บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 474 ผู้บงการ นกเค้าโลหิตแห่งพรรคมารหยิน
ตอนที่ 474: ผู้บงการ นกเค้าโลหิตแห่งพรรคมารหยิน
ตอนที่ 474: ผู้บงการ นกเค้าโลหิตแห่งพรรคมารหยิน
ตูม!
ภูเขากระดูกสีขาวพังทลายลงทีละน้อย
สายฟ้าสีเลือดบนท้องฟ้าถูกพัดกระจัดกระจายออกไป
สายลมกระโชกแรงที่กลายเป็นหอก และสายฝนที่ตกลงมาซึ่งกลายเป็นปราณดาบก็เปราะบางราวกับต้นหญ้าสลายเป็นเถ้าถ่าน
ในชั่วพริบตา ภายใต้แสงเจิดจ้าดุจดวงอาทิตย์ที่กวาดออกไปของยันต์ทลายพันธนาการ พลังการสังหารที่พุ่งมาจากทุกทิศทุกทางจึงได้พังทลายลง
ท่ามกลางสายฝนโปรยปรายไม่มีที่สิ้นสุด สีหน้าของหยวนเหิงกับไป๋เวิ่นฉิงเต็มไปด้วยความตกใจ
ทว่าซูอี้คล้ายกับเพียงทำเรื่องเล็กน้อย เขาชี้นิ้วไปยังยันต์ทลายพันธนาการในอากาศ
ซู่ม!
รัศมีเจิดจ้าดุจแสงอาทิตย์ที่เพิ่งกวาดออกไปได้กลายเป็นปราณดาบยาวพันจั้ง และฟาดฟันโลกที่มืดมนราวกับนรกนี้อย่างรุนแรง
ตูม!
โลกพลิกกลับด้าน ฟ้าดินถูกแยกออกด้วยดาบ ทำให้อักขระค่ายกลที่พลุ่งพล่านกระจายออกไปราวกับกระแสน้ำ
ฉากเบื้องหน้าเขาได้เปลี่ยนไป มันยังคงอยู่ในวัดเต๋าเช่นเดิม แต่ค่ายกลสังหารที่น่าสะพรึงกลัวได้หายไปแล้ว
“ค่ายกลสังหารที่น่าสะพรึงกลัวถึงเพียงนั้น… กลับแตกสลายลงเช่นนี้เลยหรือ?”
หยวนเหิงและไป๋เวิ่นฉิงดูมึนงง
“เป็นไปได้อย่างไรกัน!?”
เสียงกรีดร้องเปี่ยมโทสะระคนไม่อยากเชื่อดังมาจากนอกห้องโถง
เมื่อมองออกไปเห็นฮูหยินซีฮวานั่งอยู่บนพื้น ใบหน้าของนางขาวซีด และมีรอยแตกปรากฏบนแผ่นค่ายกลในมือของนาง
ก่อนหน้านี้ เมื่อค่ายกลสังหารถูกทำลาย นางซึ่งเป็นผู้ควบคุมค่ายกลสังหารก็ได้รับผลสะท้อนกลับและได้รับบาดเจ็บ
“ทั้งที่คิดจะพูดคุยกับเจ้าดี ๆ แต่เหตุใดเจ้ากลับยังคิดรนหาที่ตายอีก?”
ซูอี้เดินออกจากห้องโถงและมองหน้าอีกฝ่ายอย่างเฉยเมย “ตอนนี้ พวกเราจะมาพูดคุยกันดี ๆ ได้หรือยัง?”
เมื่อถูกซูอี้จ้องมอง ฮูหยินซีฮวาพลันสั่นสะท้านไปทั้งตัว
นางลุกขึ้นยืนอย่างยากลำบาก พร้อมกับขมวดคิ้วเล็กน้อย และกล่าวว่า “ผู้ฝึกเต๋า… เจ้าต้องการจะพูดคุยเรื่องอันใดหรือ?”
“ใครเป็นคนใช้ให้เจ้าสร้างค่ายกลสังหารเพื่อจัดการกับข้า?”
ซูอี้ถาม
ฮูหยินซีฮวาก้มศีรษะลงและกล่าวว่า “เป็นข้าที่ไม่มีตา คิดว่าตนสามารถสังหารผู้ฝึกตนสามคนและปล้นสมบัติได้…”
เพียะ!
การตบที่แก้มของฮูหยินซีฮวาทำให้นางเซและกระเด็นถอยหลังไป โหนกแก้มที่งดงามของนางยุบลง เลือดซึมจากมุมปาก และผมเผ้าของนางก็ยุ่งเหยิง
ในสายตาของซูอี้ยามนี้ ผู้ฝึกผีในขอบเขตรวบรวมดาราตรงหน้าเขา… ก็ดูไม่ต่างอันใดไปจากต้นหญ้าที่จะถอนทิ้งเมื่อไรก็ได้
ดวงตาของซูอี้เย็นชา ขณะกล่าวว่า “เจ้าเป็นเพียงผู้ฝึกผีในขอบเขตรวบรวมดารา หากไม่ได้รับความช่วยเหลือจากผู้อื่น เป็นไปไม่เลยได้ที่จะสร้างค่ายกลสังหารนี้ขึ้นมาได้ ถ้าเจ้าไม่บอกความจริงมาก็อย่าโทษข้าที่ทำตัวหยาบคาย”
ฮูหยินซีฮวาที่รับรู้ถึงความแข็งแกร่งของซูอี้ได้แต่ตัวสั่นแล้วคุกเข่าลงบนพื้น
“ท่านเซียนโปรดใจเย็นก่อน ข้าน้อยผิดไปแล้ว! เป็นอย่างที่ท่านเซียนพูด เหตุผลที่ข้าน้อยลงมือกับท่านเซียนในครั้งนี้… เป็นเพราะได้รับคำไหว้วานมาจากผู้อื่นจริง ๆ เจ้าค่ะ”
หยวนเหิงกับไป๋เวิ่นฉิงตกตะลึง สถานที่ผีแห่งนี้เป็นกับดักที่เตรียมไว้ล่วงหน้าอย่างนั้นหรือ?
“บอกข้ามาว่าใครใช้ให้เจ้าทำเรื่องนี้”
ซูอี้กล่าว
สีหน้าของฮูหยินซีฮวาลังเลอยู่พักหนึ่ง สุดท้ายนางก็พูดอย่างขมขื่นว่า “ไม่บังอาจโกหกท่านเซียน หลังจากเห็นฝีมือของท่านเซียนแล้ว ข้าน้อยพลันตระหนักว่าตนก็ถูกหลอกเช่นกันเจ้าค่ะ”
หลังจากเอ่ยเช่นนั้นแล้ว นางก็กล่าวชี้แจง
ปรากฏว่าเมื่อสามวันก่อน ชายวัยกลางคนที่เรียกตัวเองว่า ‘นกเค้าโลหิต’ มาพบฮูหยินซีฮวาและขอความช่วยเหลือจากฮูหยินซีฮวาในการสังหารซูอี้และพวก
หลังจากสังหารสำเร็จ นกเค้าโลหิตจะมอบวิชาลับที่อยู่ในวิถีวิญญาณให้แก่ฮูหยินซีฮวา
ฮูหยินซีฮวาลังเลในตอนแรก
ทว่าหลังจากที่นกเค้าโลหิตได้นำตราสัญลักษณ์ออกมา มันก็ได้ขจัดความลังเลของฮูหยินซีฮวาลง นางจึงตอบตกลง
ตามคำอธิบายของนกเค้าโลหิต พวกซูอี้ทั้งสามอยู่ขอบเขตไร้เบญจธัญ
ด้วยเหตุนี้ นกเค้าโลหิตจึงลงมือช่วยฮูหยินซีฮวาวางแผนการสังหารเอง
ภายใต้สถานการณ์ดังกล่าว ฮูหยินซีฮวานึกโล่งใจอย่างสมบูรณ์
ดังนั้นจึงเกิดเรื่องในคืนนี้ขึ้น
น่าเสียดาย ฮูหยินซีฮวาไม่เคยคิดเลยว่าซูอี้จะไม่ได้อยู่ในขอบเขตไร้เบญจธัญ แต่เป็นตัวตนที่น่าสะพรึงกลัวที่มีการฝึกฝนในขอบเขตเปิดทวาร และมีพลังในการต่อสู้ที่ทรงพลังมากจนตัวตนในขอบเขตรวบรวมดาราอย่างนางดูเปราะบางอย่างยิ่ง
แม้แต่ค่ายกลสังหารที่สามารถสังหารผู้คนในขอบเขตรวบรวมดาราลงได้ก็ถูกทำลายลงอย่างง่ายดาย!
ทั้งหมดนี้ทำให้ฮูหยินซีฮวาคิดว่านางถูกหลอก และถูกนกเค้าโลหิตวางกับดัก!
หลังจากฟังแล้ว ซูอี้ก็ขมวดคิ้วและพูดว่า “นกเค้าโลหิตตัวนี้มีที่มาอย่างไร?”
ฮูหยินซีฮวาสูดหายใจเข้าลึกแสดงท่าทางเกรงกลัวและหวาดกลัว และกล่าวว่า “ข้าไม่ทราบที่มาของคนผู้นี้ แต่ข้ารู้ว่าเขามีขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณ ฐานการบ่มเพาะเป็นของมหาปราชญ์สวรรค์สายผู้ฝึกผีเจ้าค่ะ!”
ในคำอธิบายของนาง นกเค้าโลหิตสวมเสื้อคลุมของผู้ฝึกเต๋า เป็นชายวัยกลางคนร่างผอมเห็นกระดูกที่ดูเหมือนผู้ฝึกเต๋า ไม่คล้ายผู้ฝึกผีเลย
“ปรากฏว่าเป็นผู้ฝึกผีในขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณที่ต้องการจัดการกับนายท่าน!”
หยวนเหิงสูดหายใจเข้าลึก
เมื่อมองไปที่ไป๋เวิ่นฉิง จึงพบว่าสีหน้าของนางดูประหลาดใจ
“เจ้าบอกว่าตอนนี้ นกเค้าโลหิตหยิบสัญลักษณ์ออกมาก่อนที่เจ้าจะตกลงช่วยเขาในที่สุด สัญลักษณ์นี้มีประโยชน์อะไร?”
ซูอี้ถามอีกครั้ง
“สัญลักษณ์นั้นเป็นของทูตแห่งพรรคมารหยินเจ้าค่ะ มันสลักด้วยสัญลักษณ์พิเศษของ ‘โถงวิญญาณหยินทมิฬ’ ซึ่งหมายความว่านกเค้าโลหิตจะต้องเป็นลูกหลานดั้งเดิมของ ‘โถงวิญญาณหยินทมิฬ’ ไม่ใช่ตัวตนที่ผู้ฝึกผีในพรรคมารหยินคนอื่น ๆ ในโลกนี้จะเทียบได้”
ฮูหยินซีฮวาตอบอย่างรวดเร็ว
“ปรากฏว่าเป็นเศษเดนจากโถงวิญญาณหยินทมิฬ…”
จู่ ๆ ซูอี้ก็นึกถึงธิดาศักดิ์สิทธิ์เสวียนจื่อซึ่งเขาได้เห็นในงานชุมนุมหลิงชวี และบุตรสวรรค์เนี่ยเฟิงที่ถูกเขาสังหารด้วยมือตัวเอง
ทั้งสองคนเป็นสัตว์ประหลาดในยุคโบราณจากโถงวิญญาณหยินทมิฬอย่างเห็นได้ชัด!
‘นกเค้าโลหิตนี้ไม่รู้ว่าจะมาเพื่อล้างแค้นให้บุตรสวรรค์เนี่ยเฟิง หรือเพื่อนำครรภ์อสูรที่ตกอยู่ในมือข้ากลับคืนไป หรือไม่ก็ทั้งสองอย่าง’
ซูอี้ครุ่นคิดในใจ
แต่ทว่า ผู้ฝึกตนวิถีวิญญาณอย่างนกเค้าโลหิตก็ซ่อนอยู่เบื้องหลังและหลอกใช้ฮูหยินซีฮวา ยืมมีดเพื่อสังหารผู้คน ไม่ต้องสงสัยเลยว่าอีกฝ่ายจะต้องระมัดระวังอย่างยิ่งและมีความเข้าใจในตัวเขาอย่างลึกซึ้ง
ไม่เช่นนั้น หากอีกฝ่ายมารนหาที่ตายเองก็ไม่ต้องเปลืองแรงเขาแล้ว
“เจ้ามั่นใจได้อย่างไรว่าคืนนี้ข้าจะมาที่นี่แน่?
ซูอี้ถามอีกครั้ง ฮูหยินซีฮวากระซิบตอบ
“นกเค้าโลหิตกล่าวว่าหากท่านเซียนต้องการออกจากเมืองจินหลิวเพื่อไปยังนครหลวงจิ๋วติ่ง เมืองหลวงของต้าเซี่ย เขาจะต้องผ่านที่นี่อย่างแน่นอน หากมีการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ เมื่อท่านเซียนผ่านมาจะต้องถูกดึงดูดอย่างแน่นอน ข้าน้อยเพียงทำตามที่ถูกบอกเอาไว้เจ้าค่ะ”
“ดูเหมือนว่านกเค้าโลหิตนี่จะลอบติดตามข้ามาเป็นเวลานานแล้ว…” ซูอี้เลิกคิ้วเล็กน้อย
หลังจากที่เขาก้าวเข้าสู่ขอบเขตเปิดทวาร พลังจิตวิญญาณก็ทะลวงขึ้นไปอีก ซึ่งมันเหนือว่าที่ตัวตนวิถีวิญญาณทั่วไปจะเทียบได้
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ เขากลับไม่ได้สังเกตเห็นร่องรอยของความผิดปกติระหว่างทาง
นอกจากการระมัดระวังแล้ว ไม่ต้องสงสัยเลยว่านกเค้าโลหิต มหาปราชญ์สวรรค์ขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณผู้นี้มีทักษะที่ยอดเยี่ยมมากในการสะกดกลิ่นอายและปกปิดร่องรอยเพียงใด
แค่จุดนี้ นกเค้าโลหิตก็ยุ่งยากและอันตรายยิ่งกว่าลี่เมี่ยวหง ซึ่งเป็นตัวตนขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณเช่นกันแล้ว
เมื่อเห็นว่าซูอี้เงียบไป ฮูหยินซีฮวาก็ตื่นตระหนก นางโค้งคำนับและกล่าวอ้อนวอน
“ท่านเซียน ข้าน้อยได้บอกความจริงในสิ่งที่รู้ไปหมดแล้ว โปรดยกโทษให้ความไม่รู้ของข้าน้อยด้วย หากไว้ชีวิต ข้าน้อยยินดีมอบกายนี้…”
ฟุบ!
ก่อนที่ฮูหยินซีฮวาจะพูดจบ จู่ ๆ ปราณดาบก็ปรากฏขึ้นเข้าตัดศีรษะของนางทันใด
ความแข็งแกร่งของปราณดาบได้กำจัดนางออกจากไปโลกอย่างรวดเร็วจนไม่ทันได้ตอบสนอง
“ในเมื่อรับปากว่าจะสังหารคนเพื่อผู้อื่นก็ต้องแบกรับราคาที่ต้องชดใช้ ทั้งหมดที่ข้าทำได้คือทำให้เจ้าตายโดยไร้ความเจ็บปวด”
ซูอี้พูดเบา ๆ ท่าทางของเขาดูไม่แยแส
หยวนเหิงกับไป๋เวิ่นฉิงต่างไม่มีความเห็นใจต่อการตายของฮูหยินซีฮวา
บางสิ่งเมื่อทำลงไปแล้วก็ต้องจ่ายค่าตอบแทน
หากพวกเขาพ่ายแพ้ในครั้งนี้ ฮูหยินซีฮวาจะเมตตาและไว้ชีวิตพวกเขาหรือไม่?
คำตอบนั้นชัดเจน
“หยวนเหิง ไปปลดรูปในห้องโถงออกมา”
ซูอี้สั่ง
“ขอรับ”
หยวนเหิงรีบนำรูปนั้นกลับไปและถามอย่างสงสัยว่า “นายท่าน รูปนี้เองก็เป็นสมบัติอย่างนั้นหรือขอรับ?”
ซูอี้หยิบรูปภาพนั้น ก่อนพินิจอีกครั้งพลางกล่าว “มันไม่ใช่สมบัติ ข้าแค่สงสัยเกี่ยวกับ ‘จักรพรรดิผีหมิงหลัว’ ผู้นี้เล็กน้อย แม้ว่าภาพนี้จะแสดงเพียงด้านหลังของจักรพรรดิผีหมิงหลัว แต่ก็มีเบาะแสที่มีค่าอยู่มากมาย”
หยวนเหิงเอ่ยขอคำแนะนำอย่างนอบน้อม “ขอให้นายท่านโปรดชี้แจงข้อสงสัยด้วย”
“ถ้าข้าเดาถูก แม่น้ำโลหิตในภาพวาดนี้คือ ‘แม่น้ำบาปสีเลือด’ ที่มีชื่อเสียงที่สุดในภูมิมืดมิด แม่น้ำสายนี้มีต้นกำเนิดมาจากแดนชำระบาป ดินแดนแห่งความชั่วร้าย ปลายน้ำไหลลงสู่ทะเลทุกข์อันไร้ขอบเขต แม่น้ำเต็มไปด้วยพลังแห่งบาป ไม่ว่าสิ่งมีชีวิตหรือสิ่งที่ตายแล้ว เมื่อถูกน้ำในแม่น้ำปนเปื้อนก็จะถูกกัดกร่อน”
ซูอี้กล่าวอย่างสบาย ๆ “คนในขอบเขตจักรพรรดิเท่านั้นที่จะไม่ได้รับผลกระทบและการกัดเซาะของพลังแห่งแม่น้ำบาปสีเลือด”
“แต่จักรพรรดิผีหมิงหลัวในภาพนี้ เวลานั้นคงจะยังไม่ได้ก้าวเข้าสู่ขอบเขตจักรพรรดิ แต่เขากลับสามารถนั่งอยู่บนแม่น้ำบาปสีเลือดด้วยสมบัติดอกบัว และตระหนักรู้ถึงพลังแห่งบาป เพียงเท่านี้ก็เพียงพอแล้วที่จะพิสูจน์ให้เห็นว่าก่อนที่จะก้าวเข้าสู่ขอบเขตจักรพรรดิ จักรพรรดิผีหมิงหลัวผู้นี้เองก็เป็นตัวตนที่ทรงพลังมาก”
หยวนเหิงกับไป๋เวิ่นฉิงต่างตกตะลึง
พวกเขาไม่ได้คาดหวังว่าซูอี้จะวิเคราะห์สิ่งต่าง ๆ มากมายจากภาพวาดภาพเดียว
และดูคล้ายว่าเขาจะเข้าใจสถานการณ์ของโถงวิญญาณหยินทมิฬเหมือนหลังมือตน!
นอกจากนี้ เพียงดูจากน้ำเสียงที่เป็นธรรมชาติและสบาย ๆ ของซูอี้ เมื่อพูดถึงตัวตนในขอบเขตจักรพรรดิก็ทำให้ทั้งสองคนตัวสั่นอย่างยากจะอธิบาย
“นะ นายท่าน… เคยเห็นขอบเขตจักรพรรดิตัวจริงงั้นหรือ!?”
หยวนเหิงตกใจจนจิตใจสั่นสะท้าน
หยวนเหิงในตอนนี้ไม่อาจนำไปเทียบกับยามอยู่ต้าโจวได้
ด้วยความเข้าใจในการจองจำแห่งยุคมืดสามหมื่นปี และเหตุผลที่ว่าเหตุใดกลุ่มผู้ฝึกเต๋าโบราณเหล่านั้นจึงได้หายไปในแม่น้ำสายประวัติศาสตร์อันยาวนาน เขาจึงมั่นใจว่าไม่มีขอบเขตจักรพรรดิปรากฏขึ้นในมหาทวีปคังชิง
และนี่เองคือสิ่งที่ทำให้เขาสับสน
นายท่านอายุเพียงสิบเจ็ดปี ทั้งมิใช่ผู้สิงสถิตหรือผู้ร้ายกาจจากยุคโบราณ ทว่าหากเขาไม่เคยพบตัวตนขอบเขตจักรพรรดิมาก่อน เช่นนั้นแล้วเขาจะคุ้นเคยกับตัวตนขอบเขตจักรพรรดิได้อย่างไรกัน?
หยวนเหิงไม่เข้าใจและไม่ต้องการที่จะเข้าใจ
เขารู้ว่านี่จะต้องเป็นความลับของนายท่าน และเขาควรเก็บความสงสัยที่ไม่อาจเข้าใจไว้ในท้องต่อไป
นี่เป็นหน้าที่ของบ่าว
ส่วนไป๋เวิ่นฉิง สีหน้าของนางเองก็เต็มไปด้วยความสับสน
ซูอี้เหลือบมองหยวนเหิงกับไป๋เวิ่นฉิงแล้วส่ายหัวไปครู่ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าสิ่งที่เขาพูดไปเมื่อครู่ไม่ต่างจากสีซอให้ควายฟัง
เขาคร้านที่จะพูดต่อ จึงพลิกภาพเหมือน แล้วโยนมันลงในจี้หยกหอยหิมะ ขณะที่เขากำลังจะจากไป ในเวลานี้เองท้องฟ้ายามค่ำคืนที่อยู่ไกลออกไปก็พลันมีแสงพร่างพราวระยิบระยับส่องไปทั่ว!