บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 469 ความลับของถ้ำเปิดทวาร
ตอนที่ 469: ความลับของถ้ำเปิดทวาร
ตอนที่ 469: ความลับของถ้ำเปิดทวาร
เมื่ออิงเชวียกล่าวเช่นนี้ ก็ทำให้ลี่เมี่ยวหงโกรธจนตัวสั่น และรู้สึกอับอายขายหน้ามาก
ฝึกตนมาจนถึงตอนนี้ เขายังไม่เคยได้รับความอับอายเช่นนี้มาก่อน นับว่าคราวนี้ตัวเองถูกเหยียบย่ำศักดิ์ศรีอย่างแรง!
มีชั่วครู่หนึ่งที่เขาเกิดความคิดอยากจะสู้ตายโดยไม่สนใจอะไรอีก
แต่ท้ายสุด ลี่เมี่ยวหงยังคงอดกลั้นไว้ได้
ฝ่ามือของอิงเชวียเมื่อสักครู่ช่างน่ากลัวเสียเหลือเกิน และมันยังทำให้เขารู้ว่าความสามารถของตนเองยังห่างไกลจากอิงเชวียถึงเพียงใด
หากว่าเขาดูไม่ผิด อิงเชวียคงจะเป็นผู้ร้ายกาจในขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณขั้นสมบูรณ์!
เช่นนี้จะต่อสู้อย่างไรได้อีก?
ชั่วขณะที่เกิดความคิด ลี่เมี่ยวหงสูดลมหายใจลึก ๆ ทีหนึ่ง กล่าวด้วยสีหน้าคร่ำเคร่ง “บัญชีแค้นนี้ ไม่ช้าก็เร็วสำนักเต๋าชิงอี่ของข้าจะต้องคิดบัญชีกับเจ้าแน่!”
เสียงยังคงดังก้อง ทว่าร่างของเขาลับหายไปกลางอากาศ
หนีไปดื้อ ๆ เช่นนี้เลยรึ!?
ภาพเหตุการณ์เช่นนี้ทำให้พวกของจางอวิ๋นเทากับเหวินซินจ้าวแทบไม่ทันตั้งตัว
ทว่าอิงเชวียกลับปล่อยหัวเราะเสียงดัง “คาดไว้แล้วว่าเจ้าจะต้องหนี เป็นไปได้อย่างไรที่ข้าจะไม่ป้องกันไว้ก่อน?”
ขณะที่พูด เขาก็ยกเท้าถีบอากาศ พูดถ้อยคำประหลาด
“โฮก…!”
ราวกับเสียงมังกรคำรามก้องทั่วปฐพี ภูเขาลำน้ำรอบด้านสั่นสะเทือน เมฆบนฟ้าสลายตัว
สามารถมองเห็นคลื่นพลังไร้รูปร่างกำลังเคลื่อนไหวราวกับคลื่นที่ผุดขึ้นมาเรื่อย ๆ จากนั้นแผ่กระจายออกไป
ครืน!
ทุก ๆ คนรู้สึกได้ว่าแผ่นดินกำลังสั่นสะเทือน ลำธารภูเขาอยู่ในความโกลาหล ทุกอย่างตรงหน้าคล้ายกับกำลังจะแตกสลายย่อยยับ แต่ละคนรู้สึกหนาววาบถึงสันหลัง
นี่คือพลังอันใดกัน!?
“ช่างฟุ่มเฟือยเหลือเกิน…”
ซูอี้นวดหัวคิ้วขึ้นมา ไม่รู้จะพูดอย่างไรดี
การโจมตีครั้งนี้ของอิงเชวีย เขาใช้ปราณทั้งหมดที่มีในตัว โดยใช้ปราณแห่งขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณเข้าครอบคลุมไปรอบด้าน และชักนำพลังอากาศให้เกิดเป็นปรากฏการณ์ยิ่งใหญ่ในรูปแบบ ‘ฟ้าดินเป็นใจให้ข้า’
ทว่าทำเช่นนี้ กลับดูค่อนข้างอหังการจนไร้ขอบเขตเกินไป ถึงแม้จะมีความน่าสะพรึงกลัว ทว่ากลับสูญเสียพลังไปมากโดยไม่จำเป็น
เพราะอย่างไรเสีย ฆ่าผู้ฝึกตนขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณขั้นกลางที่กำลังหลบหนี จำเป็นต้องทำให้เป็นเรื่องใหญ่ถึงเพียงนี้ด้วยหรือ?
ลงมือทีเดียวก็สิ้นเรื่องแล้ว!
ทว่า ซูอี้ก็มองออกเช่นกันว่าที่อิงเชวียสกัดฆ่าลี่เมี่ยวหงเช่นนี้ยังเป็นเรื่องรอง หลัก ๆ คือต้องการให้ตนเองมองเห็นความสามารถของเขา…
เรื่องนี้นอกจากทำให้ซูอี้หมดคำจะพูดแล้ว ยังรู้สึกทำหน้าไม่ถูกอีกด้วย เพื่อให้ได้มาซึ่งการยอมรับของตนเอง ถึงกับพยายามอย่างสุดฤทธิ์เช่นนี้เลยเชียวหรือ?
ปัง!
คลื่นไร้รูปร่างแผ่กระจายออกไปไกลหลายพันจั้ง ร่างของลี่เมี่ยวหงสะเทือนจนปรากฏออกมา ตัวเซถลา สีหน้าขาวซีด
ไม่ได้การ!
เขาสะบัดแขนเสื้อ หยิบคันฉ่องสีม่วงใสเป็นประกายรอบตัวออกมา จากนั้นปล่อยแสงสว่างเจิดจ้าเพื่อบดบังตัว
คันฉ่องหยุดภูเขาพลังม่วง!
สมบัติล้ำค่าวิถีวิญญาณซึ่งมีความลี้ลับมหัศจรรย์ เวลาที่ถูกโจมตี พลังของคันฉ่องจะสกัดกั้นการโจมตีอย่างง่ายดายดุจดั่งใช้กำลังน้อยสยบกำลังมาก
อานุภาพเช่นนั้นเพียงพอที่จะขจัดกำลังการโจมตีของบุคคลในระดับเดียวกัน!
ฉึบ!
ทว่าเพียงแค่ชั่วพริบตาก็เกิดระเบิดเสียงดัง คันฉ่องหยุดภูเขาพลังม่วงที่เมี่ยวลี่หงมองว่าเป็นไพ่ใบสุดท้ายสำหรับช่วยชีวิตก็แตกสลายเป็นชิ้นย่อยเหมือนกระดาษ
สิ่งที่ทำลายสมบัติล้ำค่าชิ้นนี้คือกรงเล็บที่ปกคลุมด้วยเกล็ดสีดำ ขนาดเท่ากับครกบด แหลมคมประดุจคมอาวุธ อานุภาพทำลายล้างมีพลังปีศาจยิ่งใหญ่แผ่กระจาย
นี่คือพรสวรรค์โดยกำเนิดของมังกรเกล็ดดำ มีอานุภาพน่ากลัวซึ่งสามารถฉีกท้องฟ้าและทลายภูเขาได้
หลังจากที่ทำลายสมบัติล้ำค่าชิ้นนี้แล้ว กรงเล็บเกล็ดดำก็ซัดไปที่ลี่เมี่ยวหงอย่างแรง
“เปิด!!”
ลี่เมี่ยวหงหวีดร้องด้วยความตื่นตระหนก เลือดลมในตัวเดือดพล่านเตรียมพร้อมต่อสู้
ปัง! ปัง! ปัง!
พลังของกรงเล็บสีดำรุนแรงประดุจลำไผ่ระเบิด คล้ายกับอาวุธแหลมห้าแฉกซัดลงมา พลังป้องกันตัวกับอาวุธป้องกันตัวของลี่เมี่ยวหงระเบิดในทันใด
ควันโขมงพุ่งกระจาย ร่างของลี่เมี่ยวหงถูกกรงเล็บสีดำอัดกระแทกจนฉีกเป็นส่วน ๆ
คล้ายกับเต้าหู้ถูกหวีเหล็กสับจนเละ เนื้อเป็นชิ้น ๆ ร่วงหล่นราวกับน้ำฝน
ภาพสยดสยองเช่นนั้นทำให้เริ่นโหยวโหย่วที่อยู่บนเรือล่องล้อเมฆาตกใจจนเข่าอ่อนล้มพับกับพื้น หวาดผวาจนขวัญแทบหนี
แม้กระทั่งจางอวิ๋นเทากับเหวินซินจ้าวก็ยังตื่นตระหนกด้วยเช่นกัน
อำมหิตโหดร้ายเกินไปเสียแล้ว กรงเล็บเดียวซัดผู้ฝึกตนขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณจนเละ!
และในชั่วขณะนี้เอง จางอวิ๋นเทากับคนอื่น ๆ จึงเข้าใจแล้วว่าอิงเชวียผู้มีท่าทางอ่อนโยนดุจลมวสันต์ งามสง่าดั่งผู้สูงส่งเช่นนั้น เมื่อได้แสดงฝีมือขึ้นมาจริง ๆ นิสัยโหดเหี้ยมอำมหิตซึ่งฝังอยู่ในกมลสันดานของมังกรเกล็ดดำก็จะถูกเปิดเผยออกมาโดยไม่มีปิดบัง!
หากครั้งนี้ไม่ใช่เพราะมีซูอี้อยู่ด้วย ด้วยนิสัยของมังกรเกล็ดดำตนนี้ เกรงว่าคงเป็นไปไม่ได้ที่จะแสดงความเกรงใจ ยอมอ่อนข้อให้พวกเขา
ทุกอย่างกลับสู่ความเงียบสงบอีกครั้ง
หลังจากที่ฆ่าศัตรูเสร็จ เมื่ออิงเชวียกลับมาอีกครั้งกลิ่นอายแห่งความโหดเหี้ยมอำมหิตในตัวเขาได้หายไปแล้ว แขนเสื้อโบกสะบัดราวกับเทพเซียน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาที่อยู่ต่อหน้าซูอี้ก็ยิ่งแสดงสีหน้าเคารพยำเกรงออกมา กล่าวด้วยความละอาย “คุณชายซู ก่อนหน้านี้อิงผู้นี้ออกแรงจนเกินไป ไม่ทันระมัดระวัง ทำให้จิตวิญญาณของเมี่ยวลี่หงจึงถูกทำลายไปด้วย”
คนอื่น ๆ “…”
วิธีการฆ่าคนที่อำมหิตโหดร้ายเช่นนั้น จะเรียกว่าไม่ระมัดระวังได้เช่นใด?
ซูอี้ชำเลืองมองดูอิงเชวียกล่าว “ฆ่าแล้วก็แล้วไป ข้าก็ไม่ได้มีคำถามอะไรจะถามเขาหรอก แต่เจ้าเสียอีก ไม่กลัวว่าจะผิดใจกับสำนักเต๋าชิงอี่หรอกหรือ?”
อิงเชวียกล่าวหนักแน่น “หากว่าพวกเขาผิดใจต่ออิงผู้นี้ อิงผู้นี้จะบีบจมูกยอมถอย เพราะอย่างไรเสีย สำนักเต๋าชิงอี่ก็ไม่ใช่ขุมกำลังที่คนทั่วไปสามารถเทียบเทียมได้ มีพื้นฐานแข็งแกร่ง มีผู้เฒ่าแข็งแกร่งจำนวนมากอยู่ปักหลักในสำนัก”
“แต่พวกเขาผิดใจต่อคุณชาย อิงผู้นี้ไม่อาจทนได้!”
คำพูดยกยอเช่นนี้ทำให้หยวนเหิงผู้ติดตามของซูอี้ถึงกับยกนิ้วให้
ซูอี้กล่าว “ข้าเคยให้เจ้ารับปากอยู่สามประการ วันนี้ฆ่าลี่เมี่ยวหง ถือว่าทำสำเร็จไปแล้วประการเรื่อง”
อิงเชวียกล่าวด้วยความยินดี “คุณชายซู อย่าว่าแต่สามประการเลย วันข้างหน้าต่อให้ต้องทำงานให้ท่านตลอดทั้งชีวิต อิงผู้นี้ก็ยินดีเต็มใจ!”
ซูอี้ถึงกับหัวเราะ พลางกล่าว “เอาล่ะ พวกเราไปกันเถิด”
พูดจบก็หมุนตัวเดินไปที่เรือล่องล้อเมฆา
“คุณชายระวังรักษาตัวเองด้วย เมื่ออิงผู้นี้บรรลุขอบเขตสำเร็จ จะไปกราบคารวะคุณชายเพื่อฟังคำสั่งสอนชี้แนะของท่าน!”
อิงเชวียโค้งคำนับ
ซูอี้ไม่ได้หันหน้ากลับมา โยนพระพุทธรูปขนาดเท่าฝ่ามือออกมา “ของชิ้นนี้ไม่มีประโยชน์ต่อข้าอีกแล้ว มอบให้เจ้าดูแลรักษาชั่วคราว วันข้างหน้าหากจำเป็นต้องใช้จะเอาคืนจากเจ้า”
อิงเชวียรีบยื่นสองมือไปรับ
เป็นพระพุทธรูปนั่งสมาธิ สองมือทำสัญลักษณ์รูปดอกบัวประสานที่หน้าท้อง มีมังกรแท้ขดตัวอยู่ด้านหลัง หัวมังกรเชิดขึ้นตรงหัวไหล่ งดงามราวกับมีชีวิต
ครั้งแรกที่เห็น อิงเชวียถึงกับตัวสั่นสะท้านจนเกือบจะร้องอุทานออกมา
พระพุทธรูปนี้หลอมสร้างจากกระดูกของมังกรแท้!!
อิงเชวียหัวใจเต้นแรง นัยน์ตาสีน้ำตาลเหลืองส่งประกายวาววับ ตื่นเต้นจนสองมือสั่นระริก
ในฐานะที่เป็นมังกรเกล็ดดำ ในใจของของเขา มังกรแท้เปรียบดุจตัวตนผู้สูงส่งที่เล่าขานกันในตำนาน เป็นรูปลักษณ์สุดท้ายที่ไม่ว่ามังกรตนใดก็ทำได้เพียงแค่ชะเง้อมอง!
ตอนที่อิงเชวียยังเล็ก มักจะได้ยินบิดาพูดถึงตำนานเทพอิทธิฤทธิ์มากมายเกี่ยวกับมังกรแท้ ทว่าสุดท้ายเรื่องเล่าเหล่านั้นก็เป็นเพียงแค่ตำนานเรื่องเล่า
กระทั่งบิดาของเขาก็ไม่รู้เช่นกันว่าที่แท้แล้วในโลกนี้มีมังกรแท้เหมือนดังเล่าขานในตำนานหรือไม่
ทว่าตอนนี้ กระดูกของมังกรแท้ปรากฏอยู่ตรงหน้า ปรากฏอยู่ในมือของเขาแล้ว!
ทำให้อิงเชวียรู้สึกราวกับฝันไป
นานมาก
เมื่ออิงเชวียสะดุ้งตื่นจากอาการเหม่อลอย เรือล่องล้อเมฆาก็แล่นออกไปกลางอากาศ บินทะยานขึ้นสู่ชั้นเมฆ และลับหายไปอย่างรวดเร็ว
ตอนนั้น ความมืดหายลับไป แสงอรุณเบิกสว่าง
แสงอรุณแรกที่สาดส่องลงสู่โลกมนุษย์ สรรพสิ่งบนโลกราวกับตื่นจากความหลับใหล สรรพชีวิตเต็มไปด้วยชีวิตชีวา
“บุญคุณของคุณชาย อิงผู้นี้จะทดแทนตลอดชีวิต”
อิงเชวียประคองกระดูกมังกรแท้ คุกเข่าโขกศีรษะสามหน จากนั้นจึงลุกขึ้นแล้วมุดดำลงแม่น้ำมังกรคลั่งอันกว้างใหญ่
——
บนเรือล่องล้อเมฆา
ซูอี้เอนกายอยู่บนเก้าอี้หวายอย่างสบาย เขาหลับตาพักใจ
ค่ำคืนนี้ ถึงแม้จะไม่ได้ประโยชน์อันใดจากการพบเจอมังกรเกล็ดดำอิงเชวียที่ริมหน้าผามังกรด้วน แต่กำจัดคู่ต่อสู้อย่างลี่เมี่ยวหงไปได้ก็ถือว่าจัดการอุปสรรคไปได้อีกหนึ่ง
“อันดับถัดมา ก็ควรจะเตรียมตัวเพื่อเลื่อนสู่ขอบเขตเปิดทวารได้แล้ว”
ซูอี้ลอบบอกตัวเองในใจ
ขอบเขตเปิดทวาร เป็นขอบเขตใหญ่อันดับสองของหนทางแห่งวิถีต้นกำเนิด
เมื่อบรรลุถึงขอบเขตนี้ก็สามารถก่อตั้งตำแหน่งถ้ำเปิดทวารภายในตันเถียนได้ จากนั้นเริ่มสะสมพลังต้นกำเนิดซึ่งมีความสอดคล้องกับพลังแห่งฟ้าดินโดยรอบ ยิ่งถ้ำเปิดทวารมีความคงทน ก็ยิ่งแสดงว่ารากฐานมหาวิถียิ่งแข็งแกร่ง
ระดับวิถีในตัวผู้ฝึกตนก็จะเกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างพลิกฟ้าพลิกแผ่นดินตามไปด้วย
บัดนี้ ซูอี้อยู่ในขอบเขตไร้เบญจธัญขั้นสุดท้ายแล้ว เนื่องเพราะมีทรัพยากรการฝึกตนพอเพียง การฝึกฝนอย่างต่อเนื่องในช่วงเวลานี้ทำให้การฝึกตนของเขาทำท่าว่าใกล้จะถึงขั้นสมบูรณ์แล้ว
หากไม่มีอะไรผิดพลาด อีกไม่เกินเจ็ดวันก็จะสามารถฝึกฝนขอบเขตไร้เบญจธัญไปสู่ขั้นสมบูรณ์ได้อย่างแท้จริง
ถึงเวลานั้นก็จะมีพื้นฐานที่สามารถพุ่งทะลุขอบเขตเปิดทวาร!
ซูอี้คุ้นเคยกับขอบเขตนี้เป็นธรรมดา
สามารถเข้าใจได้ว่าถ้ำเปิดทวารคือการบุกเบิกถ้ำแห่งหนึ่งในตันเถียน รวมรวบพื้นฐานและระดับวิถีภายในตัว
นอกจากนี้การบ่มเพาะ ‘เมล็ดพันธุ์ปฐมญาณ’ ในถ้ำเปิดทวารยังทำให้เมล็ดพันธุ์ปฐมญาณมีโอกาสได้แตกรากแตกหน่อ เวลาที่พุ่งสู่ขอบเขตรวบรวมดาราจึงจะสามารถสกัด ‘ดาราปฐมญาณ’ ในถ้ำเปิดทวารได้!
กล่าวได้ง่าย ๆ คือ ขอบเขตเปิดทวารเปรียบได้กับสะพาน มีบทบาทสนับสนุนสามขอบเขตใหญ่ของวิถีต้นกำเนิด
หากไม่มีถ้ำเปิดทวาร ‘เมล็ดพันธุ์ปฐมญาณ’ ที่สกัดได้ในขอบเขตไร้เบญจธัญก็ไม่อาจแตกรากแตกหน่อได้ ดังนั้นเวลาที่อยู่ในขอบเขตรวบรวมดาราจึงไม่อาจสกัด ‘ดาราปฐมญาณ’ ได้
“ความสมบูรณ์เพียบพร้อมของถ้ำเปิดทวารแสดงให้เห็นว่าเมล็ดพันธุ์ปฐมญาณสามารถเติบโตเป็นต้นไม้ใหญ่ที่แท้จริงได้หรือไม่ ตามมาตรฐานการตัดสินของเก้ามหาแดนดิน ความสมบูรณ์ของถ้ำเปิดทวารแบ่งออกได้สามระดับคือ ระดับต้น ระดับกลาง ระดับปลาย”
“ระดับต้นเป็นจุดเริ่ม ระดับปลายเป็นจุดท้ายสุด”
“มีถ้ำเปิดทวารระดับต้นแล้วเท่านั้นจึงจะสามารถฝึกฝน ‘แสงญาณมหาวิถี’ ในถ้ำต้นกำเนิดได้ และนี่ก็แสดงว่ารากฐานมหาวิถีของผู้ฝึกตนในขอบเขตนี้ได้ยืนอยู่ในแถวหน้าสุดแล้ว”
“เมื่ออดีตชาติ ตอนอยู่ในขอบเขตนี้ข้าเคยฝึกฝนจนได้มาซึ่งแสงญาณมหาวิถีอัน ‘เจิดจำรัสดุจแสงอรุณ เนื้องามประหนึ่งหยกเทพ’ ถือได้ว่าเป็นขั้นสุดยอดในขอบเขตเดียวกัน มีแต่บุตรสวรรค์ผู้ไร้เทียมทานของระบบวิถีเต๋าโบราณเท่านั้นจึงจะสามารถเทียบเคียงได้”
“แต่เสียดาย ตัวข้าในตอนนั้นอยู่ในขอบเขตเปิดทวาร อย่างไรเสียก็ไม่อาจถือได้ว่าเป็นอันดับหนึ่งอย่างแท้จริง”
ซูอี้ครุ่นคิดเงียบ ๆ “ไม่ถูกต้อง ครั้งนี้ข้าฝึกฝนจนได้ ‘เมล็ดพันธุ์เต๋าสุดขั้ว’ ที่ไม่เคยมีมาก่อนแล้ว เพียงแต่ไม่รู้ว่า เวลาที่ย่างก้าวสู่ขอบเขตเปิดทวาร จะสามารถสร้างถ้ำเปิดทวารเช่นใดในตันเถียน…”
เมื่อนึกถึงตรงนี้ ซูอี้ก็รู้สึกจนปัญญาขึ้นมา
พื้นฐานมหาวิถีอย่างเมล็ดพันธุ์เต๋าสุดขั้วเช่นนี้ ในอดีตไม่เคยพบเห็นมาก่อน ถึงแม้เขาจะเคยมีประสบการณ์จากอดีตชาติ ก็ไม่อาจเดาได้ว่าเวลาที่ย่างก้าวสู่ขอบเขตเปิดทวารแล้ว ถ้ำเปิดทวารของตนเองจะมีความสมบูรณ์ในระดับใด
อย่างรวดเร็ว ซูอี้หัวเราะขึ้นมา แววตาส่อประกายความใฝ่ฝันรอคอย ความไม่รู้เป็นการสร้างรสชาติอีกอย่างหนึ่ง หนทางวิถีนี้ไม่ใช่สิ่งที่ตนเองกลับชาติมาเกิดเพื่อแสวงหาหรอกหรือ?
ขอเพียงแข็งแกร่งยิ่งกว่าแต่ละขอบเขตในอดีตชาติ หนทางวิถีของตัวเองเส้นนี้จะต้องยาวไกลยิ่งกว่าเมื่อชาติที่แล้วอย่างแน่นอน!