บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 477 การล้ำเส้นที่แท้จริง
ตอนที่ 477: การล้ำเส้นที่แท้จริง
ตอนที่ 477: การล้ำเส้นที่แท้จริง
คนอื่น ๆ ที่อยู่ข้าง ๆ ชายสวมชุดสีเงินต่างพากันส่ายหน้า
ก่อนหน้านี้พวกเขายังรู้สึกไม่ชอบเรื่องที่ซูอี้เมินพวกเขาอย่างมาก
ทว่ายามนี้ กลับคร้านที่จะเอาความแล้ว
นี่คือชายน่าสงสารที่โง่เขลาเบาปัญญาผู้หนึ่ง จึงไม่แปลกที่จะหยามเกียรติพวกเขา
ชิวเหิงคงแอบถอนหายใจ ก่อนเอ่ยโน้มน้าว “สหายเต๋าซู อย่าได้โกรธคนทะนงตัวเหล่านั้นเลย มันไม่คุ้มค่าหรอก”
ซูอี้ยิ้มออกมา และไม่เอ่ยสิ่งใด
แค่เหล่ามดแมลงที่แผดเสียงเท่านั้น เขาไม่สนใจหรอก และไม่มีค่าพอที่จะให้เขาโกรธด้วย
ซูอี้เอามือไพล่หลัง และหันไปเอ่ยกับหยวนเหิงและไป๋เวิ่นฉิงที่อยู่ข้าง ๆ “ไปกันเถิด”
ครั้นเห็นท่าทางของซูอี้ที่รีบอยากกลับและไม่กล้าต่อต้านในตอนที่เขาถากถาง ทำให้ชายสวมชุดสีเงินคนนั้นยิ่งย่ามใจขึ้นอีก
เขาส่ายหน้าพลางถอนหายใจ และเสนอความเห็นให้กับชิวเหิงคง “ศิษย์น้องชิว ต้องยอมรับเลยว่า เจ้าในอดีตช่างไม่รอบคอบในการหาสหายจริง ๆ ข้าว่าเจ้าควรตัดความสัมพันธ์กับเขาจะดีกว่า ถึงอย่างไรยามนี้เจ้าก็เป็นศิษย์สายนอกสำนักดาบเทียนชู จะคลุกคลีกับคนเช่นนี้ไปไยกัน?”
ชิวเหิงคงพลันเผยสีหน้าลำบากใจออกมาทันที
ชั่วครู่หนึ่ง เขาถึงได้สูดหายใจเข้าลึก พลางเอ่ยเสียงต่ำ “ศิษย์พี่กู่ สหายเต๋าซูคือสหายของข้า ขอให้ท่านถอนคำพูดนี้เสีย อย่าได้ทำให้ข้าลำบากใจเลย”
ชายสวมชุดสีเงินชะงักค้างไป ราวกับไม่อยากจะเชื่อว่าชิวเหิงคงจะกล้าตอกกลับ
เขาอย่างเย็นชา “หรือศิษย์น้องชิวคิดว่าข้ากล่าวผิดงั้นรึ? ก่อนหน้านี้เจ้าแซ่ซูนั่นทั้งไร้มารยาท ทั้งโง่เขลาเบาปัญญา หากเขาฉลาดกว่านี้สักนิด คงมิกล้าเมินพวกเราเช่นนี้!”
“ยิ่งไปกว่านั้น เขายังกำเริบเสิบสาน เหยียดหยามสำนักดาบเทียนชูของพวกเรา คนประเภทนี้ พวกข้าจะไม่ไปคลุกคลีด้วยให้อับอายหรอก! แล้วเจ้าคิดว่าข้าทำผิดไปได้อย่างไรกัน?”
สายตาเคร่งขรึมเด็ดขาดนั้น ทำให้ชิวเหิงคงรู้สึกกดดันเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว
เถาอวิ๋นฉือและคนอื่น ๆ ดูอยู่ข้าง ๆ ด้วยสายตาเย็นชา และไม่มีผู้ใดคิดที่จะเอ่ยขอความเมตตาให้ชิวเหิงคงเลย
แค่ศิษย์สายนอกคนหนึ่ง กลับไปแข็งข้อกับชายสวมชุดเงินเพื่ออีกฝ่ายที่เป็นสหาย นี่จึงทำให้เถาอวิ๋นฉือและคนอื่น ๆ รู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย
ชิวเหิงคงก้มหน้า สองมือใต้แขนเสื้อค่อย ๆ กำแน่น เห็นได้ชัดว่าในใจเขากำลังต่อสู้ดิ้นรนอย่างหนัก
ชั่วครู่ต่อมา เขาถึงได้เงยหน้าขึ้น สบสายตาของชายสวมชุดสีเงินด้วยสีหน้าที่สงบนิ่งมั่นคง
เขาเอ่ยเน้นออกมาทีละคำ “ศิษย์พี่กู่ เรื่องอื่นข้าสามารถทนได้หมด ต่อให้ในสำนักข้าจะถูกเหยียดหยาม ดูถูก หรือถูกสั่งให้ทำต่าง ๆ เยี่ยงคนติดตาม ข้าก็มิเคยนำมาใส่ใจเลย แต่…”
แววตาเขาพลันเปล่งประกายแหลมคมขึ้น คล้ายกับเปลวไฟที่ลุกโหมไหม้ “เจ้าก็ไม่ควรกล่าวให้ร้ายสหายของข้า!”
น้ำเสียงมั่นคงทรงอำนาจ ท่าทางที่เปลี่ยนไปเล็กน้อยเพราะความโกรธ ทำให้ชายสวมชุดสีเงินตกใจขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ และถอยหลังออกไปก้าวหนึ่ง
ชิวเหิงคงในยามนี้ คล้ายกับสัตว์ร้ายที่สูญเสียสติสัมปชัญญะไป!
เถาอวิ๋นฉือและคนอื่น ๆ ก็ตกใจเช่นกัน นี่คือครั้งแรกที่พวกเขาเห็นศิษย์สายนอกที่ยินยอมทำตามคำสั่งแต่โดยดีอย่างชิวเหิงคงโมโห
ไม่ไกลนัก เจียงหลีหมุนตัวกลับมา ดวงตาหงส์คู่นั้นมองไปทางชิวเหิงคง ดวงหน้างดงามเผยความแปลกใจออกมา
สหาย?
หรือนี่คือขีดเส้นตายของชิวเหิงคง?
ใบหน้าชายสวมชุดสีเงินแดงก่ำ เห็นได้ชัดว่าโกรธเพราะอับอาย จึงตวาดขึ้น “เจ้าศิษย์สายนอกที่เพิ่งเข้าร่วมสำนัก ริอาจแข็งข้อต่อข้ารึ?”
เขายกมือขึ้นตบไปที่หน้าของชิวเหิงคง
ชิวเหิงคงหลบทันที พลันดวงตาแดงก่ำ และเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบแห้งขึ้น “ศิษย์พี่กู่ แม้เจ้าจะลงมือวันนี้ ข้าก็จะไม่ยอมก้มหัวให้กับเรื่องนี้แน่!”
“เจ้ากล้าหลบรึ?”
ชายสวมชุดสีเงินโมโหอย่างเดือดดาล พุ่งเข้าไปตบชิวเหิงคงอีกครั้ง
ในเวลานี้ เจียงหลีขมวดคิ้วมุ่นทนมองต่อไปไม่ได้ และกำลังจะเข้าไปหยุดยั้ง
พรึบ!
มือหนาคว้าไหล่ชิวเหิงคงไว้ พลางดึงเขามาไว้อีกด้านหนึ่ง และหลบการจู่โจมของชายสวมชุดสีเงิน
ชิวเหิงคงตะลึงค้าง เมื่อเงยหน้าขึ้นก็เห็นใบหน้าหล่อเหลาของอีกฝ่าย… คือซูอี้นี่เอง!
สีหน้าเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อย “สหายเต๋าซู เจ้ายังไม่กลับไปรึ?”
“เมื่อเจ้าเห็นว่าข้าซูผู้นี้เป็นสหาย เช่นนี้แล้วข้าจะทนดูเจ้าถูกรังแกได้อย่างไรกัน?”
ซูอี้เอ่ยขึ้นอย่างเย็นชา
คราแรก เขารู้สึกผิดหวังต่อชิวเหิงคงมาก แต่เมื่อเห็นชิวเหิงคงมองเขาเป็นสหาย และไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับชายสวมชุดสีเงิน เขาก็อดรู้สึกปลาบปลื้มขึ้นมาไม่ได้
ชายผู้นี้ไม่ได้เป็นเหมือนที่ตัวเขาคิดเอาไว้ แม้จะถูกความเป็นจริงทำลายความทระนงของตัวเอง แต่ก็ยัง… ดึงกลับมาได้!
ในเวลานี้เอง ชายสวมชุดสีเงินระเบิดหัวเราะออกมาด้วยความโมโห “ฮ่า ๆๆ ไอ้ขยะรนหาที่ตายไยจึงยังกล้ากลับมาอีก เจ้าอยากต่อสู้กับข้ารึ?”
เขาโกรธเป็นอย่างมาก ศิษย์สายนอกเช่นชิวเหิงคงกล้าแข็งข้อต่อเขา เขาไม่ว่า ทว่าแม้แต่ซูอี้ซึ่งเป็นผู้ฝึกฝนด้วยตัวเองที่มาจากอาณาจักรห่างไกลเล็ก ๆ ก็ยังกล้าเข้ามาร่วมด้วย!
นี่จึงทำให้เขาข่มอารมณ์เอาไว้ไม่ไหว
“สหายเต๋าซู เหตุใดเจ้าถึงกลับมาที่นี่อีก? รีบไปเถิด!”
ใบหน้าของชิวเหิงคงเปลี่ยนไปอย่างมาก พลางเอ่ยเร่งรัดออกไป
ถึงแม้เขาจะถูกสั่งสอนที่ไปล่วงเกินชายสวมชุดสีเงิน แต่เมื่อมีเจียงหลีอยู่ด้วย ตัวเขาย่อมไม่เป็นอันตรายถึงชีวิตแน่นอน
แต่ซูอี้ไม่เหมือนกัน แค่ไปฉีกหน้าอีกฝ่าย เกรงว่าคงมีชีวิตตกอยู่ในอันตราย!
“สายไปแล้ว!”
ชายสวมชุดสีเงินพ่นเสียงเย็นออกมา เขาสะบัดแขนเสื้อ พลันดาบสีเขียวปรากฏออกมาทันที พลางยกมือเหวี่ยงไปทางซูอี้
ชิ้ง!
ปราณดาบอันน่าหวาดกลัว แสงสีเขียวอันน่าเกรงขาม
ปราณดาบนั้นรวดเร็วดุดันแฝงไปด้วยจังหวะวิถีธาตุไม้ที่ลี้ลับมหัศจรรย์ ขับเน้นให้ความสามารถของชายสวมชุดสีเงินที่ปรากฏออกมายิ่งดูแข็งแกร่งและไม่ธรรมดา
ชิวเหิงคงที่กำลังเตรียมจะเข้าไปขวางดาบนี้แทนซูอี้ เขาพลันถูกจับไหล่เอาไว้ ก่อนน้ำเสียงที่เจือไปด้วยความจำใจของซูอี้จะดังขึ้นข้างหูเขา “เจ้าดูอยู่เฉย ๆ ก็พอแล้ว”
ทันทีที่น้ำเสียงดังขึ้น
ซูอี้พลันยกมือขึ้นเล็กน้อย
เคร้ง!
ปราณดาบสีเขียวที่พุ่งเข้ามาค่อย ๆ แตกหักไปทีละชุ่น ๆ
ชิวเหิงคงตกใจ
เจียงหลีเผยสีหน้าแปลกใจออกมา
เถาอวิ๋นฉือและคนอื่น ๆ ต่างขมวดคิ้ว
การโจมตีนี้ดูราวกับสบาย ๆ ทว่าสามารถทำลายปราณดาบนั้นของชายสวมชุดสีเงินได้อย่างง่ายดาย นี่มันผิดปกติเป็นอย่างมาก
ที่สำคัญ กู่เถิงอิง ชายสวมชุดสีเงิน เป็นถึงศิษย์สายในสำนักดาบเทียนชู มีความสามารถในขอบเขตเปิดทวารขั้นปลาย สามารถสังหารตัวตนระดับขอบเขตเดียวกันได้อย่างสบาย ๆ!
ทว่าซูอี้ผู้ฝึกฝนด้วยตัวเองที่มาจากอาณาจักรเล็ก ๆ คนหนึ่ง กลับสามารถทำลายปราณดาบของกู่เถิงอิงได้ด้วยการยกมือขึ้นเท่านั้น แล้วทุกคนจะไม่แปลกใจได้อย่างไรกัน?
สีหน้ากู่เถิงอิงเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขาถือดาบพุ่งไปด้านหน้า กระตุ้นพลังทั้งหมดในขอบเขตเปิดทวารขั้นปลาย และแสดงเคล็ดวิชาวีถีดาบออกมา
ฟึบ! ฟึบ! ฟึบ!
ปราณดาบสีเขียวพุ่งไปในอากาศ กลายเป็นกลีบดอกไม้สีใสแวววาว พุ่งเข้าใส่ซูอี้!
ภาพตรงหน้าแม้มีสีสันหลากหลายงดงาม แต่กลับมีไอสังหารปะทุออกมา!
ดาบบุปผาวิญญาณ!
เจียงหลี เถาอวิ๋นฉือและคนอื่น ๆ รู้ว่า นี่คือวิชาดาบที่กู่เถิงอิงภาคภูมิใจมากที่สุด!
ซูอี้แสยะยิ้มออกมา พลางสะบัดแขนเสื้อ
ตูม!
ปราณดาบส่งเสียงครืนครามราวกับพายุโหมกระหน่ำ ทำลายกลีบดอกไม้แวววาวที่ปกคลุมไปทั่วในอากาศแตกเป็นเสี่ยง ๆ และหายลับไป
ตู้ม!!!
ภายใต้สายตาที่ตกใจของทุกคน ร่างของกู่เถิงอิงถูกกระแทกอย่างรุนแรงจนกระเด็นออกไป พลันกระอักเลือดและแผดเสียงร้องอยู่กลางอากาศ
จนสุดท้าย เขาก็ร่วงลงสู่เบื้องล่างจากความสูงสิบกว่าจั้ง หัวแตกเลือดไหลออกมา และอยู่ในสภาพที่จนตรอกอย่างมาก
“ช่างไม่เจียมตัวเสียจริง”
ซูอี้ปัดฝุ่นบนเสื้อผ้า พลางส่ายหน้า
แค่เพียงสะบัดมือเดียว ก็เอาชนะศิษย์สำนักดาบเทียนชูได้!
ทั่วบริเวณเงียบสงัด และทุกคนต่างตกใจ
“นี่…”
ชิวเหิงคงเต็มไปด้วยความรู้สึกตกตะลึง
เขาย่อมรู้ถึงความน่ากลัวของศิษย์สายในอย่างกู่เถิงอิงดี อีกฝ่ายคือคนดุร้ายแข็งแกร่งที่เขาทำได้เพียงแค่มอง
แต่กลับไม่นึกเลยว่า กู่เถิงอิงจะต้านทานพลังของซูอี้ที่สะบัดมาเพียงครั้งเดียวไม่ได้?
ม่านตาเจียงหลีหรี่ลงเล็กน้อย คนผู้นี้… ไม่ธรรมดา!
เถาอวิ๋นฉือและคนอื่น ๆ ต่างตกใจเช่นกัน แต่ละคนมีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที และตระหนักได้ว่าก่อนหน้านี้พวกเขาคิดผิดไป
คนแซ่ซูอาจจะเป็นเพียงผู้ฝึกตนด้วยตัวเองที่มาจากอาณาจักรเล็ก ๆ ก็จริง ทว่าความสามารถของคนผู้นี้ กลับไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ!
“ยังดีที่นายท่านยังมีจิตใจที่เมตตามาก ไม่เช่นนั้น คนผู้นี้คงไม่มีชีวิตรอดในการโจมตีนี้แน่”
หยวนเหิงรู้สึกทอดถอนใจ
ไป๋เวิ่นฉิงพยักหน้าอย่างเห็นด้วย
ทั้งสองเคยเห็นความสามารถของซูอี้ที่เรียกได้ว่าท้าทายสวรรค์มาแล้ว ดังนั้นเหตุการณ์ที่อยู่ตรงหน้า จึงไม่ต่างอะไรกับเรื่องเล็ก ๆ เลย
“ท่านช่างมีฝีมือเก่งกาจมาก มิน่าเล่า ก่อนหน้านี้ถึงได้กล้าเมินเฉยต่อพวกข้า ที่แท้ก็มีพลังที่พึ่งพิงได้นี่เอง!”
เถาอวิ๋นฉือเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา “แต่ว่า เรื่องที่ศิษย์พี่กู่สั่งสอนศิษย์น้องชิวก่อนหน้า คือเรื่องภายในสำนักดาบเทียนชูของข้า แต่ท่านกลับยื่นมือเข้ามา และยังลงมือหนักขนาดนี้ มันจะไม่เกินไปหน่อยรึ?”
เมื่อได้ฟังคำโต้แย้งที่ไร้เหตุผลนี้ ชิวเหิงคงแทบจะหัวเราะออกมาด้วยความโกรธ
แต่เขากลับทำได้แค่อดทนไว้ และเอ่ยกับซูอี้เสียงเบา “สหายเต๋าซู เจ้ารีบไปเถิด อย่าได้ล่วงเกินพวกเขาอีกเลย หากเป็นศัตรูกับสำนักดาบเทียนชู คงได้พบกับหายนะอย่างไม่จบไม่สิ้นแน่!”
เขารู้ว่าซูอี้นั้นเก่งกาจ แต่ก็อดเป็นห่วงไม่ได้ เมื่อซูอี้ล่วงเกินศิษย์ของสำนักดาบเทียนชู ย่อมต้องเผชิญหน้ากับผลที่ตามมา
ทว่าซูอี้เพียงชำเลืองมองชิวเหิงคง และไม่ได้สนใจอะไร
เป็นเพราะชิวเหิงคงหวังดีและห่วงใยเขา เขาย่อมรู้สึกดี
แต่ในเมื่อเขาลงมือไปแล้ว จะยังสนใจเรื่องเหล่านี้ไปไยกันเล่า?
“ก่อนหน้ายังดูถูกข้าราวกับแมลงวัน แต่ยามนี้กลับบอกว่าข้าทำเกินไป?”
ซูอี้เอ่ยอย่างเย็นชา “เช่นนั้นข้าจะให้เจ้าได้รู้จัก ว่าอะไรที่เรียกว่าทำเกินไปจริง ๆ”
ขณะเอ่ย เขาก้าวเท้าเดินไปทางเถาอวิ๋นฉือ
ทุกย่างก้าวดูผ่อนคลาย ไม่ช้าไม่เร็ว
แต่ม่านตาเถาอวิ๋นฉือกลับหดลง และสังเกตได้อย่างรวดเร็วว่า การขับเคลื่อนลมปราณของซูอี้เล็งเป้ามาที่ตัวเขาอย่างแน่นหนา ทำให้เขารู้สึกไม่สบายไปทั่วร่าง ราวกับมีของแหลมทิ่มแทงอยู่ด้านหลัง
“กำเริบเสิบสานนัก!”
เถาอวิ๋นฉือมีสีหน้าตึงขึ้น ลมปราณทั่วร่างพรั่งพรูออกมา พลังที่เป็นของขอบเขตรวบรวมดารา ทำให้อานุภาพของเขาเปลี่ยนเป็นน่าสะพรึงกลัวมากขึ้น
หยวนเหิงกับไป๋เวิ่นฉิงเหลือบมองหน้ากัน และอดแปลกใจไม่ได้
แค่ศิษย์สายในคนหนึ่ง กลับมีความสามารถในขอบเขตรวบรวมดารา และสามารถเทียบเคียงกับผู้อาวุโสสายนอกแห่งวังเทพสวรรค์เมฆาอย่างจางอวิ๋นเทาได้
ไม่แปลกใจเลยที่ศิษย์สายในสำนักดาบเทียนชูธรรมดาเหล่านั้นมิอาจเทียบเคียงกับเถาอวิ๋นฉือผู้นี้ได้!
ครั้นเห็นเถาอวิ๋นฉือจะลงมือ บุรุษสตรีทั้งหลายต่างเผยสีหน้าคาดหวังออกมา และหวังอยากให้เถาอวิ๋นฉือสั่งสอนบทเรียนให้เจ้าบ้าแซ่ซูนี้
แต่ซูอี้กลับทำเหมือนไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น เขาก้าวเดินเข้าไปใกล้เรื่อย ๆ ท่าทางผ่อนคลาย ลมปราณทั่วร่างเยือกเย็น ประหนึ่งเดินเล่นในลานกว้าง
แต่สีหน้าของเถาอวิ๋นฉือกลับเปลี่ยนไป
คนอื่นสัมผัสไม่ได้ แต่เขากลับสัมผัสได้อย่างชัดเจน หลังจากที่ซูอี้เดินเข้ามาใกล้ จิตสังหารอันน่าสะพรึงกลัวมหาศาล พลันโถมเข้ามาดั่งกระแสน้ำ จู่โจมจิตใจของเขาอย่างรุนแรง ทำให้ขนลุกขนพอง ผิวหนังแสบร้อนไปหมด
ความรู้สึกอันตรายที่น่าหวาดกลัวกดดัน ได้ตลบอบอวลไปทั่วจิตใจของเขา คล้ายกับกระตุ้นเลือดทั่วร่างของเขาให้แข็งตัวขึ้น
ไม่ดีแน่!
เถาอวิ๋นฉือตระหนักได้ว่า หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ไม่รอให้ซูอี้ลงมือ ความมุ่งมั่นในการต่อสู้ของเขาคงถูกทำลายไปก่อนแล้ว
จะลังเลไม่ได้อีกแล้ว เขาตะโกนออกมา สองมือผสานกัน ราวกับโอบกอดภูเขาใหญ่สมัยดึกดำบรรพ์เอาไว้ แขนทั้งสองอาบไปด้วยแสงทองอร่ามมหาศาล ทุบไปทางซูอี้อย่างรุนแรง
ตู้ม!!
อากาศสนั่นสั่นไหว ปั่นป่วนไปทั่วสารทิศ
เทพวานรโอบบรรพต!
ทุกคนต่างตกใจ ไม่นึกเลยว่า เถาอวิ๋นฉือที่เพิ่งลงมือ ก็ใช้วิชาที่ยอดเยี่ยมที่สุดแล้ว!
ราวกับเจียงหลีสังเกตเห็นความผิดปรกติ นัยน์ตางามพลันหรี่ลงเล็กน้อย และกำลังจะเอ่ยเตือนออกไป
ทว่าน้ำเสียงเย็นชาก็พลันดังขัดขึ้นมาก่อน
“คุกเข่า”
คำสองคำที่เบาหวิว
เห็นเพียงซูอี้ก้าวไปข้างหน้า และด้วยเสียงคำรามนั้น ‘เทพวานรโอบบรรพต’ ที่ปลดปล่อยแสงสีทองอร่ามก็ระเบิดต่อหน้าเขาราวกับกระดาษเปียก
ท่ามกลางประกายไฟสาดกระเด็น ภายใต้สายตาที่ตกตะลึงของทุกคน เถาอวิ๋นฉือที่อยู่ห่างจากซูอี้ไปสามจั้ง พลันกระแทกเข่าลงบนพื้นทันที ราวกับควบคุมร่างกายตัวเองไม่ได้แล้ว
และในเวลานี้ คำว่า ‘คุกเข่า’ ที่เบาหวิวของซูอี้ ก็ยังคงดังลอยอยู่ในอากาศเช่นเดิม!!