน้ำตาลอมเหลืองคู่นั้นของอีกฝ่าย กลับทำให้จางอวิ๋นเทาสั่นเทาขึ้นมา พลางรู้สึกเสียวสันหลัง
คำเตือนของมหาปีศาจระดับขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณผู้หนึ่ง จางอวิ๋นเทาจะไม่ให้ความสำคัญได้อย่างไร?
“ผู้อาวุโสโปรดวางใจ จางผู้นี้จะไม่แพร่งพรายเรื่องนี้ออกไปอย่างแน่นอน!”
จางอวิ๋นเทาสูดหายใจเข้าลึก ก่อนตอบกลับไป
“ฮ่า ๆ สหายเต๋าจางอย่าได้คิดสิ่งใดมาก หากในอนาคตมีโอกาส จะเดินทางไปเยี่ยมเยือนสหายเต๋าที่วังเทพสวรรค์เมฆาอย่างแน่นอน และเมื่อถึงตอนนั้น สหายเต๋าก็ห้ามปฏิเสธข้าที่เป็นคนนอกนะ”
อิงเชวียหัวเราะเสียงดังออกมา
จางอวิ๋นเทารู้สึกเคร่งขรึมขึ้น ใครจะฟังไม่ออกกัน อิงเชวียจะบอกว่า ข้ารู้ว่าเจ้ามาจากวังเทพสวรรค์เมฆา ในอนาคตอย่างไรก็หาเจ้าเจอ!
“จริงสิ ผู้ควบคุมวังเทพสวรรค์เมฆาในยามนี้ คงเป็นฟู่เพ่ยอวี่สินะ?”
คล้ายกับอิงเชวียเอ่ยถามด้วยท่าทางไม่ใส่ใจ
“ถูกต้อง”
จางอวิ๋นเทาพยักหน้า
“ราว ๆ สามร้อยปีก่อน ข้าโชคดีเคยมีโอกาสได้พบกับผู้ควบคุมสำนักของพวกเจ้าในการประชุมสมัชชาวิถีที่นครหลวงจิ๋วติ่งแห่งต้าเซี่ย และรู้สึกชื่นชมเลื่อมใสต่อความสามารถของนางมาก”
นัยน์ตาของอิงเชวียเจือไปด้วยความระลึกถึง
จางอวิ๋นเทาตะลึงค้าง ก่อนเอ่ย “ผู้อาวุโส ที่ท่านพูดถึงคือ‘งานชุมนุมทดสอบดาบ’ ที่จัดขึ้นโดยสำนักดาบเทียนชูเมื่อสามร้อยปีก่อนรึ?”
“ถูกต้อง ตอนนั้นข้าไปเข้าร่วมในนาม ‘ต้วนฉางเซิง’ เดิมทีตั้งใจว่าจะเชือดคู่ต่อสู้แห่งสำนักดาบเทียนชูสักสองสามคนด้วยตัวเอง แต่น่าเสียดายสถานการณ์ตอนนั้นไม่อำนวยต่อข้า และในสถานการณ์ที่ไม่มีทางเลือกนั้น ข้าจึงทำได้แค่สละสิทธิ์ไป”
อิงเชวียถอนหายใจออกมาเบา ๆ
กาลก่อนมังกรเกล็ดดำเฒ่าบิดาของเขาอยู่ในระหว่างการก้าวข้ามภัยพิบัติกลายเป็นมังกร และถูกนักดาบหลิ่วเชียนสิง ลอบโจมตี
และหลิ่วเชียนสิงผู้นี้ก็มาจากสำนักดาบเทียนชู!
แม้คนผู้นี้จะถูกมังกรเกล็ดดำเฒ่ากลืนลงไปแล้ว ทว่าอินเชวียก็ยังคงชังผู้ฝึกตนแห่งสำนักดาบเทียนชูจนเข้ากระดูกดำ
ที่เขาเข้าร่วม ‘งานชุมนุมทดสอบดาบ’ ที่นครหลวงจิ๋วติ่งในตอนนั้น ก็เป็นเพราะอยากสังหารคนของสำนักดาบเทียนชูสองสามคน แต่สุดท้ายก็มิอาจสมความปรารถนา
“ต้วนฉางเซิง!? ที่แท้คนที่ทำให้บุคคลลึกลับในขอบเขตวิถีวิญญาณทั้งสามคนพ่ายแพ้ในการชุมนุมทดสอบดาบ ก็คือผู้อาวุโสเองรึ?”
จางอวิ๋นเทาตะลึงค้าง และตกใจอย่างมาก
เมื่อสามร้อยปีก่อน ‘การชุมนุมทดสอบดาบ’ ได้ทำให้ชื่อต้วนฉางเซิงดังขจรไปทั่วใต้หล้า
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาผู้ฝึกตนแห่งต้าเซี่ยต่างรู้ว่า ในบรรดาผู้ฝึกตนขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณในโลกนี้ ยังมีคนที่เก่งกาจอย่างต้วนฉางเซิงอยู่
แต่ความเป็นมาของต้วนฉางเซิงนั้น จนถึงยามนี้ก็ยังไม่มีผู้ใดรู้
และจางอวิ๋นเทานึกไม่ถึงเลยว่า ต้วนฉางเซิงคืออิงเชวียที่อยู่ตรงหน้าเขา!
“ฮ่า ๆ มันคือเรื่องในอดีตไปแล้ว และไม่คุ้มที่จะเอ่ยถึงมันอีก”
อินเชวียยิ้มพลางส่ายหน้า
จางอวิ๋นเทามีจิตใจที่ว้าวุ่น
เขาจะไม่เข้าใจได้อย่างไร ที่อินเชวียเล่ามามากมายขนาดนี้ เพียงแค่เตือนตัวเขา ให้ตัวเขานั้นสงบปากสงบคำไว้ อย่าได้นำเรื่องในวันนี้เผยแพร่ออกไป?
จางอวิ๋นเทาลอบเอ่ยในใจ ‘ไม่ว่าอย่างไร ต่อให้ไม่เอ่ยถึงเรื่องในวันนี้ ข้าก็ต้องขัดขวางสำนักไม่ให้เป็นศัตรูกับซูอี้ให้ได้’
เมื่อนึกมาถึงตรงนี้ เขากลับรู้สึกขาดความมั่นใจเล็กน้อย
ในวังเทพสวรรค์เมฆา เขาเป็นแค่ผู้อาวุโสสายนอก แม้มีตำแหน่งที่สูง แต่เมื่อเทียบกับบุคคลโด่งดังเหล่านั้นในสำนัก…
ในสถานการณ์เช่นนี้ ทางสำนักจะฟังคำเตือนของเขาหรือ?
จางอวิ๋นเทารู้สึกสับสนวุ่นวายดั่งด้ายที่พันกัน
“เจ้ากำลังคุยอะไรกับพวกเขา?”
น้ำเสียงของซูอี้ดังออกมา สายตามองไปทางอิงเชวีย เขาสัมผัสได้นานแล้วว่าจางอวิ๋นเทามีท่าทางแปลกไปเล็กน้อย
อิงเชวียเผยท่าทางที่เคารพออกมา พลางเอ่ย “เรียนคุณชายซู ข้าเพียงแค่เตือนสหายเต๋าจางว่าอย่าได้นำเรื่องในวันนี้แพร่งพรายออกไป แค่กังวลว่าหากทางวังเทพสวรรค์เมฆารู้เรื่องเข้า จะนำความวุ่นวายมาให้แก่คุณชาย”
ซูอี้เลิกคิ้วขึ้นครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ย “นี่เจ้าจงใจรึ”
อิงเชวียยิ่งเอ่ยด้วยท่าทางถ่อมตัว “นี่คือสิ่งที่อิงผู้นี้ควรทำ”
ในระหว่างที่สนทนากันนั้น กลุ่มคนเหล่านี้ก็ออกมาจากพระราชวังแล้ว และทะยานไปทางแม่น้ำมังกรคลั่ง
…..
ราตรีมืดมิด และใกล้จะรุ่งสางแล้ว
บนเรือล่องล้อเมฆา ริมผามังกรด้วน
“แม่นางอย่าได้กลัวไปเลย เจ้าคือศิษย์วังเทพสวรรค์เมฆา ข้าลี่เมี่ยวหงจะไม่ทำให้เจ้าลำบากใจแน่นอน”
ในตำหนักหนึ่ง ลี่เมี่ยวหงนั่งอยู่บนเก้าอี้อย่างตามใจ พลางหลับตาและผ่อนคลายลง
เขาสวมชุดกันลมไฟ รูปร่างกำยำสูงใหญ่ หนวดผมเผ้าดุจน้ำหมึก ผิวขาวราวกับหยก ใบหน้าเขาคล้ายกับน้องสาวเขาฮูหยินเมี่ยวหัวอย่างมาก
แม้กลิ่นอายทั่วร่างเขาจะถูกกักเก็บไว้ ทว่ากลิ่นอายขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณนั้นยังคงทำให้เริ่นโหยวโหย่วรู้สึกสั่นกลัวชั่วครู่หนึ่ง
“ผู้อาวุโส ข้าได้บอกสิ่งที่ข้ารู้ให้แก่ท่านไปหมดแล้ว ส่วนซูอี้และคนอื่น ๆ ไปที่แห่งใดนั้น ข้า… ข้าไม่รู้จริง ๆ”
เริ่นโหยวโหย่วเอ่ยเสียงสั่น
เมื่อครู่นี้ จู่ ๆ ลี่เมี่ยวหงก็มาปรากฏตัวอยู่ที่ห้องนางราวกับผีสางจนทำให้นางตกใจหน้าเสีย
จนกระทั่งรู้ฐานะของลี่เมี่ยวหง รวมถึงจุดประสงค์ที่มานี้ เริ่นโหยวโหย่วถึงได้ผ่อนลมหายใจออกมา และค่อย ๆ สงบลง
ลี่เมี่ยวหงถามนางเกี่ยวกับเรื่องของซูอี้มากมาย
แต่เริ่นโหยวโหย่วรู้จักกับซูอี้ได้ไม่นาน และความสัมพันธ์นั้นไม่ถึงกับดีมากนัก จึงได้ทำได้แค่บอกในสิ่งที่นางรู้ให้แก่ลี่เมี่ยวหง
อย่างเช่นเรื่องที่เกิดในงานชุมนุมหลิงชวี
เรื่องของตระกูลจั่วแห่งแคว้นอวี้ผิงที่ผ่านมาก่อนหน้านี้ได้ไม่นาน
“พวกเจ้าเดินทางมาด้วยกัน เหตุใดเจ้าถึงไม่รู้ว่าพวกเขาไปที่ใด?”
ลี่เมี่ยวหงเอ่ยถามอย่างไม่รีบร้อน “หรือเมื่อครู่ เกิดเหตุร้ายอะไรขึ้น?”
เริ่นโหยวโหย่วรู้สึกสั่นกลัว พลางรีบเอ่ย “ผู้น้อยอยู่แต่ในห้องมาโดยตลอด จึงไม่รู้ว่าเมื่อครู่เกิดสิ่งใดขึ้นจริง ๆ เพียงแต่ ข้าได้ยินราง ๆ ว่าด้านนอกนั้นมีเสียงฟ้าผ่ากับฝนตกหนักดังขึ้น แต่ไม่นานมันก็กลับไปเงียบสงบลงเหมือนเดิม”
“เสียงพายุฟ้าคะนอง?”
ลี่เมี่ยวหงขมวดคิ้วเล็กน้อย และจมสู่ห้วงแห่งความคิด
เขาออกจากสำนักเต๋าชิงอี่ในครานี้ เพื่อมาสังหารซูอี้และแก้แค้นแทนน้องสาวของเขา ฮูหยินเมี่ยวหัว
ตลอดทางที่ไล่ตามจนมาถึงที่นี่ ไม่ง่ายเลยที่จะคว้าโอกาสนี้ไว้ แต่ไม่นึกเลยว่าจะไม่เจอซูอี้
นี่จึงทำให้เขารู้สึกกลุ้มใจไปชั่วครู่หนึ่ง
“ผู้อาวุโส ท่านมาครานี้เพราะจะมาสังหารซูอี้รึ?”
ครั้นเห็นลี่เมี่ยวหงไม่เอ่ยสิ่งใดออกมาอยู่นาน เริ่นโหยวโหย่วจึงทำใจกล้าเอ่ยถามขึ้น
“ถูกต้อง”
ลี่เมี่ยวหงพยักหน้า ท่าทางเย็นชา “หากไม่สังหารชายผู้นี้ คงไม่เพียงพอที่จะระบายความเกลียดชังของข้าได้!”
เริ่นโหยวโหย่วรู้สึกฮึกเหิมขึ้นมา “ซูอี้เอ๋ยซูอี้ แม้เจ้าจะเก่งกาจเพียงใด เกรงว่าครานี้คงมิอาจหลบหนีจากหายนะนี้ไปได้แน่!”
ถูกผู้ฝึกตนขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณจับจ้องเอาไว้ แล้วจะมีชีวิตรอดไปได้อย่างไร?
ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงตัวตนของลี่เมี่ยวหง ที่เป็นผู้อาวุโสสายในสามอันดับแรกแห่งสำนักเต๋าชิงอี่ ‘ปราชญ์เมี่ยวหง’ ที่มีชื่อเสียงดังขจรไปทั่วต้าเซี่ย!
“ดูเหมือนเจ้า… จะดีใจมาก?”
ลี่เมี่ยวหงรู้สึกถึงท่าทางที่เปลี่ยนเป็นลุ่มลึกของเริ่นโหยวโหย่ว
เริ่นโหยวโหย่วสูดหายใจเข้าลึก ก่อนเอ่ย “ไม่ปิดบังผู้อาวุโส ในระหว่างทางก่อนหน้านี้ ซูอี้ผู้นี้แสดงอำนาจบาตรใหญ่ สังหารศิษย์สามคนของวังเทพสวรรค์เมฆา แม้แต่ผู้อาวุโสจางอวิ๋นเทาก็พลอยมัวเมาในอำนาจ กล้าโมโหแต่มิกล้าเอ่ย”
เมื่อพักไปครู่หนึ่ง นางจึงเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงที่ขมขื่นเล็กน้อย “ส่วนผู้น้อยนั้นวิตกกังวลมาตลอดทาง อยู่แต่ในห้อง มิกล้าพบหน้าคนที่ดุร้ายเช่นนั้น นี่คือเหตุผลที่ว่าเหตุใดคืนนี้ข้าไม่รู้ว่าซูอี้ไปที่แห่งใด”
ลี่เมี่ยวหงเอ่ยอย่างแปลกใจ “ไม่นึกเลยว่าเขาจะบ้าคลั่งกล้าลงมือกับคนของวังเทพสวรรค์เมฆาของพวกเจ้า?”
เขาแปลกใจมากจริง ๆ
ชายหนุ่มคนหนึ่งที่มาจากต้าโจว มีพลังเหนือสวรรค์ แต่สุดท้ายก็มีการฝึกฝนแค่ขอบเขตไร้เบญจธัญเท่านั้น เหตุใดถึงได้ใจกล้าสังหารศิษย์ของกลุ่มวิถีปราชญ์สูงสุดกลุ่มหนึ่งได้?
ช่างใช้ชีวิตด้วยความใจร้อนเสียจริง!
เริ่นโหยวโหย่วลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยขึ้นเสียงเบา “ผู้อาวุโส ข้าว่าเมื่อซูอี้กลับมาแล้ว ท่านต้องระวังตัวไว้ แม้แต่ปีศาจเหล่านั้นก็มิอาจเทียบกับคนผู้นี้ได้ ความสามารถนั้นก็มีมากมาย…”
ลี่เมี่ยวหงโบกมือขัด และเอ่ยอย่างเย็นชา “แม่นาง เจ้ารู้ความต่างระหว่างผู้ฝึกตนวิถีต้นกำเนิดกับผู้ฝึกตนวิถีวิญญาณว่ามีความห่างกันมากแค่ไหนหรือไม่?”
เริ่นโหยวโหย่วเอ่ยโดยไม่ต้องคิด “แน่นอนว่าต้องต่างกันราวฟ้ากับดิน ข้าเคยได้ยินผู้อาวุโสในสำนักบอกว่า ในสายตาของผู้ฝึกตนวิถีต้นกำเนิด นักรบธรรมดาล้วนอ่อนแอเหมือนมดแมลง เช่นเดียวกันนั้น… เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้ฝึกตนวิถีวิญญาณ ผู้ฝึกตนวิถีต้นกำเนิดก็ไม่ต่างอะไรกับมดแมลงตัวจ้อยเช่นกัน”
ลี่เมี่ยวหงดีดนิ้ว พลางเอ่ยด้วยท่าทางทะนงตัว “เช่นนั้นเจ้าว่า หากข้าสังหารแมลงตัวหนึ่ง ยังต้องเจออันตรายอะไรอีกรึ?”
เริ่นโหยวโหย่วเผยสีหน้าละอายใจออกมา “ที่ผู้น้อยเอ่ยออกมาเมื่อครู่นั้นคงกังวลมากเกินไป ด้วยความสามารถและกลอุบายของผู้อาวุโส แม้พลังของซูอี้จะมีเหนือฟ้ามากเพียงใด ก็เป็นได้แค่… ไอ้ขยะดั่งแมลงธรรมดา มิอาจพลิกชะตาฟ้าได้”
ลี่เมี่ยวหงยิ้มออกมา พลางกล่าว “ไม่หรอก ที่เจ้าเตือนมาเมื่อครู่ไม่ผิดหรอก ซูอี้คนนี้มิอาจตัดสินด้วยสามัญสำนึกได้ ในเมื่อเขากล้าที่จะหยิ่งผยองเช่นนี้ เขาต้องมีไพ่ตายอยู่ในมือมากมายแน่ และหากเขาปรากฏตัวต่อหน้าข้า ข้าก็จะใช้พลังแห่งสายฟ้าสังหารเขา ไม่ให้เขามีโอกาสได้ใช้ไพ่ไม้ตาย!”
สิงโตตะครุบจับกระต่าย ต้องใช้พลังทั้งหมดเช่นกัน
เขาลี่เมี่ยวหงมีประสบการณ์มาอย่างโชกโชน จะไม่ดูถูกศัตรูคนไหนอย่างแน่นอน
เมื่อเริ่นโหยวโหย่วได้ยินเช่นนี้ ก็อดถอนหายใจยาวออกมาไม่ได้
ลี่เมี่ยวหงขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนเอ่ย “เหตุใดเจ้าถึงถอนหายใจ?”
เริ่นโหยวโหย่วเอ่ยเสียงเบา “ที่ข้าถอนหายใจ เพราะซูอี้นับว่าเป็นบุคคลยอดเยี่ยมคนหนึ่งบนเส้นทางวิถีต้นกำเนิด แต่คืนนี้เขาจะต้องกลายเป็นผีเพราะถูกผู้อาวุโสสังหาร นี่อาจเรียกว่าสวรรค์ลงทัณฑ์ พลอยให้ข้ารู้สึกทอดถอนใจ ตระหนักว่าการเป็นมนุษย์จะต้องถ่อมตัวเล็กน้อยและไม่เป็นจุดสนใจถึงจะดี”
ลี่เมี่ยวหงชะงักค้างครู่หนึ่ง ก่อนหัวเราะเสียงดังขึ้นมาอย่างทนไม่ไหว
แม่นางผู้นี้ ช่างเข้าใจพูดจริง ๆ!
ในตอนนั้นเอง ลี่เมี่ยวหงพลันสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง แววตาเปลี่ยนเป็นเย็นชาขึ้น ลมปราณที่กักเก็บเอาไว้พลันระเบิดออกทันที
“ในที่สุดก็มาแล้ว!”
ยามนี้ ความรู้สึกชังและจิตสังหารที่สะสมเอาไว้นานได้พรั่งพรูออกมาดั่งน้ำตก ราวกับใกล้จะควบคุมเอาไว้ไม่ไหวแล้ว
ลมปราณที่เขาแสดงออกมาในขณะนั้นรุนแรงเกินไป ทำให้เริ่นโหยวโหย่วหายใจไม่ออก ร่างกายของนางอ่อนปวกเปียก แล้วล้มลงกับพื้น ใบหน้าซีดเซียวและเต็มไปด้วยความกลัว
อานุภาพของผู้ฝึกตนวิถีวิญญาณ สำหรับผู้ฝึกตนขอบเขตไร้เบญจธัญอย่างนาง มันช่างน่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก
“แม่นาง รอข้าสังหารซูอี้ได้เมื่อใด ข้าจะนำหัวมันมาให้เจ้าได้ระบายความเกลียดชังที่อยู่ในใจ”
ในน้ำเสียงนั้นไม่มีความทุกข์ร้อนใด ๆ พลันร่างลี่เมี่ยวหงก็หายวับไป เหลือแต่ความว่างเปล่า
“ซูอี้? เขากลับมาแล้วรึ?”
เริ่นโหยวโหย่วชะงักค้างไปครู่หนึ่ง ก่อนฮึกเหิมขึ้นมาทันที และรีบลุกขึ้นพุ่งออกไปนอกตำหนัก
นางอยากเห็นกับตาตัวเองว่าซูอี้จะถูกสังหารอย่างไร!
ท้องฟ้ายิ่งมืดขึ้น
ริมผามังกรด้วน
เมื่อกลุ่มของซูอี้เพิ่งทะยานผ่านผิวน้ำมา น้ำเสียงทรงพลังเยือกเย็นเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น คล้ายกับเสียงฟ้าร้องที่ดังโครมครามอยู่ในความมืด
“ซูอี้ ไอ้สารเลวจงฟังให้ดี ข้าลี่เมี่ยวหงแห่งสำนักเต๋าชิงอี่ จะมาเอาชีวิตของเจ้าไปในค่ำคืนนี้ เพื่อปลอบประโลมให้แก่ดวงวิญญาณน้องสาวข้าฮูหยินเมี่ยวหัวที่อยู่บนสวรรค์!”