บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 47 ระดับยุทธ์ทั้งสี่และของกำนัลจากตระกูลหวง
ตอนที่ 47 ระดับยุทธ์ทั้งสี่และของกำนัลจากตระกูลหวง
ทั้งสองคือหวงอวิ๋นชงและหวงเฉียนจวิน
ซูอี้ชะงักชั่วขณะ ก่อนจะปะติดปะต่อเรื่องราวได้
หวงอวิ๋นชงเห็นเขาจึงรีบสืบเท้ามาหา เอ่ยคำด้วยความตื่นเต้น “เมื่อวานคุณชายซูชี้แนะเคล็ดวิชาฝึกฝนให้บุตรชายข้า ข้า หวงอวิ๋นชงซาบซึ้งใจยิ่งนัก จึงมาที่นี่เพื่อขอบคุณท่าน!”
หลังจากพูดจบ หวงอวิ๋นชงก็โค้งศีรษะแล้วโค้งศีรษะอีกอย่างเป็นจริงเป็นจัง
ซูอี้พยักหน้าเล็กน้อยรับการขอบคุณด้วยท่าทีสงบนิ่ง
เคล็ดลับการกำหนดลมหายใจที่เขาคิดค้นใช้ชั่วคราวมิใช่เรื่องยากเย็นนัก ทว่าสำหรับตระกูลหวงที่ฝึกหมัดจิตรูปหกประสาน มันถือเป็นบุญคุณอันใหญ่หลวง!
หวงอวิ๋นชงรู้ดีแก่ใจว่าวิธีกำหนดลมหายใจนี้มีค่าสำหรับตระกูลหวงอย่างประเมินมิได้
หากเขาไม่มาแสดงความขอบคุณคงน่าแปลกใจมากกว่า
“เรื่องเล็กน้อย ไม่ได้ลำบากแต่อย่างใด เจ้าไม่จำเป็นต้องถือเป็นจริงเป็นจังหรอก” ว่าจบซูอี้จึงเดินเข้าป่าหม่อนไปฝึกเคล็ดวิชาหลอมกายกระเรียนลอยล่อง
แม้การกระทำของเขาจะดูไร้ไมตรีไปบ้าง แต่หวงอวิ๋นชงไม่ถือสาแต่อย่างใด
เมื่อวานหลังจากเขาทราบว่าลูกชายได้เรียนรู้วิธีกำหนดลมหายใจจากซูอี้ เขาถึงกับอยู่ไม่สุขในทันที ด้วยรู้สึกตื่นเต้นเกินบรรยาย
หลังจากตั้งสติได้จึงได้ข้อสรุป
ด้วยวิธีกำหนดลมหายใจนี้ ตระกูลหวงจะยิ่งก้าวหน้าขึ้นสูงไปอีกระดับ!
มันเป็นสิ่งที่หวงอวิ๋นชงไม่เคยคาดคิดมาก่อน
เคล็ดที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้ ตามปกติแล้วไม่มีทางที่จะถ่ายทอดให้กันได้ง่าย ๆ
ในอาณาจักรโจว เคล็ดลับการกำหนดลมหายใจนี้เพียงพอที่จะเปลี่ยนแปลงโชคชะตาของตระกูลได้!
“บุตรชายเอ๋ย จงจดจำสิ่งที่ข้าบอกเมื่อวาน ตั้งใจฝึก อย่าทำให้คุณชายซูผิดหวัง” หวงอวิ๋นชงสูดหายใจลึกพลางตบบ่าบุตรชาย
ก่อนประสานมือคารวะพร้อมกับค้อมกายให้ซูอี้ซึ่งกำลังฝึกยุทธ์อีกครั้ง และเดินทางกลับไปเงียบ ๆ
“สิ่งที่บอกเมื่อวาน… ”
หวงเฉียนย้อนคิดถึงสิ่งที่บิดาตนกำชับหนักแน่นต่อหน้าป้ายบรรพบุรุษที่บ้านเมื่อวาน
“ลูกเอ๋ย เจ้ายังอายุน้อย จึงยังไม่เข้าใจความหมายของเคล็ดวิชานี้ ข้าจะบอกเจ้าได้เพียงเท่านี้ ด้วยเคล็ดวิชานี้ ตระกูลหวงจะติดหนี้บุญคุณครั้งใหญ่กับคุณชายซูไปชั่วลูกชั่วหลาน!”
เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นพ่อของตนจริงจังเพียงนี้
และยังนับเป็นครั้งแรกที่เขาตระหนักได้ว่าเพียงติดตามเป็นลูกสมุนของซูอี้ จะทำให้ได้พบโอกาสเปลี่ยนแปลงโชคชะตาของตระกูลโดยไม่ได้ตั้งตัว!
“นี่เรียกว่าหนึ่งคนบรรลุเซียน หมูหมากาไก่รอบตัวพลอยลอยขึ้นสวรรค์*[1] ไม่ใช่หรือ?”
หวงเฉียนจวินมองซูอี้ฝึกยุทธ์อยู่ห่าง ๆ ในใจเปี่ยมล้นไปด้วยความชื่นชมอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
พี่ซู ท่านช่างเหมือนเทพสวรรค์ยิ่งนัก!
เมื่อฝึกเสร็จเรียบร้อยและเดินกลับมา ซูอี้ก็เห็นว่าหวงเฉียนจวินเตรียมมื้อเช้าร้อน ๆ และเครื่องดื่มไว้เรียบร้อยแล้ว
“หืม วันนี้ใส่สมุนไพรลงในน้ำแกงอีกแล้วเหรอ?”
ซูอี้สูดจมูกฟุดฟิด ได้กลิ่นที่แตกต่างออกไปโชยมา
“พี่ซู ท่านพ่อบอกว่าต่อไปนี้จะให้พ่อครัวประจำตระกูลทำอาหารบำรุงให้ท่านทุกวัน”
หวงเฉียนจวินเอ่ยบอก พร้อมหยิบอีกถุงหนึ่งขึ้นมาส่งให้อีกฝ่าย “มีหินวิญญาณอยู่ในถุงห้าสิบก้อน นี่ถือเป็นของกำนัลจากตระกูลหวงของเรา ข้าหวังว่าพี่ซูจะรับเอาไว้ ไม่เช่นนั้นท่านพ่อคงไม่ยอมให้ข้าเหยียบเข้าประตูบ้านสกุลหวงอีก…”
มีสมุนไพรสำหรับบ่มเพาะให้ทานทุกวันไม่มีขาด
และหินวิญญาณห้าสิบก้อน… ตระกูลหวงช่างมั่งคั่งยิ่งนัก!
ซูอี้ถึงกับตกตะลึง
ไม่ต้องพูดถึงสมุนไพรสำหรับผู้บ่มเพาะที่แพงมากอยู่แล้ว พวกหินวิญญาณคือประเด็นสำคัญเพราะต่อให้มีเงินทองมากมายก็ยังหาซื้อได้ยาก
เท่าที่ซูอี้รู้ หินวิญญาณที่ทั้งสามตระกูลใหญ่ในเมืองกว่างหลิงมีเก็บไว้นั้นไม่น่าจะเกินสองร้อย
ทว่าตระกูลหวงกลับนำออกมาเป็นของกำนัลถึงห้าสิบก้อน!
“หวงอวิ๋นชงฉลาดยิ่งนัก รู้ว่าเคล็ดลับการกำหนดลมหายใจนั้นมีคุณค่ามากกว่าสมบัติเหล่านี้”
ซูอี้สะบัดศีรษะ ไม่นำเรื่องนี้มาคิดอีก เขานั่งลงบนพื้นก่อนเริ่มดื่มกิน
หวงเฉียนจวินเดินมายังลานโล่งกลางป่าเพื่อฝึกหมัดจิตรูปหกประสาน
หลังจากฝึกเสร็จไปหนึ่งรอบ ซูอี้ชี้แนะให้เขาก่อนเดินทางกลับ
ณ เรือนเล็กเหมยอำพัน
“มีหินวิญญาณพวกนี้แล้ว คงไม่จำเป็นต้องไปเก็บสมุนไพรที่เทือกเขาเมฆาครามไปพักใหญ่”
ซูอี้เก็บหินวิญญาณลงกล่องบนโต๊ะ หินวิญญาณใสวาววับ แผ่กระจายพลังวิญญาณ
แม้จะเป็นเพียงหินวิญญาณระดับหนึ่ง ทว่าถือเป็นของหายากในอาณาจักรโจวซึ่งพลังวิญญาณบางเบา
“อืม มีหินวิญญาณพวกนี้อยู่ ข้าสามารถฝึกขั้นขัดเกลาเส้นเอ็นให้สมบูรณ์ได้ภายในครึ่งเดือน!”
รอยยิ้มผุดขึ้นบนใบหน้าซูอี้
ล่วงผ่านไปวันแล้ววันเล่า
ชีวิตของซูอี้สงบสุข ไม่ขาดหายสิ่งใด ไร้ซึ่งอุปสรรค
นอกจากการฝึกตนแล้ว เขามักเข้าไปรักษาคนไข้และตรวจสอบดูแลการเงินที่สำนักแพทย์ซิ่งหวงอยู่เป็นระยะ
ท่ามกลางค่ำคืนเงียบสงัด เขามักเรียกผีสาวแสนซื่ออย่างชิงหว่านออกมา เพื่อชี้แนะและฝึกฝนวิชาให้นาง
เขามักชวนพูดคุยเมื่อนางออกมา
น่าเสียดายที่เด็กสาวยังคงไม่อาจเปลี่ยนแปลงท่าที นางยังคงหวาดกลัวเมื่อเผชิญหน้ากับเขาได้
สิ่งนี้ทำให้ซูอี้พูดไม่ออก
หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ต่อไปจะบำเพ็ญเพียรคู่ได้หรือ?
ถึงอย่างไรการบำเพ็ญเพียรคู่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น มีหลายสิ่งต้องทำร่วมกัน ไม่อาจเลี่ยงสัมผัสร่างกายและวิญญาณกัน
หากมีเรื่องผิดพลาดเกิดขึ้น อาจถึงแก่หายนะได้
แน่นอนว่าการเจรจาเรื่องบำเพ็ญเพียรคู่นั้นยังอีกยาวไกล สำหรับซูอี้ ยังมีเวลาในการทำความคุ้นเคยกับชิงหว่านจนนางไม่คิดหวาดกลัวเขา
เมื่อร้างผู้คนยามราตรี ชิงหว่านมักออกมานั่งที่กิ่งต้นแคฝรั่ง ฮัมเพลงโบราณ เสียงของนางไพเราะเสนาะหูยิ่ง
เรียกได้ว่าชิงหว่านเป็นผีสาวที่มีความสามารถรอบด้าน
ระหว่างช่วงนี้ เนี่ยเถิงได้มารายงานความคืบหน้าให้เขาทราบสองครั้ง
อย่างเรื่องที่หลังสืบค้นทั่วเมืองกว่างหลิง สถานที่เลี้ยงแมลงปีศาจรวมทั้งหมดเจ็ดแห่งถูกทำลายสิ้น ไม่มีอันตรายหลบซ่อนอีกต่อไป
ซูอี้อดจะรู้สึกตงิดใจกับเรื่องนี้ไม่ได้ อู๋รั่วชิวได้รับคำสั่งจากเจ้านายมาให้เลี้ยงแมลงปีศาจ แต่เหตุใดแมลงปีศาจถูกกำจัดแล้วจึงไม่ส่งคนมากัน?
ท้ายที่สุดซูอี้จึงสันนิษฐานได้สองข้อ
ประการแรกคือพรรคมารหยินรู้ข่าวเรื่องอู๋รั่วชิวแล้ว และส่งคนมาลอบสืบข่าวเรื่องนี้แล้วอย่างลับ ๆ
ประการสองคือยังไม่ทราบถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจึงยังไม่ได้ลงมือ
ไม่ว่าจะเป็นทางใด ซูอี้ก็รู้ชัดว่าลูกศิษย์พรรคมารหยินจะไม่มีทางปล่อยเรื่องนี้
แน่นอนว่าซูอี้ไม่ได้รู้สึกหวาดเกรงแต่อย่างใด
สำนักที่ใช้เลือดสตรีพรหมจรรย์ขัดเกลาดาบจะแก่กล้าสักเพียงไหนกัน?
เวลาล่วงผ่าน งานประลองประตูมังกรใกล้มาเยือน
ในแม่น้ำต้าฉาง เรือทั้งหลายเนืองแน่นขนัด บรรดาช่างฝีมือจากเมืองกว่างหลิงและเมืองลั่วอวิ๋นต่างลงมือตกแต่งถนนสองฟากฝั่งแม่น้ำ
งานประลองประตูมังกรกลายเป็นหัวข้อที่เป็นที่พูดถึงทั้งในสองเมือง
แม้แต่คนธรรมดาในเมืองยังตั้งตารอคอยงานนี้
เนื่องจากงานประลองประตูมังกรเริ่มจัดช่วงกลางคืน แสงไฟริมแม่น้ำต้าฉางจึงส่องสว่างระยิบระยับดั่งหมู่ดาวร่วงหล่นบนผืนดิน
บรรยากาศค่ำคืนมืดสนิทดั่งน้ำหมึก สายน้ำเจิดจ้างดงาม นับเป็นทิวทัศน์หาใดเปรียบ
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น ภายในป่าหม่อนนอกเมือง
“พี่ซู ข้าเริ่มควบคุมกล้ามเนื้อได้แล้ว!”
หวงเฉียนจวินมีท่าทีลิงโลด ราวกับเป็นลูกศิษย์ที่เฝ้ารอให้อาจารย์ชื่นชม
ซูอี้พยักหน้าพลางว่าเสียงเรียบ “ด้วยคำชี้แนะของข้า กอปรกับมีสมุนไพรจากตระกูลหวง หากเจ้าทำไม่สำเร็จ ฝึกต่อไปคงไร้ประโยชน์”
หวงเฉียนจวินพลันเศร้าสลด ความตื่นเต้นก่อนหน้าจางหาย
ซูอี้ครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนเสริม “อย่างไรก็ตามด้วยระดับการบรรลุของเจ้าในตอนนี้ เจ้าสามารถเข้าร่วมประลองได้แล้ว ในงานประลองประตูมังกร เจ้าอาจยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเหวินเจวี๋ยหยวน แต่อย่างน้อยคงไม่พ่ายแพ้อย่างขายหน้า”
การฝึกเคล็ดวิชาเป็นกระบวนการจากขั้นตื้นไปสู่ขั้นลึก
ไม่ว่าจะเป็นวิชาใด หากพูดถึงการบรรลุ สามารถแบ่งได้สี่ระดับ ได้แก่ ระดับพื้นฐาน ระดับช่ำชอง ระดับจุดสมบูรณ์ และระดับเลิศล้ำ
เมื่อฝึกถึงระดับพื้นฐานได้ถือว่าสามารถใช้เคล็ดวิชาได้แล้ว
ผู้บ่มเพาะทั่วไปสำเร็จระดับนี้ได้ไม่ยาก
เมื่อถึงระดับช่ำชองถึงจะสามารถจัดสรรพลังและปลดปล่อยพลังในทุกท่วงท่าได้
ส่วนการพัฒนาไปสู่ระดับจุดสมบูรณ์จำเป็นจะต้องสามารถหลอมรวมจิตเข้ากับเคล็ดวิชาให้สำเร็จเสียก่อน และเมื่อทำสำเร็จผู้ฝึกจะสามารถตั้งสมาธิสำแดงพลังออกมาได้หลากหลายรูปแบบตามใจนึก
ท้ายที่สุดเพื่อไปถึงระดับเลิศล้ำ จำเป็นต้องฝึกเคล็ดวิชาจนถึงจุดที่สามารถเรียกใช้ได้ในพริบตา และเมื่อผสานกับประสบการณ์ความเชี่ยวชาญในเคล็ดวิชาที่สั่งสมมา อำนาจของเคล็ดวิชาจะยิ่งเพิ่มพูนเป็นพลังเหนือการคาดเดา
ทว่าเคล็ดวิชาหมัดของตระกูลหวงนั้นไม่ใช่วิชาระดับสูง ด้วยความบกพร่องของเคล็ดวิชา อย่าว่าแต่ฝึกไปจนถึงระดับเลิศล้ำ แม้แต่ระดับจุดสมบูรณ์ยังมีโอกาสน้อยที่จะฝึกได้สำเร็จ
หรือจะให้พูดง่าย ๆ ก็คือ หมัดจิตรูปหกประสานแห่งตระกูลหวงเดิมสามารถฝึกได้สูงสุดอยู่ที่ระดับ ‘จุดสมบูรณ์’ เท่านั้น
หากแต่เมื่อได้รับคำชี้แนะและความช่วยเหลือจากซูอี้ รวมถึงเคล็ดการกำหนดลมหายใจที่เขาสอน กระบวนหมัดนี้ได้พัฒนาขึ้นไปอีกขั้น
ตราบใดที่หวงเฉียนจวินฝึกเช่นนี้ต่อไป ไม่ช้าไม่นานคงถึงระดับ ‘เลิศล้ำ’ ของเคล็ดวิชา!
“พี่ซู งานประลองประตูมังกรจะจัดขึ้นในอีกสามวัน ท่านจะเข้าร่วมหรือไม่?” หวงเฉียนจวินอดถามขึ้นไม่ได้
“ถึงเวลาข้าค่อยคิดดูอีกที” ซูอี้ตอบอย่างไม่ใส่ใจนัก
ชาติก่อนเขาเข้าร่วม ‘งานประลอง’ มานับครั้งไม่ถ้วน และงานประลองเหล่านั้นแต่ละครั้งผู้ที่เข้าร่วมมีอำนาจเพียงพอทำลายอาณาจักรโจวได้ด้วยเพียงฝ่ามือเดียว ดังนั้นงานเล็ก ๆ อย่างงานประลองประตูมังกร เขาจึงไม่นึกสนใจต้องการเข้าร่วม
หวงเฉียนจวินดูผิดหวังเล็กน้อย
เขาคิดว่าหากซูอี้เข้าร่วมประลอง ตำแหน่งผู้ชนะคงไม่หนีไปไหน!
เพียงนึกภาพก็ชวนให้ผู้คนตื่นตาตื่นใจ
“พี่ซู ข้าได้ยินว่าโจวฮวายชิว ผู้อาวุโสของสำนักดาบชิงเหอจะมาร่วมงานด้วย ใครที่แสดงฝีมือได้เข้าตาจะได้รับเลือกเข้าเป็นศิษย์ของสำนักดาบชิงเหอ”
เขาพลันนึกบางอย่างขึ้นได้ เอ่ยด้วยความคาดหวัง “ข้าตั้งใจจะประลองให้สุดฝีมือ แม้จะไม่ชนะแต่ข้าคาดหวังให้เข้าตาผู้อาวุโสโจวฮวายชิวบ้าง หากเป็นเช่นนั้นข้าคงมีโอกาสได้ก้าวหน้า!”
“โจวฮวายชิว…”
เมื่อได้ยินชื่อคนคุ้นเคย ซูอี้ชะงัก ความทรงจำครั้งอดีตหลั่งไหลเข้ามาในใจ
ผ่านไปครู่หนึ่ง
เขามองหวงเฉียนจวิน ส่ายหน้าก่อนหัวเราะ “เจ้ามีความมุมานะเพียงเท่านี้หรือ? หึหึ ช่างน่าผิดหวังจริง ๆ”
[1] หนึ่งคนบรรลุเซียน หมูหมากาไก่รอบตัวพลอยลอยขึ้นสวรรค์ หมายถึงหากใครคนใดคนหนึ่งได้ดี ญาติพี่น้องเพื่อนฝูงต่างพลอยได้ดีไปด้วย