บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 476 หัวใจแห่งดาบปนเปื้อน
ตอนที่ 476: หัวใจแห่งดาบปนเปื้อน
ตอนที่ 476: หัวใจแห่งดาบปนเปื้อน
แม้เจียงหลีจะหันหลังให้กับทุกคน และแหงนหน้ามองดาวบนฟ้ากว้าง แต่ก็ยังรู้สึกถึงภาพเบื้องหลังได้อย่างชัดเจน
นางชะงักไปเล็กน้อย ก่อนแอบส่ายหน้ากับตัวเอง และคร้านที่จะสนใจอีก
“ศิษย์พี่ศิษย์น้องทุกท่าน พวกเจ้ารอดูให้ดี หลังจากที่ศิษย์น้องชิวแนะนำสถานะพวกเราให้ไอ้หนุ่มแซ่ซูผู้นั้นแล้ว มันจะต้องมีท่าทางเหมือนถูกเข็มทิ่มตูด ลุกขึ้นอย่างลุกลี้ลุกลน และต้องมาทำความเคารพพวกเราด้วยความนอบน้อมและจริงใจแน่”
เถาอวิ๋นฉือเอ่ยกับทุกคน มุมปากยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย แววตาเจือไปด้วยความหยอกล้อ
คนโง่เขลาย่อมไม่มีความเกรงกลัว
เห็นได้ชัดว่าสหายเก่าของชิวเหิงคงผู้นี้มองสถานะของพวกเขาเหล่านี้ไม่ออก
ไม่เช่นนั้น คงนั่งไม่ติดไปนานแล้ว
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ของเถาอวิ๋นฉือ ความรู้สึกไม่สบายใจที่สุมอยู่ในใจคนที่เหลือก็ค่อย ๆ หายไป และพากันยิ้มขึ้นมาอย่างทนไม่ไหว
จริง ๆ แล้วการที่ผู้ฝึกตนที่มาจากสถานที่เล็ก ๆ คนหนึ่ง ไม่รู้ว่าพวกเขาเหล่านี้มาจากสำนักดาบเทียนชู มันก็เป็นเรื่องที่ไม่แปลกอะไร
ถึงอย่างไร การเปิดหูเปิดตาก็เป็นเรื่องเล็กน้อย คล้ายกับกบที่อยู่ในบ่อ
ชิวเหิงคงอึ้งกับท่าทางที่สบายนี้ของซูอี้ พลันใจเต้นตึกตักขึ้นทันที จึงเร่งรีบเอ่ย “สหายเต๋าซู ข้าจะแนะนำให้เจ้า…”
เขาอยากใช้โอกาสนี้เตือนซูอี้ ว่าเจียงหลี เถาอวิ๋นฉือและคนอื่น ๆ นั้นไม่ธรรมดา มิอาจปฏิบัติตัวตามใจชอบเช่นนี้ได้
แต่ก่อนที่เขาจะเอ่ยจบ ก็ถูกซูอี้เอ่ยขัดขึ้น “เจ้ากับข้ามารำลึกถึงอดีตกัน ไม่คุยถึงเรื่องอื่น รีบนั่งลงเถิด”
สีหน้าของชิวเหิงคงเปลี่ยนไปครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ถอนใจออกมา คล้ายกับยอมแพ้ และนั่งลงบนก้อนหินใหญ่ที่อยู่ด้านข้างพร้อมยกสุราขึ้นดื่มไปหนึ่งอึก
ภาพเช่นนี้ ทำให้เถาอวิ๋นฉือและคนอื่น ๆ รู้สึกอึดอัดไปหมด พวกเขายังรอดูท่าทางหวาดกลัวของซูอี้ในตอนที่เคารพพวกเขาอยู่
แต่ไม่นึกเลยว่า อีกฝ่ายกลับมีท่าทีที่ไม่สนใจเลยแม้แต่น้อย และยังขัดการแนะนำของชิวเหิงคงอีก!
“รอก่อนเถิด ไอ้หนุ่มนี่จะต้องทำความเคารพพวกเราด้วยความนอบน้อมและจริงใจแน่!”
น้ำเสียงเยาะเย้ยของเถาอวิ๋นฉือดังขึ้น
ไม่ไกลนัก
ชิวเหิงคงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยเสียงเบาขึ้น “สหายเต๋าซู อย่าหาว่าข้าพูดมากเลย บุรุษสตรีเหล่านั้นต่างก็เป็นบุคคลสูงศักดิ์แห่งสำนักดาบเทียนชู คนที่เป็นหัวหน้าคือเจียงหลี ศิษย์สายในของสำนักดาบเทียนชู…”
สำนักดาบเทียนชู!
แค่เพียงชื่อเท่านั้น ก็มีพลังน่าสะพรึงกลัวอย่างมากสำหรับผู้ฝึกตนบนโลกนี้แล้ว
ชิวเหิงคงเชื่อว่า ซูอี้ที่ท่องไปทั่วต้าเซี่ยจนถึงวันนี้ จะต้องรู้ว่ากำลังของสำนักดาบเทียนชูมีมหาศาลเพียงใด และฐานะของศิษย์เหล่านั้นสูงศักดิ์เพียงใด
ทว่าเขายังเอ่ยไม่ทันจบ ซูอี้ก็ถอนหายใจออกมาเบา ๆ และเอ่ยด้วยความรู้สึกที่ปลง “สหายเต๋าชิว เจ้าในอดีตมีหัวใจแห่งดาบดุจเหล็กกล้า และมีความทระนงตน แม้แต่ตอนที่ต่อสู้กับข้าซูผู้นี้ในตอนนั้น ก็ไม่หวาดกลัวต่อความพ่ายแพ้ และหัวเราะให้กับความเป็นความตาย”
สายตาเขามองไปทางชิวเหิงคง “แต่เหตุใดยามนี้เจ้าถึงได้เปลี่ยนเป็นเช่นนี้ไปเสียแล้วเล่า?”
เมื่อหวนนึกถึงชิวเหิงคงในตอนนั้น อีกฝ่ายได้รับยกย่องเป็นนักดาบอันดับหนึ่งแห่งต้าเว่ย และความรู้วิถีดาบของเขาก็ถูกขัดเกลาจนแก่กล้าอย่างมาก
และก็เป็นคนเดียวที่ถูกซูอี้มองว่า ‘โดดเด่น’ ในตอนนั้น
เรียกได้ว่าเป็นนักดาบที่แท้จริงคนหนึ่ง
ทว่ายามนี้ ตั้งแต่ชิงเหิงคงปรากฏตัวออกมา เขาก็แสดงท่าทางไหลไปตามน้ำ ห่วงหน้าพะวงหลัง ในระหว่างที่สนทนากันแทบไม่มีท่าทางเช่นตอนนั้นอีกเลย?
ในยามนี้ ซูอี้จึงได้เอ่ยคำพูดนี้ออกมาด้วยน้ำเสียงหยิ่งยโส ทำให้เจียงหลี เถาอวิ๋นฉือกับคนอื่น ๆ ที่อยู่ไกล ๆ ได้ยินด้วย
เจียงหลีทำท่าทางเหมือนครุ่นคิดสิ่งใดอยู่
เถาอวิ๋นฉือกับคนอื่น ๆ แอบหัวเราะเยาะ ชิวเหิงคงมีหัวใจแห่งดาบดุจเหล็กกล้า? มีความทระนง? เห็นได้ชัดว่ากำลังพูดจาไร้สาระ
พวกเขามองเรื่องเหล่านี้ไม่ออกเลย รู้เพียงแค่ว่าชิวเหิงคงคือศิษย์สายนอกคนหนึ่งที่เพิ่งเข้าร่วมสำนักมาได้ไม่นาน มีฐานะต่ำต้อยดุจทาส เมื่อเรียกให้มาก็มา เมื่อไล่ให้ไปก็ไป!
“ข้า…”
ชิวเหิงคงรู้สึกปั่นป่วน เป็นเวลานานเขาถึงได้เอ่ยออกมาอย่างทอดถอนใจ “สหายเต๋าซู จนถึงยามนี้ เจ้าก็ยังไม่เข้าใจรึ สถานที่ที่เราอยู่ในอดีตเมื่อเทียบกับต้าเซี่ยแล้ว มันก็เป็นเหมือนกับบ่อน้ำบ่อหนึ่ง และพวกเราก็เป็นดั่งกบที่อยู่ในบ่อน้ำนั้น ไม่ว่าตอนนั้นจะอวดดีมากแค่ไหน สุดท้ายก็ยังเป็นเพราะความโง่เขลาอยู่ดี”
“รอให้ถึงอาณาจักรต้าเซี่ยจริง ๆ ก็จะเข้าใจเองว่าโลกใบนี้กว้างใหญ่มาก แต่ตัวเรานั้นเล็กนิดเดียว”
เมื่อเอ่ยมาถึงตรงนี้ เขาก็มองซูอี้ด้วยสีหน้าลึกซึ้ง ก่อนเอ่ย “ข้าเปลี่ยนไปแล้วจริง ๆ เพราะข้ารู้ถึงความห่างระหว่างอดีตกับตอนนี้ ได้รู้ถึงความห่างชั้นระหว่างข้ากับเหล่าตัวตนสูงสุดบนโลกนี้ และข้าจะไม่เป็น… คนโง่เขลาที่ไม่มีความเกรงกลัวเหมือนอย่างอดีตอีก”
เมื่อเอ่ยจบ เขาก็ถอนหายใจยาวออกมาอีกครั้ง พลางยกสุราขึ้นดื่มไม่หยุด และมีท่าทางดูตกต่ำเป็นอย่างมาก
คำพูดนี้ ทำให้หยวนเหิงกับไป๋เวิ่นฉิงรู้สึกคล้อยตามไปด้วย
อาณาจักรต้าเซี่ยแห่งนี้ คือสถานที่อันมีภูมิตำแหน่งอันวิเศษ เป็นที่กำเนิดชนผู้ประเสริฐ เปี่ยมไปด้วยผู้แกร่งกล้าจนมิอาจนำสถานที่อื่น ๆ มาเปรียบเทียบกับต้าเซี่ยได้
พวกเขาก็เคยรู้สึกทอดถอนใจที่เมื่อก่อนก็เป็นเหมือนกบในบ่อน้ำ แต่วันนี้พวกเขาได้รู้แล้วว่าโลกนี้กว้างใหญ่เพียงใด
ทว่าพวกเขากลับไม่เห็นด้วยกับคำพูดทั้งหมดของชิวเหิงคง
อย่างเช่น ในจิตใต้สำนึกของชิวเหิงคง เทียบตัวเขาเองกับซูอี้ในอดีตเป็นเหมือนกับ ‘กบที่อยู่ในบ่อน้ำ’ สิ่งนี้ไม่ถูกต้อง
ไม่เพียงแค่ไม่ถูกต้อง แต่ยังผิดมหันต์ยิ่ง!
แต่หยวนเหิงกับไป๋เวิ่นฉิงไม่ได้โต้แย้งออกไปอย่างรู้งาน
ชิวเหิงคงเพิ่งเจอกับซูอี้ได้ไม่นาน อาจจะยังไม่รู้ว่าซูอี้ที่อยู่ตรงหน้าเขาในยามนี้มีความน่าสะพรึงกลัวมากเพียงใด!
ซูอี้ยกสุราในขวดน้ำเต้าขึ้นจิบ ก่อนเอ่ย “รู้ถึงความห่างชั้นไม่ได้เป็นเรื่องที่เลวร้ายอะไร แต่เมื่อหัวใจแห่งดาบได้ปนเปื้อนไปแล้ว จากนี้ไปคงยากที่จะชะล้างให้มันบริสุทธิ์ และทำให้มันแหลมคมเหมือนดั่งในอดีตได้…”
สิ่งใดที่เรียกว่าหัวใจแห่งดาบ?
สิ่งใดที่เรียกว่าความทระนง?
กล้าหาญเพียรพยายาม ไม่หวาดกลัวความเป็นความตาย ไม่หวาดหวั่นต่อความพ่ายแพ้ ยอมตายแต่ไม่ยอมศิโรราบ!
กักเก็บไว้ในใจชั่วขณะหนึ่ง ย่อมได้
แต่เมื่อเอาแต่ยอมถดถอยอย่างเดียวเป็นเวลานาน หัวใจแห่งดาบก็จะเต็มไปด้วยสิ่งปนเปื้อน ความทะนงตนก็จะถูกทำลายไปจนหมดสิ้น
เมื่อถึงตอนนั้น ก็จะกลายเป็นเหมือนคนธรรมดา
ชิวเหิงคงในตอนนี้ อาจจะยังไม่สูญเสียหัวใจแห่งดาบดุจเหล็กกล้าไปจริง ๆ รวมถึงความทะนงตนของเขา
แต่เขาในยามนี้ กลับปรากฏลางเช่นนั้นออกมาแล้ว!
นี่คือสิ่งที่มองเห็นได้จากกลิ่นอายที่มืดครึ้มและความสิ้นหวังที่แสดงออกมาจากตัวเขา
“หัวใจแห่งดาบปนเปื้อน?”
ชิวเหิงคงส่ายหน้า ใบหน้าเผยความมั่นใจออกมา ก่อนกล่าว “สหายเต๋าซู ความจริงแล้ว ยามนี้ข้าคือศิษย์สายนอกสำนักดาบเทียนชู เมื่อเทียบกับตัวตนสูงสุดเหล่านั้น อาจจะยังห่างไกลกันมาก แต่ข้าก็อยู่เหนือกว่าคนรุ่นเดียวในต้าเซี่ยแห่งนี้มากแล้ว!”
เถาอวิ๋นฉือที่อยู่ไม่ไกลนักอดหัวเราะขึ้นมาไม่ได้ พลางเอ่ยออกมาอย่างทนไม่ไหว “ศิษย์น้องชิว การเข้าประตูใหญ่ของสำนักดาบเทียนชูไม่ต่างอะไรกับปลาที่ทะยานข้ามประตูมังกร แม้ยามนี้เจ้าเป็นเพียงแค่ศิษย์สายนอก แต่จะเทียบกับผู้ฝึกตนธรรมดาเหล่านั้นได้อย่างไร?”
ประโยคนี้ดูเหมือนกับกำลังชื่นชมชิวเหิงคง แต่จริง ๆ แล้วก็แค่ใช้โอกาสนี้ส่งเสริมให้ฐานะกับตำแหน่งของพวกเขาดูไม่ธรรมดามากขึ้น
เมื่อคำพูดนี้ดังออกมา สายตาของเถาอวิ๋นฉือก็มองไปที่ซูอี้แล้ว
ในความคิดเขา คำพูดนี้ได้แสดงออกมาอย่างชัดเจน และซูอี้ก็น่าจะรู้ถึงสถานะของพวกเขา เมื่อคิดดูแล้วอีกฝ่ายจะต้องนั่งไม่ติดและรีบมาทำความเคารพอย่างนอบน้อมและจริงใจแน่
แต่ที่ทำให้เถาอวิ๋นฉือตะลึงคือ ซูอี้ยังคงนั่งอยู่ตรงนั้นอย่างสงบนิ่ง คร้านที่จะเหลือบมองพวกเขา และยังคงมีท่าทางเกียจคร้านราวกับแสร้งทำเป็นไม่เห็นเช่นเดิม
มันเหมือนกับการส่งซิกให้กับคนตาบอด ทำให้เถาอวิ๋นฉือรู้สึกไม่สบายใจ พลันใบหน้าเผยความเคร่งขรึมออกมา
ไอ้หมอนี่ช่างไม่รู้จักการวางตัวเสียจริง!
บุรุษสตรีเหล่านั้นต่างนิ่งอึ้งไป สิ่งที่พวกเขาคาดเดาก่อนหน้านี้ เมื่อซูอี้รู้สถานะของพวกเขาแล้ว ชายหนุ่มที่มาจากอาณาจักรเล็ก ๆ นี้จะต้องรีบก้าวขึ้นมาเคารพแน่
แต่ไม่นึกเลยว่า อีกฝ่ายจะยังคงไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับเช่นเดิม…
นี่คือปฏิกิริยาที่ผู้ฝึกตนธรรมดาควรจะมีรึ?
บุรุษสตรีเหล่านั้นต่างกลุ้มใจไปชั่วครู่หนึ่ง และไม่เข้าใจเป็นอย่างมาก เหตุใดโลกใบนี้ยังมีคนโง่เขลาเช่นนี้อยู่อีก?
แต่พวกเขากลับไม่รู้ เมื่อฟังคำพูดนั้นของเถาอวิ๋นฉือแล้ว หยวนเหิงกับไป๋เวิ่นฉิงแทบจะอยากหัวเราะออกมา
ชิวเหิงคงเป็นแค่ศิษย์สายนอกคนหนึ่งเท่านั้น นี่ก็ถือว่าเป็นปลาที่ทะยานข้ามประตูมังกรแล้ว?
คนของสำนักดาบเทียนชูเหล่านี้ ช่างยกยอตัวเองเสียจริง!
หากพวกเขารู้ว่าฮั่วอวิ๋นเซิงและคนอื่น ๆ ที่เป็นศิษย์สายในวังเทพสวรรค์เมฆา ล้วนเป็นเหมือนไก่กระเบื้องสุนัขดินเผาเมื่ออยู่ต่อหน้านายท่าน จะรู้สึกอย่างไรกัน?
และหากพวกเขารู้ว่า มังกรเกล็ดดำขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณแห่งผามังกรด้วนตัวนั้น ที่กล้าสังหารลี่เมี่ยวหงผู้ฝึกตนในขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณ ซึ่งเป็นผู้อาวุโสลำดับสามแห่งสำนักเต๋าชิงอี่ เมื่อมาอยู่ต่อหน้านายท่าน ก็ยังอ่อนน้อมถ่อมตนเหมือนกับศิษย์ แล้วจะคิดอย่างไรกัน?
ทำตัวถือดี คิดว่าตัวเองสูงส่ง ล้วนเป็นเพราะความโง่เขลาทั้งสิ้น!
อาจเป็นเพราะอยู่กับซูอี้มานาน เมื่อหยวนเหิงกับไป๋เวิ่นฉิงเผชิญหน้ากับสถานการณ์เช่นนี้ ต่างก็มีท่าทางเกียจคร้าน คร้านที่ไปโต้แย้งกลับ…
แต่ซูอี้กลับไม่สนใจเรื่องเหล่านี้
เขามองออก เมื่อเทียบชิวเหิงคงที่อยู่ตรงหน้าเขากับชิวเหิงคงในอดีต อีกฝ่ายได้สูญเสียหัวใจแห่งดาบดุจเหล็กกล้ากับความถือตัวของนักดาบไป
แต่ชิวเหิงคงกลับพึงพอใจที่ตัวเองกลายเป็นศิษย์สายนอกของสำนักดาบเทียนชูได้ และรู้สึกภูมิใจในสิ่งนี้มาก
นี่จึงทำให้ซูอี้ค่อย ๆ เลิกสนใจ
ถึงอย่างไรมนุษย์ย่อมเปลี่ยนแปลง
หลังจากที่ชิวเหิงคงรู้สึกถึงความห่างชั้น เขาก็ได้เลือกเส้นทางของตัวเองแล้ว และไม่มีใครเข้าไปแทรกแซงได้
และซูอี้ก็ไม่ใช่คนที่ ‘ชอบทำตัวเป็นครูคนอื่น’ มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว
“สหายเต๋าซู ยามนี้เจ้าเข้าร่วมฝึกฝนสำนักไหนรึ?”
ชิวเหิงคงเอ่ยถาม
ซูอี้ส่ายหน้า พลางดื่มสุราลงไปหนึ่งอึก
ชิวเหิงคงลังเลอยู่ชั่วครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยความเห็น “อีกสามเดือน สำนักดาบเทียนชูจะรับศิษย์เข้าสำนักอีกครั้ง ด้วยพรสวรรค์กับรากฐานของสหายเต๋าที่เหนือกว่าชิวผู้นี้ หากเข้าร่วมรับการประเมินผลเข้าไปฝึกฝนในสำนักดาบเทียนชู น่าจะไม่ใช่เรื่องยากอะไรที่จะได้เข้าร่วม”
ตอนนั้น เขาเคยพ่ายแพ้ต่อซูอี้ และรู้สึกเลื่อมใสต่อความรู้วิถีแห่งดาบของซูอี้มาก
ครั้นเห็นซูอี้ยังฝึกด้วยตัวเองและไร้สำนักในยามนี้ จึงอดรู้สึกเสียดายแทนซูอี้ไม่ได้ ด้วยเหตุนี้เขาถึงได้แสดงความเห็นออกมา
ซูอี้ชะงักค้างไป เขาดูออก ชิวเหิงคงคิดเพื่อตัวเขาเองด้วยความจริงใจ จึงอดยิ้มพลางส่ายหน้าออกมาไม่ได้
แท้ที่จริง ชายหนุ่มนั้นหวังเป็นอย่างมากว่าจะมีคนสามารถชี้แนะการฝึกฝนของตัวเองได้ แต่ส่วนสำคัญคือ… ทั่วใต้หล้านี้ ยังมีคนเช่นนี้อยู่อีกรึ?
ซูอี้ยังไม่ทันเอ่ยสิ่งใด ก็มีเสียงเย็นชาดังขึ้นมาจากที่ไกล “ศิษย์น้องชิว เจ้าพูดเช่นนี้ก็ไม่ถูก สำนักดาบเทียนชูของเราจะให้ใครเข้ามาตามใจได้อย่างไร?”
คนที่กล่าวคือชายหนุ่มสวมชุดเงิน ที่มีท่าทางเหยียดหยามเช่นเดิม
ในตอนที่ซูอี้เอนกายอยู่บนเก้าอี้หวายอย่างไม่สะทกสะท้านก่อนหน้านี้ ทำให้พวกเขาเหล่านี้ล้วนมองข้าม และทำให้พวกเขาไม่สบายใจเป็นอย่างมาก
ครั้นเห็นชิงเหิงคงออกความเห็นให้ซูอี้ไปประเมินเพื่อเข้าร่วมสำนักดาบเทียนชูในยามนี้ ชายหนุ่มสวมชุดเงินก็ทนไม่ไหวทันที และเอ่ยถากถางออกมา
ชิวเหิงคงแข็งทื่อไปทั่วร่าง รู้สึกอึดอัดกับคำตำหนินี้เล็กน้อย
เขากำลังจะอธิบายออกมา พลันซูอี้ลุกขึ้นจากเก้าอี้หวาย พลางโบกมือ “ไม่ต้องเอ่ยสิ่งใดมาก ข้าไม่สนใจที่จะเข้าร่วมฝึกฝนกับสำนักดาบเทียนชูเลยแม้แต่น้อย”
“เอาเถิด พวกเราก็แยกจากกันตรงนี้”
ซูอี้เก็บเก้าอี้หวาย และไม่อยากจะเสวนาต่อไปอีก
เมื่อไม่มีความสนใจแล้ว ก็จะอยู่ที่นี่ต่ออีกทำไม?
“ช่างคุยโวโอ้อวดนัก!”
ทันใดนั้น ชายสวมชุดเงินก็หัวเราะเยาะเย้ยขึ้นมา พลางเอ่ย “ก็แค่ไอ้คนฝึกฝนด้วยตัวเอง ช่างโอ้อวดไม่น้อยเลย และยังริอาจกล้ากล่าวว่าไม่สนใจสำนักดาบเทียนชูของข้าอีก ไม่รู้สึกว่าตลกไปหน่อยรึ?”