บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 470 ทางใครทางมัน
ตอนที่ 470: ทางใครทางมัน
ตอนที่ 470: ทางใครทางมัน
ภายในอีกห้องของเรือล่องล้อเมฆา
เริ่นโหยวโหย่วนั่งกระสับกระส่าย สติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
เดิมนางคาดหวังว่าได้ผู้ฝึกตนวิถีวิญญาณอย่างลี่เมี่ยวหงออกโรง ย่อมเพียงพอให้ปลิดชีพซูอี้อย่างง่ายดาย
ใครเล่าจะคิด ซูอี้ไม่แม้แต่จะลงมือ ลี่เมี่ยวหงก็โดนสังหารเสียตรงนั้น!
หวนนึกถึงภาพนองเลือดที่ผ่านมา เริ่นโหยวโหย่วก็กลัวจนขวัญกระเจิง กลายเป็นปมในใจ
“โหยวโหย่ว หากเจ้าไม่อยากพัวพันเข้ากับเรื่องนี้ อย่าได้แพร่งพรายสิ่งที่เกิดขึ้นในผามังกรด้วนออกไป”
จางอวิ๋นเทาเอ่ยเสียงเข้ม สีหน้าเคร่งขรึมจริงจัง
เริ่นโหยวโหย่วเอ่ยด้วยสติเลื่อนลอย “ผู้อาวุโสจาง กระทั่งผู้อาวุโสในสำนักก็บอกไม่ได้หรือ?”
จางอวิ๋นเทาพยักหน้า พูดกึ่งถอนหายใจ “ลี่เมี่ยวหงผู้นั้นคือหนึ่งในสามผู้อาวุโสฝ่ายในแห่งสำนักเต๋าชิงอี่ มหาปราชญ์สวรรค์ขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณเลื่องชื่อ การตายของเขา ย่อมสร้างความโกลาหลครั้งใหญ่ ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ พวกเราทำเป็นไม่รู้สิ่งใดจะดีกว่า จะปล่อยให้ตัวเองเข้าไปเอี่ยวไม่ได้เด็ดขาด”
ร่างบางของเริ่นโหยวโหย่วสะท้าน นางรีบพยักหน้าพลางกล่าว “ผู้อาวุโสจาง ข้าเข้าใจความหนักหนาของเรื่องนี้ ไม่มีทางแพร่งพรายออกไปเด็ดขาด!”
เจ้าเข้าใจที่ไหนกัน!
จางอวิ๋นเทาถอนหายใจกับตัวเอง ต่อหน้าเขาทำเป็นตักเตือนเริ่นโหยวโหย่ว ห้ามมิให้แพร่งพรายเรื่องที่ลี่เมี่ยวหงโดนฆ่า แท้จริงแล้วเพื่อปิดบังเรื่องที่เกี่ยวข้องกับซูอี้และอิงเชวีย
ช่วยไม่ได้ เจ้ามังกรเกล็ดดำอิงเชวียอันธพาลเกินไป ไม่ยอมให้เปิดเผยเรื่องใดทั้งสิ้น
ในสถานการณ์เช่นนี้ จางอวิ๋นเทาได้แต่อ้างเรื่องของลี่เมี่ยวหงในการตักเตือนเริ่นโหยวโหย่ว
“ถ้าอย่างนั้น… กลับสำนักครานี้ เราจะรายงานพฤติกรรมเลวทรามของซูอี้หรือไม่?”
เริ่นโหยวโหย่วถามเสียงเบา
จางอวิ๋นเทาได้ตัดสินใจไปแล้ว จึงตอบทันที “นอกจากเรื่องที่เกิดขึ้นบนผามังกรด้วน เรื่องอื่น ๆ รายงานต่อสำนักได้ทั้งสิ้น”
เริ่นโหยวโหย่วถอนหายใจยาว และพยักหน้า
……
“ชิงหยา หลังจากเจ้ากลับสำนักกับข้าไปครานี้ ห้ามพูดเรื่องสหายเต๋าซูกับผู้อื่นเด็ดขาด มิฉะนั้น ไม่รู้ว่าจะเกิดเรื่องอีกมากมายเท่าไร เจ้าเข้าใจหรือไม่?”
อีกห้องหนึ่ง เหวินซินจ้าวกำชับชิงหยาเสียงนุ่ม
ชิงหยายิ้มหวาน ตอบเสียงใส “อาจารย์อาวางใจได้ ข้ารับรองว่าจะทำทีเป็นไม่รู้จักพี่ชายซูอี้”
เหวินซินจ้าวยิ้มเช่นกัน บีบแก้มน่ารักน่าเอ็นดูของชิงหยาพลางกล่าว “หนนี้หลังกลับสำนักไปแล้ว ข้าจะขออนุญาตท่านอาจารย์ ให้เขารับเจ้าเป็นศิษย์ เชื่อว่าด้วยพรสวรรค์และศักยภาพของเจ้า หลังจากนี้ย่อมต้องเปล่งแสนยานุภาพได้แน่”
ชิงหยาเอ่ยยิ้มแย้ม “อาจารย์อา เช่นนั้นเราสองคนก็มีสัมพันธ์เป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องกันน่ะสิ?”
เหวินซินจ้าวอดตลกไม่ได้ “ลำดับอาวุโสในสำนักเท่านั้น หาใช่เรื่องใหญ่ อีกอย่าง ระหว่างเจ้ากับข้า เดิมก็มีอายุห่างกันไม่กี่ปีอยู่แล้ว”
ชิงหยาอืมออกมาคำหนึ่ง ก่อนจะขมวดคิ้วและเอ่ย “เฮ้อ ถ้าได้ไปวังเทพสวรรค์เมฆา วันหน้าไม่รู้ว่าจะได้พบกับพี่ชายซูอี้อีกเมื่อไร”
เมื่อพูดถึงซูอี้ นัยน์ตาคู่ใสของเหวินซินจ้าวก็เลื่อนลอยไปแวบหนึ่ง
หลังจากนั้นสามสี่วันก็ต้องแยกย้ายกับซูอี้ชั่วคราว ในใจมารดาบน้อยโฉมสะคราญผู้นี้อดเกิดอารมณ์อาลัยอาวรณ์ไม่ได้
……
วันที่พวกซูอี้ขึ้นเรือล่องล้อเมฆาเพื่อไปจากผามังกรด้วน
สำนักเต๋าชิงอี่
เสียงกรีดร้องด้วยความตกใจดังขึ้น
“แย่แล้ว แย่แล้ว โคมชะตาวิญญาณปราชญ์เมี่ยวหงดับลงแล้ว!”
วันนั้น ทั้งสำนักเต๋าชิงอี่สะเทือนกันหมด
มหาปราชญ์สวรรค์ขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณสิ้นชีวิตลง ใช่เรื่องเล็กที่ไหน?
ในช่วงเวลาหลายพันปีที่ผ่านมา สำนักเต๋าชิงอี่ในฐานะหนึ่งในกลุ่มอำนาจวิถีปราชญ์ที่ยิ่งใหญ่ทั้งสี่แห่งต้าเซี่ย เพิ่งเคยเกิดเหตุการณ์คนขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณเสียชีวิตเป็นครั้งแรก!
‘เซียนโม่หยาง’ เจ้าสำนักเต๋าชิงอี่ซึ่งกำลังเก็บตัวฝึกฝน ต้องออกจากการฝึกในวันนี้ เพื่อสอบสวนเรื่องราวนี้ด้วยตนเอง
ไม่นานนัก เซียนโม่หยางก็ทราบว่าช่วงนี้ ลี่เมี่ยวหงได้ใช้กำลังของสำนักสืบเสาะคนหนุ่มที่ชื่อซูอี้
และหลายวันก่อน เป็นช่วงที่ทราบข่าวว่าซูอี้ปรากฏตัวในต้าเซี่ย ปราชญ์เมี่ยวหงถึงออกจากสำนักไป
เซียนโม่หยางจึงสรุปได้ว่า การตายของปราชญ์เมี่ยวหง ต้องเกี่ยวข้องกับคนหนุ่มที่ชื่อซูอี้แน่นอน!
และในวันนั้นเอง เซียนโม่หยางได้ออกคำสั่งในฐานะเจ้าสำนัก ส่งยอดฝีมือในสำนักระดมกำลังสอบสวนเรื่องนี้ รอจนความจริงปรากฏ ต้องไปขอคำอธิบายให้ได้!
ส่วนข่าวการตายของปราชญ์เมี่ยวหง ก็แพร่งพรายออกจากสำนักเต๋าชิงอี่อย่างรวดเร็ว
มหาปราชญ์สวรรค์ขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณตายตก เป็นเรื่องพอจะทำให้ทั่วหล้าสั่นสะเทือน และไม่มีทางปิดบังไว้ได้
ความโกลาหลบังเกิด ไม่รู้ว่าในช่วงเวลาหลังจากนี้จะเกิดความวุ่นวายใดอีก
แต่สำหรับซูอี้ การตายของปราชญ์เมี่ยวหงเป็นเรื่องเล็กที่เขาลืมไปหมดแล้ว
……
เจ็ดวันให้หลัง
ไม่ผิดกับที่คาดไว้ ซูอี้ฝึกฝนจนบรรลุขอบเขตไร้เบญจธัญขั้นสมบูรณ์
และวันนั้นเอง พวกเขามาถึงเมืองนาม ‘จินหลิว’ ที่อยู่ภายในแคว้นฝูเฟิง
“ศิษย์พี่ซู เราต้องจากลากันแล้ว ข้าขอดื่มให้ท่าน”
ภายในหอสุราแห่งหนึ่ง เหวินซินจ้าวยกจอกสุราขึ้น ดื่มให้ซูอี้
ซูอี้ยกจอกพลางยิ้มแย้มบาง และร่วมดื่มกับนาง
‘ภูเขาศักดิ์สิทธิ์อวิ๋นเทียน’ ที่วังเทพสวรรค์เมฆาตั้งอยู่ อยู่ภายใน ‘แคว้นเทียนหยาง’ แห่งต้าเซี่ย
เดินทางจากเมืองจินหลิว มุ่งหน้าไปทางทิศเหนือ ก็จะไปถึงนครหลวงจิ๋วติ่งอันเป็นเมืองหลวงของต้าเซี่ย
มุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตก ก็จะไปทางแคว้นเทียนหยางที่วังเทพสวรรค์เมฆาตั้งอยู่
นั่นก็หมายความว่า พวกเขาต้องทางใครทางมันกันตรงนี้
“พี่ชายซูอี้ ข้าก็ขอดื่มให้ท่าน”
ชิงหยายกจอกสุราขึ้นเช่นกัน ก่อนจะเอ่ยเสียงใส
ความอาลัยอาวรณ์ของหญิงสาวเปิดเผยอยู่บนใบหน้า
ซูอี้ชนจอกกับนางแล้วเอ่ยยิ้ม ๆ “หลังจากนี้หากมีใครที่วังเทพสวรรค์เมฆากล้ารังแกเจ้า ก็บอกอาจารย์อาของเจ้าเสีย ถ้าอาจารย์อาของเจ้าจัดการไม่ได้ ให้มาหาข้า”
ชิงหยายิ้มกว้างพลางกล่าว “พี่ชายซูอี้พูดเช่นนี้ ข้าล่ะหวังเหลือเกินว่าวันหน้าจะมีคนมารังแกข้า หากเป็นเช่นนี้ ก็สามารถพบกับพี่ชายซูอี้ได้อีก”
ทุกคนหัวเราะกันหมด
“ศิษย์พี่ซู ข้ากับชิงหยาต้องออกเดินทางกันแล้ว จะปล่อยให้ผู้อาวุโสจางและศิษย์น้องเริ่นรอนานคงมิได้”
เหวินซินจ้าวเอ่ยเสียงอ่อนโยน
ซูอี้พยักหน้า
งานเลี้ยงส่งในครานี้ จางอวิ๋นเทากับเริ่นโหยวโหย่วมิเข้าร่วม
ซูอี้ย่อมรู้ดีกว่าทั้งคู่ไม่ต้องการข้องแวะกับตนเองอีก
“นี่เป็นเคล็ดฝึกฝนภาวะดาบวิถีต้นกำเนิดที่ข้าได้มา เจ้าเอาไปเถิด”
ซูอี้หยิบม้วนหยกออกมาม้วนหนึ่ง พร้อมกับยื่นให้เหวินซินจ้าว
พรสวรรค์และความสามารถในการเรียนรู้วิถีดาบของเหวินซินจ้าวเรียกได้ว่าน่าทึ่ง แม้ว่านางจะเป็นตัวตนยอดเยี่ยมในหมู่รุ่นเยาว์แห่งวังเทพสวรรค์เมฆา และเป็นมารดาบน้อยผู้เลื่องชื่อไปทั่วต้าเซี่ยอยู่ก่อนแล้ว
แต่ในสายตาซูอี้ ศักยภาพด้านวิถีดาบของเหวินซินจ้าวถูกขุดออกมาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
และสิ่งที่ซูอี้ทำอยู่ในตอนนี้คือ ค่อย ๆ ขัดเกลาหยกดิบชิ้นนี้จนกระทั่งมันได้เฉิดฉายเจิดจรัสในแบบของตัวเอง!
“ขอบคุณศิษย์พี่ซูมาก!”
เหวินซินจ้าวใจสั่น ความอบอุ่นแล่นไปทั่วร่าง
“พี่ชายซูอี้ มีของข้าด้วยหรือไม่?”
ชิงหยากะพริบตากลมโต
ซูอี้คลี่ยิ้ม “ข้าจะลืมเจ้าได้อย่างไรกัน?”
พูดไป เขาหยิบม้วนหยกออกมาอีกม้วน “หยิบไปสิ”
นี่เป็นสิ่งที่เขาเตรียมไว้ให้ชิงหยาอยู่แล้ว
เด็กสาวผู้งดงามน่ารักคนนี้ มี ‘กระดูกวิญญาณกายาซ่อนเร้น’ ที่เรียกได้ว่าสะท้านโลกา หากตัดสินตามมาตรฐานของเก้ามหาดินแดน กระดูกระดับนี้นับว่าเป็นขั้นสูง หมื่นคนจะพบสักครา
มิหนำซ้ำ พรสวรรค์การตื่นรู้ของนางก็ยอดเยี่ยมนัก ใกล้ชิดพลังของวิถีในฟ้าดินได้ตรง ๆ ดุจปีศาจ ถึงได้โดนกลุ่มเต๋าโบราณทั้งหลายช่วงชิงตัวเข้าสำนัก
ซูอี้ไม่ยอมให้พรสวรรค์และรากฐานของชิงหยาโดนละเลย
ม้วนหยกที่เขาเตรียมเอาไว้หาใช่วิชาลับสืบสานแต่อย่างใด แต่เป็นวิชาลับที่ปลุกพรสวรรค์และศักยภาพของกระดูก
“ขอบคุณพี่ชายซูอี้มาก”
ชิงหยายิ้มอย่างดีใจ ตาคู่นั้นยิ้มจนเป็นรูปพระจันทร์
รอยยิ้มของเด็กสาวแจ่มใสดุจแสงอาทิตย์กระทบขอบฟ้า ซูอี้จึงนึกถึงชิงถัง ลูกศิษย์ตัวน้อยเมื่อชาติก่อนขึ้นมาอีกครั้งอย่างไร้สาเหตุ แล้วก็อดถอนหายใจไม่ได้
วันนั้น
เหวินซินจ้าวและชิงหยาบอกลากับพวกซูอี้ นั่งเรือล่องล้อเมฆาจากไป
ก่อนจากกัน เหวินซินจ้าวเอ่ยบอกว่าก่อน ‘ชุมนุมมวลพฤกษา’ จะเปิดฉาก พวกนางจะเดินทางไปที่นครหลวงจิ๋วติ่ง หวังว่าถึงเวลานั้นสามารถพบหน้าซูอี้อีกครา
กับเรื่องนี้ ซูเย่เพียงแต่ยิ้ม ไม่รับปากอย่างใด
เขายังไม่ตัดสินใจว่าจะเข้าร่วมชุมนุมมวลพฤกษาหรือไม่
“นายท่าน พวกเราจะเดินทางไปยังนครจิ๋วติ่งหรือไม่?”
หยวนเหิงถาม
บัดนี้ เหลือแค่เขาและไป๋เวิ่นฉิงที่อยู่ข้างกายซูอี้
“ไม่ต้องรีบร้อน”
ซูอี้ขบคิด ก่อนจะเอ่ยขึ้น “ข้าใกล้จะทะลุขอบเขตเต็มที พวกเราหยุดพักที่เมืองจินหลิวก่อนเถิด”
วันนี้คือวันที่สองเดือนเก้า ยังเหลือเวลาอีกเดือนกว่า กว่าชุมนุมมวลพฤกษาจะเปิดฉาก
เมื่อครั้งซูอี้ออกเดินทางจากต้าโจว เป็นวันที่สองเดือนเจ็ด บัดนี้ผ่านไปสองเดือนกว่าแล้ว
ช่วงเวลานี้ พวกเขานายบ่าวสองคนไม่รู้เดินทางข้ามมาแล้วกี่อาณาจักร ผ่านพ้นสายน้ำภูผาไปตั้งเท่าไรต่อเท่าไร
ครั้งหนึ่ง ในวันสารทจีน ได้ช่วยเหลือสองพี่น้องเฉาผิง เฉาอัน ที่เขาฝูเซียน ต้าเหลียง ฆ่านักพรตผู้ฝึกผี บังเอิญพบ ‘เพื่อนเก่า’ ท่านเทพแห่งความกรุณา
และได้รู้จักกับสองอาจารย์ศิษย์ หลิงอวิ๋นเหอและชิงหยาในตอนนั้นเอง
ครั้งหนึ่ง เคยสังหารพวกผู้ฝึกตนแห่งต้าฉู่อย่างฮูหยินเมี่ยวหัวและคนอื่น ๆ เมื่อครั้งแล่นเรือบนแม่น้ำเทียนหลางในต้าฉู่ ช่วยให้ชิงหว่านผ่านคราวเคราะห์ที่เรียกได้ว่าพิศวงบันลือโลกได้อย่างราบรื่น ก้าวกระโดดกลายเป็นผู้ฝึกผีที่แท้จริง
และได้รู้จักกับไป๋เวิ่นฉิงภายในหุบเขาหานกู่ จนได้รับชีพจรหยินสัมบูรณ์
จนกระทั่งเข้ามาในดินแดนของอาณาจักรต้าเซี่ย
เคยบังเอิญเจอกับเฒ่าบอด ผู้สืบทอดสายเลือดโคมไฟผีเก็บโลงศพในเมืองผีเสี่ยวเฟิงตู…
เคยได้รับครรภ์อสูรจากงานชุมนุมหลิงชวี…
เคยสร้างความโกลาหลให้กับตระกูลจั่วแห่งชิงเถียนที่แคว้นอวี้ผิง สังหารคนพายเรือ นักฆ่าชั้นยอดของทะเลทุกข์ จนได้รับเมล็ดพันธุ์โดยกำเนิด
และเคยทำความรู้จักกับมังกรเกล็ดดำอิงเชวีย ที่ผามังกรด้วน…
จนบัดนี้ ได้มาถึงเมืองจินหลิวในแคว้นฝูเฟิง หวนนึกถึงประสบกาณ์ในสองเดือนที่ผ่านมา ซูอี้ก็อดสะท้อนใจไม่ได้ การเดินทางนี้ไม่เสียเปล่าจริง ๆ!
นี่แหละ ความหมายของการออกท่องโลก ขัดเกลาหัวใจแห่งเต๋าในโลกสามัญ ชะล้างตนเองท่ามกลางความขัดแย้งทางโลกครั้งแล้วครั้งเล่า!
ก่อนออกจากต้าโจว ซูอี้เพิ่งบรรลุขอบเขตไร้เบญจัญได้ไม่นาน
แต่ตอนนี้ เขากำลังจะบรรลุขอบเขตเปิดทวารแล้ว!
ก่อนบรรลุ สิ่งที่ซูอี้ต้องทำคือจัดระเบียบ และตกผลึกประสบการณ์ต่าง ๆ ในช่วงสองเดือนที่ผ่านมา
เช่นนี้ จึงจะบรรลุด้วยหัวใจสมบูรณ์ไร้ด่างพร้อย!
วันนั้น พวกซูอี้พักในเรือนห่างไกลผู้คนเงียบสงบแห่งหนึ่งในเมืองจินหลิว
ผ่านไปวันแล้ววันเล่า
ซูอี้ไม่ก้าวออกจากตัวเรือน นั่งสมาธิ นิ่งไม่ไหวติงประหนึ่งรูปปั้น
จนกระทั่งเจ็ดวันให้หลัง
เวลาพลบค่ำ หยวนเหิงและไป๋เวิ่นฉิงคล้ายสังหรณ์ใจ พร้อมใจกันมองไปที่ห้องซึ่งซูอี้อยู่