บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 473 ฮูหยินซีฮวา
ตอนที่ 473: ฮูหยินซีฮวา
ตอนที่ 473: ฮูหยินซีฮวา
ที่ประตูเมือง มีอักษร ‘อาณาจักรชิงไหว’ ถูกสลักไว้
หยวนเหิงอดหัวเราะไม่ได้และพูดว่า “ดูสิ นายท่าน เมืองเล็ก ๆ แห่งนี้เรียกตัวเองว่าอาณาจักร นี่ไม่ใช่กบในบ่อหรอกหรือ?”
ซูอี้พูดอย่างไม่แยแสว่า “เมืองนี้เป็นเพียงภาพลวงตา และสถานที่แห่งนี้ก็เป็นซากปรักหักพังโบราณ บางทีนานมาแล้วอาจมีอาณาจักรตั้งอยู่ที่นี่จริง ๆ”
หยวนเหิงตกใจ
ซูอี้ไพล่มือไว้ด้านหลังแล้วเดินเข้าไปในเมือง
ทั่วท้องถนนตรอกซอกซอยต่างครึกครืน คนเดินเท้าขวักไขว่แน่นขนัด โคมไฟถูกแขวนไว้สูง บรรยากาศดูเร่งรีบและพลุกพล่าน
เมื่อซูอี้กับพวกเดินเข้ามา หลายสายตาคู่ก็หันมามองพวกเขาตลอดทางด้วยท่าทางประหลาดใจ หยอกเย้า และครุ่นคิด
คล้ายทั้งสามจะพบความผิดปกติ
ซูอี้ทำไม่สนใจและเมินเฉยมัน
ทว่า หยวนเหิงและไป๋เวิ่นฉิงกลับรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย
ร่างเหล่านั้นคล้ายกับคนที่มีชีวิตกลุ่มใหญ่ แต่ในสายตาของพวกเขาแล้ว คนทั้งหมดต่างเป็นผีที่มีลักษณะแปลกประหลาดและน่าสะพรึงกลัว ร่างกายของพวกมันเต็มไปด้วยความมืดมน
ชายชราคนหนึ่งกำลังอุ้มศีรษะที่ขาดพลางเดินเล่นอยู่ตามท้องถนน
สตรีในชุดพิธีการที่มีเพียงท่อนบน ใบหน้าเปื้อนโลหิตและนัยน์ตาว่างเปล่ากำลังยิ้มอยู่
มีกลุ่มเด็กวิ่งไปรอบ ๆ หัวเราะร่าไปตามถนน เมื่อแขนของพวกเขาหล่นลง พวกเขาก็จะเก็บแขนขึ้น และเมื่อขาของพวกเขาหลุดลงมา พวกเขาเก็บขาขึ้น…
ฉากนั้นทำให้หยวนเหิงและไป๋เวิ่นฉิงรู้สึกหนาวจนตัวสั่น
เห็นได้ชัดว่าผีพวกนี้ไม่ใช่ภาพลวงตา แต่เป็นผีในโลกนี้ พวกมันแต่ละตนต่างอัปลักษณ์ แม้ว่าจะไม่ได้คุกคาม แต่ก็ชวนคลื่นไส้และอุจาดตาอย่างยิ่ง
“นายน้อย มาเล่นกันหน่อยไหมเจ้าคะ?”
กลุ่มสตรีที่ยืนอยู่บนตึกสีเขียวฝั่งหนึ่งพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม
ซูอี้ไม่แม้แต่จะลืมตาขึ้น
ช่วยไม่ได้ หากคนธรรมดามองด้วยตาเปล่าจะเห็นว่าสตรีเหล่านั้นดูงดงามดุจเทพธิดา
แต่ในสายตาของผู้ฝึกตน พวกมันเป็นเพียงกลุ่มของสัตว์ประหลาดหน้าตาอัปลักษณ์รูปร่างพิกล ท่าทางยามบิดตัวยั่วยวนของพวกมันชวนให้ผู้คนนึกขย้อนอาหารเมื่อคืนออกมา
หลังจากเดินเตร่อยู่พักหนึ่ง ซูอี้ก็ไม่พบสิ่งผิดปกติใด ๆ จึงอดที่จะรู้สึกผิดหวังเล็กน้อยไม่ได้
สถานที่ผีแห่งนี้ไม่เหมาะสำหรับคนเป็นเท่าใดนัก
ขณะที่ซูอี้กำลังจะจากไป เขาก็อดที่จะมองขึ้นไปบนท้องฟ้าไม่ได้
ข้างบนมีเมฆดำปั่นป่วนและหมอกหนาทึบ เพียงมองแวบแรกก็รู้ว่าไม่ปกติ
“เป็นไปได้หรือไม่ว่าที่นี่ยังมีความลึกลับซ่อนอยู่อีก?”
หัวใจของซูอี้หวั่นไหว ดวงตาลุ่มลึกคู่นั้นปรากฏประกายแสงลึกลับอย่างเงียบงัน พลางมองไปรอบด้าน
ทันใดนั้น ในสายตาของเขา เมืองที่พลุกพล่านและเต็มไปด้วยชีวิตชีวาก็ได้พลิกกลับตาลปัตรจนแผ่นดินสั่นสะท้าน
ในยามค่ำคืน ซากปรักหักพังของที่นี่กระจัดกระจาย หญ้ารกชัฏ กระดูกคนตายถูกกองเป็นพะเนิน และไฟผีสีเขียวก็วูบไหวเปล่งประกายเริงระบำ…
เป็นกลุ่มผีเดินพลุกพล่านดัง ‘ขบวนร้อยอสูรยามวิกาล’ ในตำนาน
นี่คือสภาพที่แท้จริงของเมืองที่เรียกว่า ‘อาณาจักรชิงไหว’
จนถึงเมื่อครู่นี้ซูอี้มองไปรอบ ๆ แต่เขาก็ไม่พบอะไรที่น่าจับตา
แต่ยามนี้เมื่อเขาใช้วิชาลับอย่างเงียบ ๆ เขาพลันเห็นในทันใดว่าภายในส่วนลึกของซากปรักหักพังรกร้างที่อยู่ไกลออกไปมีพลังของค่ายกลต้องห้าม ซึ่งยังคงสงบนิ่งไร้ความเคลื่อนไหวและไร้กลิ่นอายผันผวนใด ๆ ตั้งอยู่
ซึ่งแม้จะใช้จิตสัมผัสก็ยังยากที่จะรับรู้
“ค่ายกลสังหารรึ?”
ซูอี้เลิกคิ้วขึ้น
แม้ว่าพลังของค่ายกลต้องห้ามนี้จะยังไม่ได้เปิดใช้งาน แต่ภายใต้จิตสัมผัสของซูอี้ เขาก็ยังตัดสินได้ทันทีว่านี่เป็นค่ายกลสังหารที่ทรงพลังยิ่ง!
ถ้ามันเปิดใช้งานก็เพียงพอที่จะสังหารตัวตนวิถีต้นกำเนิดสามคนลงได้อย่างง่ายดาย
แม้ผู้ฝึกตนขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณจะเป็นคนมา หากไม่ทันระวังก็ย่อมถูกขังไว้ในนั้น!
“สหายมาจากแดนไกลมิใช่เรื่องน่ายินดีหรือ?”
ในขณะนั้นเองก็มีเสียงหัวเราะดังขึ้น
ซูอี้ถอนจิตสัมผัสกลับมา ทำให้ฉากที่พลุกพล่านก่อนนี้ย้อนกลับมาในครรลองสายตา
บนถนนที่พลุกพล่านอันห่างไกลภายในเมืองมีรถม้าสีทองแดงวิ่งตรงเข้ามา โดยร่างที่อยู่รอบ ๆ เหล่านั้นก็แหวกทางออกให้
ไม่นาน รถม้าก็หยุดลงเบื้องหน้าซูอี้และพวกพ้อง ก่อนที่หญิงสาวรูปลักษณ์งดงามผู้หนึ่งในชุดชาววังที่งดงามและแต่งหน้าอย่างประณีตจะเดินลงมา
“ซีฮวาผู้นี้คารวะสหายเต๋าทั้งสาม ผู้คนต่างล้วนเรียกข้าว่าฮูหยินซีฮวา”
หญิงสาวแย้มยิ้มหวานพลางโค้งคำนับให้กับซูอี้และพรรคพวก
นี่คือผู้ฝึกผีที่แท้จริง ด้วยฐานการฝึกฝนในขอบเขตรวบรวมดารา ในเมืองที่ผีสามารถเห็นได้ทุกที่นี้ นางดูโดดเด่นราวกับหงส์ในฝูงไก่ สะดุดตายิ่งนัก
หยวนเหิงกับไป๋เวิ่นฉิงอดทอดถอนใจไม่ได้ ลมปราณของฮูหยินซีฮวาเทียบได้กับจางอวิ๋นเทา ผู้อาวุโสของวังเทพสวรรค์เมฆา!
“ที่นี่คือสถานที่ที่เจ้าอาศัยและทำการบำเพ็ญฝึกฝนรึ?”
ซูอี้ถามอย่างไม่ใส่ใจ
ฮูหยินซีฮวาพยักหน้าด้วยรอยยิ้มและกล่าวว่า “ข้าได้ฝึกฝนอยู่ที่นี่มาเป็นเวลานานแล้ว จึงยากจะพานพบกับสหายเต๋าทั้งสามเช่นนี้ ข้ามีความสุขยิ่งนักจึงขอบังอาจเชิญสหายทั้งสามไปยังที่พักของข้าเพื่อพูดคุย”
หยวนเหิงและไป๋เวิ่นฉิงมองไปที่ซูอี้
พวกเขาต้องการปฏิเสธ แต่ซูอี้พยักหน้าและพูดว่า “ได้”
ฮูหยินซีฮวากล่าวอย่างมีความสุข “สหายเต๋าทั้งสาม เชิญ”
ว่าแล้วนางก็เดินนำทางไป
ในไม่ช้า ฮูหยินซีฮวาก็พาซูอี้และพวกไปยังสุดเขตเมือง ซึ่งมีกำแพงสีดำสูงสิบจั้งอยู่
ดวงตาของซูอี้หรี่ลงเล็กน้อย
ที่แห่งนี้เป็นที่ที่ค่ายกลสังหารซึ่งเขาเห็นก่อนหน้านี้ปกคลุมอยู่พอดี!
วาบ!
ฮูหยินซีฮวายกมือขึ้นโบก พลันมีแสงวาบปรากฏขึ้นบนกำแพงสีดำ และเผยให้เห็นบานประตู
“ท่านทั้งสามเชิญ”
ว่าแล้วฮูหยินซีฮวาก็เดินเข้าไปก่อน
ซูอี้พยักหน้าและเดินเข้าไปพร้อมกับหยวนเหิงและไป๋เวิ่นฉิง
ภายในประตูมีถ้ำที่มีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใครอยู่ ด้านในมีวัดเต๋าเก่าแก่ ต้นสนและพืชพรรณเขียวชอุ่ม ดูเงียบสงบนัก
มันราวกับแดนศักดิ์สิทธิ์เล็ก ๆ ที่ห่างไกลจากทางโลก
หยวนเหิงกับไป๋เวิ่นฉิงอดแปลกใจไม่ได้ พวกเขาไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะมีสถานที่อันสงบสุขซ่อนอยู่ในเมืองที่ภูตผีพลุกพล่านเช่นนี้
ในไม่ช้า กลุ่มคนที่นำโดยฮูหยินซีฮวาก็เข้าไปยังห้องโถงหลักใจกลางวัดเต๋า
บนผนังห้องโถงมีรูปวาดแขวนไว้ บนโต๊ะบูชาหน้ารูปวาดนั้นมีตะเกียงทองแดงส่องแสงสลัววางไว้เดี่ยว ๆ
บนภาพวาด มีแม่น้ำสีเลือดที่มีแท่นดอกบัวสีดำลอยอยู่ด้านบนวาดไว้
ส่วนชายสวมชุดคลุมสีดำสวมมงกุฎขนนก ก็กำลังนั่งไขว่ห้างอยู่บนแท่นดอกบัวในแม่น้ำสีเลือดของภาพนั้น โดยเห็นแต่เพียงแผ่นหลังราง ๆ
แม่น้ำโลหิตไหลเชี่ยวกับแท่นดอกบัวสีดำลอยอยู่ และชายชุดดำที่หันหลังให้กับสรรพสิ่งทั้งปวง แม้ว่าจะมีเพียงเงา แต่เขาก็ทำให้ผู้คนรู้สึกเหมือนว่าอีกฝ่ายนั่งอยู่บนสวรรค์ชั้นเก้า ให้ความรู้สึกโดดเดียวอย่างยิ่ง
เมื่อเข้าไปในห้องโถงแล้ว ซูอี้พลันหันไปมองยังภาพแปลก ๆ นี้ ก่อนเอ่ยถาม “รูปนี้สื่อถึงอะไรงั้นรึ?”
ฮูหยินซีฮวาทำความเคารพรูปภาพอย่างเคร่งขรึม ก่อนกล่าวว่า “นี่คือผู้ก่อตั้งโถงวิญญาณหยินทมิฬ สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ในการฝึกฝนผีแห่งแรกในโลกหล้าเมื่อสามหมื่นปีก่อน จักรพรรดิผีหมิงหลัว!”
ซูอี้พลันเผยสีหน้าประหลาดใจ
ยามอยู่ในเมืองผีเสี่ยวเฟิงตู เขาได้ยินหลิงอวิ๋นเหอพูดถึงโถงวิญญาณหยินทมิฬจึงทราบชัดว่าห้องโถงวิญญาณหยินทมิฬเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ในใจของผู้ฝึกผีในโลกหล้านี้ มันจึงไม่น่าแปลกใจเลย… ที่ภาพด้านหลังของจักรพรรดิผีหมิงหลัว ผู้ก่อตั้งโถงวิญญาณหยินทมิฬจะได้รับการประดิษฐานในที่พักของฮูหยินซีฮวา
“สหายเต๋าทั้งสามโปรดนั่งลงเถิด”
ฮูหยินซีฮวาพูดด้วยรอยยิ้ม ขณะเชื้อเชิญให้ซูอี้และคนอื่น ๆ นั่งลง
ทว่าซูอี้ส่ายหัว ก่อนเอ่ย “ไม่จำเป็น มาคุยธุระกันดีกว่า”
“ธุระรึ?”
ฮูหยินซีฮวาชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนมีท่าทีงุนงง
ซูอี้เคาะนิ้วและพูดอย่างสบาย ๆ “ในเมื่อเจ้าแสร้งทำเป็นสับสน เช่นนั้นข้าจะพูดให้ชัดเจน ด้วยค่ายกลสังหารที่ตั้งอยู่ที่นี่ มันย่อมไม่สามารถทำอะไรข้าได้ ตรงกันข้าม ตราบใดที่เจ้าลงมือ จุดจบของเจ้าคือความตาย”
ทันทีที่คำพูดเหล่านี้กล่าวออกมา หยวนเหิงกับไป๋เวิ่นฉิงก็ตกตะลึง ก่อนทั้งคู่จะมองไปยังฮูหยินซีฮวาอย่างตื่นตัวพร้อมกัน
ม่านตาของฮูหยินซีฮวาพลันหดลง ก่อนนางจะกล่าวว่า “ที่แท้สหายเต๋าก็พบมันแล้ว”
นางทัดไหมสีฟ้าไว้หลังหูแล้วพูดด้วยรอยยิ้มอันแสนอ่อนหวานว่า “เพียงแต่เจ้ากลายเป็นตะพาบในไห เป็นนกน้อยในกรงไปแล้ว ข้าคิดไม่ออกเลยว่าสหายเต๋าจะรอดพ้นจากปัญหาในสถานการณ์เช่นนี้ไปได้อย่างไร?”
ซูอี้เอ่ยเบา ๆ “ถ้าเจ้าคิดได้ เกรงว่าเจ้าไม่กล้าที่ต้อนรับหายนะเช่นข้าเข้าสู่ห้องโถงนี้หรอก”
“อย่างนั้นรึ?”
ดวงตาที่งดงามอันเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ของนางเต็มไปด้วยความหวังขณะกล่าว “เช่นนั้น… สหายเต๋าแสดงให้ข้าเห็นหน่อยเป็นอย่างไร?”
เห็นได้ชัดว่าฮูหยินซีฮวา ซึ่งเป็นผู้ฝึกตนผีขอบเขตรวบรวมดาราไม่สนใจคำเตือนของซูอี้เลย
ซูอี้ยกยิ้มอย่างคร้านจะพูดมากกว่านี้
เขาโบกแขนเสื้อ
ทั่วท้องฟ้าพลันปรากฏแสงอาทิตย์ส่องสว่าง
แต่ก่อนหน้านั้น ฮูหยินซีฮวาได้หายตัวไปดั่งเงา
มีเพียงเสียงถอนใจอย่างเห็นอกเห็นใจของนางดังขึ้นในห้องโถง “ทั้งสามท่าน อย่าได้โทษที่ข้าโหดเหี้ยม ใครใช้ให้… พวกเจ้าโง่มาติดกับดักเล่า!”
ขณะที่เสียงนั้นยังคงลอยอ้อยอิ่งอยู่ ตะเกียงอันเดียวดายบนโต๊ะเครื่องเซ่นไหว้หน้ารูปวาดก็ดับลงไปอย่างเงียบงัน
ทันใดนั้นห้องโถงก็ตกอยู่ในความมืด
ฉากเบื้องหน้าพวกซูอี้พลันเปลี่ยนไป ราวกับว่าพวกเขาอยู่ในนรกที่มืดมน บริเวณโดยรอบนั้นกว้างใหญ่และเต็มไปด้วยสีเทาหม่น
ตูม!
จู่ ๆ แม่น้ำสีเลือดอันกว้างใหญ่ก็ซัดสาดเข้ามา
ฟ้าร้องฟ้าผ่ากับลมฝนกระโชกแรงก็ตามมาติด ๆ
หลังจากนั้น ภูเขาที่ทับซ้อนไปด้วยกระดูกขาวก็โผล่ออกมาจากแม่น้ำสีเลือดสายยาว พุ่งลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า และมุ่งหน้าไปจัดการซูอี้กับพวก
ในเวลาเดียวกันยังคงมีฟ้าร้องสีเลือดและสายฟ้าฟาดลงมาอย่างต่อเนื่อง กระแสลมรุนแรงที่พัดผ่านท้องฟ้าได้กลายเป็นหอก และพายุฝนก็เปลี่ยนเป็นเสียงคำรามของปราณดาบ…
ในชั่วพริบตา พลังการสังหารอันน่าสะพรึงกลัวทุกชนิดพุ่งเข้ามาจากทั่วสารทิศ ทำให้ผู้คนยากจะหลบหนีหรือหลีกเลี่ยงมันได้
หยวนเหิงกับไป๋เวิ่นฉิงตัวแข็งทื่อราวกับตกลงไปในถ้ำน้ำแข็ง
เป็นค่ายกลสังหารที่น่ากลัวอะไรเช่นนี้!
เมื่อถูกพลังเช่นนั้นโถมเข้าใส่ทำให้พวกเขารู้สึกหายใจลำบากและสิ้นหวัง
เมื่อเห็นฉากนี้ ซูอี้ก็อดลอบพยักหน้าไม่ได้
พลังของค่ายกลนี้ไม่แตกต่างจากที่เขาเคยคาดไว้ก่อนหน้านี้มากนัก มันเพียงพอที่จะสังหารผู้ฝึกตนวิถีต้นกำเนิดลงอย่างง่ายดาย และยังอาศัยทีเผลอสังหารผู้ฝึกตนวิถีวิญญาณลงได้
โชคไม่ดีที่ซูอี้คอยเฝ้าระวังอยู่ก่อนแล้ว มันจึงไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง
เขาคร้านเกินกว่าจะใช้พลังปราณของตัวเองเพื่อทำลายค่ายกล
ฟึ่บ!
เมื่อซูอี้ใช้ปลายนิ้วคีบแผ่นยันต์ขึ้น ยันต์ลึกลับสีขาวดุจหยกก็พุ่งออกไป มันหมุนวนอยู่ในอากาศ ก่อนจะพลันเปล่งแสงเจิดจ้าดั่งดวงอาทิตย์กวาดผ่านท้องฟ้าและพื้นดินออกไปทุกทิศทุกทาง
ยันต์ทลายพันธนาการ!
เช่นเดียวกับ ‘ยันต์โคมตะวัน’ ที่ใช้ ณ ริมผามังกรด้วน… ทุกชิ้นล้วนถูกขัดเกลาโดยซูอี้ โดยใช้หยกจิตวิญญาณหายากที่ได้รับจากตระกูลจั่วเป็นวัตถุดิบ
หากไม่ใช่เพราะพลังจิตวิญญาณของซูอี้เทียบได้กับมหาปราชญ์วิถีวิญญาณ คงเป็นไปไม่ได้ที่จะหลอมสร้างยันต์วิถีวิญญาณขึ้นมา
ด้วยเหตุนี้ ที่ตัวซูอี้จึงมียันต์วิถีวิญญาณอยู่สิบสามชนิด ซึ่งทั้งหมดถูกหลอมสร้างขึ้นเมื่อเร็ว ๆ นี้ และแต่ละชนิดก็มีพลังอำนาจอันอัศจรรย์แตกต่างกัน
ในเมื่อจะทำลายค่ายกล… เช่นนั้นก็ใช้ยันต์ทลายพันธนาการสิ!