บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 479 หวาดผวา
ตอนที่ 479: หวาดผวา
ตอนที่ 479: หวาดผวา
นกเค้าโลหิตรู้สึกตื่นตะลึง สันหลังหนาววาบ
ก่อนหน้านี้หากไม่ใช่เพราะเขาหลบได้ทันท่วงที ตอนนี้อาจจะต้องตกอยู่ในอันตรายแล้ว!
และในขณะนี้เอง นกเค้าโลหิตก็มองเห็นคนที่ลงมือ
นั่นคือคนหนุ่มในชุดสีเขียว ยืนอยู่ไกลออกไปในเงามืดแห่งราตรี กลิ่นอายในตัวราวกับหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับฟ้าดินอันเย็นยะเยือกและเงียบสงบ ไม่แตกต่างไปจากต้นไม้ใบหญ้าหรือก้อนหินดินทรายที่อยู่ใกล้ ๆ
ซูอี้!
สิ่งที่ทำให้นกเค้าโลหิตตื่นตะลึงก็คือ อาศัยเพียงแค่จิตสัมผัสไม่อาจสัมผัสเจอฝ่ายตรงข้ามได้ ราวกับว่าฝ่ายตรงข้ามไม่ได้อยู่ตรงนั้น ไม่อาจสกัดจับฝ่ายตรงข้ามได้
เคล็ดลับซ่อนลมปราณลึกล้ำไร้เทียมทานมาก!
นกเค้าโลหิตภาคภูมิใจในวิชาล่องหนพรางตนของตัวเองมาก แอบกระหยิ่มในใจมาตลอดว่าต่อให้เป็นคนในขอบเขตเดียวกัน ก็ยังมีน้อยคนนักที่จะสามารถเทียบเคียงกับตัวเองได้
ทว่าซูอี้ที่อยู่ห่างไกลออกไป เพียงแค่ยืนนิ่ง ๆ อยู่ตรงนั้น ร่างของเขาก็หลอมรวมเข้ากับสรรพสิ่งในฟ้าดินแล้ว แม้กระทั่งจิตสัมผัสของคนในขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณก็ไม่อาจสัมผัสได้
ลำพังเพียงแค่จุดนี้ก็ทำให้นกเค้าโลหิตต้องยอมรับว่าไม่อาจสู้ได้
“สหายรู้ว่าข้าอยู่ตรงนี้นานแล้วเช่นนั้นหรือ?”
ลูกนัยน์ตาสีเขียวมรกตของนกเค้าโลหิตสว่างวาบ
“วิชาพรางตนของเจ้าไม่เลวเลย แม้กระทั่งข้าก็ไม่อาจค้นเจอร่องรอยของเจ้าได้ แต่ว่า นับตั้งแต่ชั่วขณะที่เจ้าฆ่าฮูหยินซีฮวา ข้าก็คาดเดาได้ว่าเจ้าจะต้องล่องหนพรางตนอยู่ที่ใดที่หนึ่งใกล้ ๆ เป็นแน่”
ไกลออกไป มือข้างหนึ่งของซูอี้ไพล่หลัง มืออีกข้างหนึ่งถือดาบนิลกาฬกลืนฟ้า ก้าวเดินมาทางนี้
กลิ่นอายที่แตกต่างไปจากภูเขาลำธารแห่งฟ้าดินในบริเวณนั้นจึงปรากฏออกมาตามการเคลื่อนไหวของเขา คล้ายกับต้นหญ้าต้นเล็ก ๆ ต้นหนึ่งข้างทาง ซึ่งจู่ ๆ ก็เปลี่ยนไปกลายร่างเป็นคน
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง มิน่าเล่า เจ้าจึงไปแล้วย้อนกลับมา”
นกเค้าโลหิตเข้าใจกระจ่างในทันใด
“เดิมทีเจ้าก็มาเพื่อจะฆ่าข้าอยู่แล้ว ในเมื่อตอนนี้ได้เจอหน้ากันแล้ว สู้กันให้รู้ดำรู้แดงกันไปเลยดีหรือไม่?”
แววตาของซูอี้ดูลุ่มลึก เขากล่าวน้ำเสียงราบเรียบ “เมื่อข้าตายแล้ว เจ้าไม่เพียงแต่สามารถล้างแค้นแทนบุตรสวรรค์เนี่ยเฟิงได้เท่านั้น แต่ยังสามารถแย่งครรภ์อสูรดวงนั้นกลับไปได้อีกด้วย นี่เป็นโอกาสที่ดีมากเลยเชียว หากว่าพลาดไป วันข้างหน้าอยากจะเจอโอกาสดีเช่นนี้อีกก็คงจะยาก”
เขาก้าวเดินมาอย่างช้า ๆ เสื้อผ้าสะบัดพลิ้ว ในราตรีมืดมิดเช่นนี้งามสง่าเฉกเช่นเซียนเดินดิน
แต่เมื่อเห็นซูอี้เข้ามาใกล้ นกเค้าโลหิตกลับเกิดความลังเล
ฉับพลัน เขาก็ส่ายหน้ายิ้มน้อย ๆ “ในมือของสหายจะต้องมีไพ่ใบสุดท้ายที่เพียงพอจะสร้างความหวาดกลัวให้แก่ผู้อยู่ในขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณได้เป็นแน่จึงไม่รู้หวั่นเกรงแม้แต่น้อยเช่นนี้ ข้าไม่หลงกลหรอก”
นิ่งเงียบไปชั่วครู่ เขากล่าวด้วยแววตามีเลศนัย “จากที่ข้าดู สหายน้อยร้อนใจต่อสู้เช่นนี้ หรือเป็นเพราะเกรงว่าบนหนทางในช่วงถัดไปข้าจะปรากฏตัวและโจมตีเจ้าได้ทุกเวลาใช่หรือไม่?”
“เจ้าคิดมากเกินไปแล้ว ข้าเพียงแค่ยินดีที่ได้เห็นเหยื่อ อยากจะเอาเจ้ามาลับดาบของข้าก็เท่านั้น”
ซูอี้หัวเราะสบาย ตอนนี้เขาอยู่ห่างจากนกเค้าโลหิตเพียงแค่สิบสามจั้งเท่านั้น
เห็นว่าเขายังคงเดินเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อย ๆ นกเค้าโลหิตตะคอก “สหาย หากว่าเจ้าเข้ามาใกล้อีก ข้าก็จะต้องไปก่อน!”
“รีบร้อนไปไย ให้ข้าส่งเจ้าไม่ดีหรือ?” ซูอี้หัวเราะขึ้นมา
กลางหัวคิ้วของเขาเกิดเป็นรอยแยกขึ้นมารอยหนึ่ง เงาของดาบเล่มน้อยสีเขียวขนาดสามชุ่นพุ่งออกมา
ดาบน้อยสังหารเทพ!
สวบ!
ดาบน้อยสีเขียวพุ่งเข้าหานกเค้าโลหิตและฟาดฟันลงมาในทันใด
รวดเร็วมาก!
เหมือนดังเวลาที่ปล่อยจิตสัมผัสออกมา สามารถครอบคลุมไปไกลถึงพันจั้งในชั่วพริบตา
ความเร็วของดาบน้อยสีเขียวรวดเร็วเกินกว่าความคาดหมาย รวดเร็วจนทำให้นกเค้าโลหิตซึ่งอยู่ในขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณถึงกับขนลุกซู่ด้วยความหวาดผวา ส่งเสียงหวีดร้องออกมา
ปัง!
ร่างของเขาแตกระเบิดและหายลับไปกลางอากาศดุจฟองสบู่
ไกลออกไปหลายร้อยจั้ง บนหินใหญ่ก้อนหนึ่ง เมื่อร่างของนกเค้าโลหิตปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง ความเจ็บปวดแล่นขึ้นมาบนใบหน้า ใบหน้าบิดเบี้ยวอย่างแรง
หน้าผากมีเหงื่อไหลย้อย
“น่าเสียดายเหลือเกิน”
ซูอี้ถอนใจเบา ๆ
ฟันพลาดไป ทำให้เขาหมดสนุกไม่อยากจะไล่ตามอีก
นกเค้าโลหิตแตกต่างไปจากผู้อยู่ในขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณอย่างลี่เมี่ยวหง ถึงแม้จะมีระดับการฝึกเพียงแค่ขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณในขั้นต้นเท่านั้น ทว่าวิชาที่คน ๆ นี้เชี่ยวชาญคือวิชาล่องหนพรางตน
หากต่อสู้กันซึ่ง ๆ หน้า บางทีเขาอาจจะสู้ลี่เมี่ยวหงไม่ได้
แต่หากว่าเขาคิดจะหนี ด้วยวิธีการของซูอี้ก็ยังยากที่จะจับเขาไว้ได้
ซูอี้ไม่รู้ว่า อานุภาพของดาบน้อยสังหารเทพของเขานั้นทำให้นกเค้าโลหิตผู้อยู่ในขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณตนนี้เกิดความหวาดกลัวและตื่นตระหนกอย่างแรง!
ความเป็นจริง ถึงแม้นกเค้าโลหิตจะหลบดาบนี้ได้ ทว่าจิตวิญญาณยังคงได้รับบาดเจ็บ เจ็บปวดราวกับถูกฉีก ทำให้นกเค้าโลหิตหนาววาบไปทั้งตัวและหัวใจ
เขามั่นใจได้ว่า หากเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณคนอื่น คงไม่อาจต้านทานดาบ ๆ นี้ได้!
ช่างน่าหวาดกลัวเสียเหลือเกิน
“วิชาจิตวิญญาณอันร้ายกาจนี้ก็คือไพ่ใบสุดท้ายของเจ้าเช่นนั้นหรือ?”
นกเค้าโลหิตมีสีหน้าคร่ำเคร่ง
“ไม่เชิง เพียงแค่วิชาจิตวิญญาณที่พอถูไถเท่านั้น”
ซูอี้เก็บดาบนิลกาฬกลืนฟ้า แล้วโบกมือเบา ๆ พลางกล่าว “วันนี้ส่งถึงแค่นี้ ข้าหวังว่าครั้งหน้าพบกัน เจ้าจะกล้ารบกับข้าซึ่ง ๆ หน้า ขอตัวลา”
พูดจบ สองมือของเขาไพล่หลังจากนั้นจึงลอยจากไป
ท่วงท่างดงามเช่นนั้นทำให้นกเค้าโลหิตถึงกับนิ่งตะลึง ไปง่าย ๆ…เช่นนี้?
จนกระทั่งร่างของซูอี้หายลับไป นกเค้าโลหิตจึงได้สติกลับมา บนใบหน้าปรากฏอาการสับสน ทั้งตื่นตระหนก ทั้งหวาดกลัว รวมถึงสีหน้างุนงงไม่เข้าใจความหมาย
“คนหนุ่มขอบเขตเปิดทวารสามารถข่มขู่ผู้ฝึกตนขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณได้ตั้งแต่เมื่อใดกัน?”
“หากว่าเป็นเมื่อสามหมื่นปีก่อน คงจะมีแต่ผู้ไร้เทียมทานสำนักใหญ่เท่านั้นจึงสามารถทำได้ถึงขั้นนี้?”
“เทียบกับเขาแล้ว บุตรสวรรค์เนี่ยเฟิง…ด้อยกว่าไม่น้อย…”
จิตใจของนกเค้าโลหิตว้าวุ่น
เดิมที เขามาล้างแค้นด้วยจิตใจที่เคียดแค้นเต็มที่ ทว่าตอนนี้กลับเต็มไปด้วยความตื่นกลัวและหนาววาบ
“จะไล่ตามฆ่าต่อไปหรือไม่?”
นกเค้าโลหิตลังเลขึ้นมา
ด้วยระดับการฝึกตนในขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณของเขา เพียงพอที่จะวางอำนาจไม่ต้องเกรงกลัวต่อสิ่งใด
ทว่าตอนนี้ หลังจากที่เจอเหตุการณ์อันตรายร้ายแรงเมื่อก่อนหน้านี้แล้ว ทำให้นกเค้าโลหิตต้องกลับมาคิดพิจารณาใหม่แล้วว่าหากไล่ฆ่าซูอี้อีกครั้งจะต้องเจอกับผลที่ตามมาเช่นใด
“หากปะทะกันซึ่ง ๆ หน้า ด้วยวิธีการของข้า เกรงว่าคงจะต้องตายด้วยเงื้อมมือของเจ้าหนุ่มคนนั้น แต่หากว่าสะกดรอยตามหาโอกาสลงมือไม่ได้ ก็จะเป็นการเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์…”
“ช่างเถิด รายงานเรื่องนี้ต่อนายท่านก่อน และให้นายท่านเป็นผู้ตัดสินใจจะดีกว่า”
ผ่านไปเนิ่นนาน นกเค้าโลหิตจึงถอนใจออกมา
เมื่อตัดสินใจเช่นนี้แล้ว ในใจของเขาจึงบังเกิดความรู้สึกอับอายขึ้นมา
ใครบ้างจะเชื่อว่าตนเองผู้เป็นทูตแห่งมารหยิน ผู้ที่มีชีวิตรอดมาได้จากการกักขังในยุคมืด …บัดนี้กลับหวาดกลัวผู้ฝึกตนในขอบเขตเปิดทวาร?
——-
“นายท่านฆ่านกเค้าโลหิตแล้วเช่นนั้นหรือ?”
ท่ามกลางภูเขาสูงใหญ่ ซูอี้กับไป๋เวิ่นฉิงขี่อยู่บนหลังเต่าเฒ่าสีทองตัวโตขนาดหลายสิบจั้ง มุ่งหน้าออกไปไกล ตลอดทางเหยียบย่ำก้อนหินดินทรายต้นไม้ใหญ่จนแตกทลายไปมากน้อยเพียงใด ระหว่างเดินทางแผ่นดินล้วนสั่นสะเทือน
นี่คือร่างแท้ของหยวนเหิง
หลังจากซูอี้กลับมา เขารู้ว่าซูอี้ไม่อยากจะเดิน หยวนเหิงจึงแปลงร่างเป็นยานพาหนะให้
“นกเฒ่าเจ้าเล่ห์และระวังตัวมาก เชี่ยวชาญวิชาหลบหนี ไม่กล้าปะทะซึ่ง ๆ หน้า ถึงแม้ข้าจะมีวิธีรั้งให้เขาอยู่ แต่ต้องสูญเสียพลังไม่น้อย ไม่คุ้มค่า”
ซูอี้เอนกายอยู่บนเก้าอี้หวาย หลับตาพักใจ
เก้าอี้หวายตั้งอยู่บนกระดองแข็งประดุจผืนแผ่นดินของหยวนเหิง ไม่ขยับเขยื้อน เอนกายอยู่บนนั้นไม่รู้สึกสะเทือนมากนัก
“ไม่คุ้มค่า?”
ไป๋เวิ่นฉิงนิ่งตะลึงไปชั่วครู่ แอบรำพึงขึ้นมาในใจ หากเป็นผู้ฝึกตนคนอื่น ๆ ต่อให้ต้องทำหมดทุกวิถีทางก็ต้องฆ่าฝ่ายตรงข้ามให้ได้
แต่เห็นได้ชัดว่า นายท่านไม่เหมือนกับคนเหล่านั้น เขาไม่ต้องการสูญเสียกำลังไปกับการฆ่าล้างตัวตนอย่างนกเค้าโลหิตเช่นนี้…
สิ่งนี้ไม่ใช่ความภาคภูมิใจและดูแคลนซึ่งแสดงออกมาจากส่วนลึกในหัวใจหรอกหรือ?
“ฮ่า ๆ นกเค้าโลหิตนี้ฉลาดกว่าลี่เมี่ยวหงมาก สามารถเอาตัวรอดมาได้จากเงื้อมมือของนายท่าน เพียงพอที่จะทำให้เขาเอาไปพูดโอ้อวดได้จนตลอดชีวิต แต่แน่นอนที่สุดคือหลังจากเจอเหตุการณ์เช่นนี้แล้วเขาต้องไม่กลับมาหาความตายอีก”
หยวนเหิงหัวเราะขึ้นมา
กล่าวเช่นนี้ทำให้ซูอี้หัวเราะตามเพราะนึกถึงเรื่องสนุกเรื่องหนึ่งเมื่อชาติที่แล้ว
ตอนนั้น ก่อนที่จักรพรรดิผีซีหมิงจะเป็นสหายกับเขา ก็เคยเกิดความขัดแย้งขึ้นหลายครั้ง
มีอยู่ครั้งหนึ่ง จักรพรรดิผีซีหมิงรวมหัวกับสหายจำนวนสิบกว่าคนโอบล้อมซูเสวียนจวิน ผลปรากฏว่าคนที่หนีไปก่อนคนแรกก็คือจักรพรรดิผีซีหมิง
สำหรับผู้เป็นจักรพรรดิแล้ว ถือได้ว่าเรื่องนี้เป็นความน่าอับอายอย่างใหญ่หลวง
ทว่าจักรพรรดิผีซีหมิงกลับดีอกดีใจ มักจะพูดคุยโอ้อวดกับคนอื่น ๆ ว่า “ซูเสวียนจวินเก่งกาจอะไรที่ไหนกัน ไม่เห็นจะเก่งกาจเหมือนที่เล่าขานกันเลย ตอนนั้นผู้เป็นจักรพรรดิสิบกว่าคนวางแผนโอบล้อมเพื่อฆ่าเขา ข้าเป็นเพียงคนเดียวเท่านั้นที่หนีมาได้”
คำกล่าวนี้จึงกลายเป็นเรื่องขบขันในแวดวงขอบเขตจักรพรรดิแห่งเก้ามหาแดนดิน
คำกล่าวของหยวนเหิงคล้ายกับเรื่องนี้มาก
ทว่า นกเค้าโลหิตในตอนนี้คงไม่สามารถนำเรื่องอับอายเช่นนี้มาคุยโอ้อวดได้
เห็นว่าซูอี้อารมณ์ดีไม่เลว หยวนเหิงจึงส่งเสียงถาม “นายท่าน ไม่เกินเจ็ดวัน พวกเราก็จะถึงนครหลวงจิ๋วติ่งแห่งอาณาจักรต้าเซี่ย ท่านมีแผนต่อไปหรือไม่?”
“เที่ยวชมนครหลวงจิ๋วติ่งก่อนสักรอบ ดูว่า ‘เมืองแห่งผู้ฝึกตน’ ที่ผู้ฝึกตนทั่วหล้าล้วนใฝ่ฝันแห่งนี้มีสภาพทิวทัศน์เช่นใด”
ซูอี้กล่าวขึ้นมา “ถึงเวลานั้น หากว่าจิตใจของเจ้าสัมผัสถึงความผิดปกติอันใดก็จงบอกข้าในทันที”
หยวนเหิงตะลึง ฉับพลันเข้าใจขึ้นมา ก่อนจะกล่าว “นายท่านโปรดวางใจ ขอเพียงผู้ฝึกตนนามว่าเก๋อเฉียนคนนั้นอยู่ในนครหลวง ข้าจะช่วยนายท่านตามหาเขาจนพบ!”
หยวนเหิงรู้ดีแก่ใจ ในตอนนั้นเป็นเพราะต้องการหาตัวเก๋อเฉียน ซูอี้จึงถ่ายทอด ‘คัมภีร์เต่าหางมังกรดำแท้จริง’ ซึ่งเป็นบทฝึกตนในขั้นวิถีต้นกำเนิดให้แก่เขา
“เรื่องนี้ไม่ต้องรีบร้อน ให้เป็นไปตามวาสนา”
ซูอี้ไม่ค่อยสนใจในตัวเก๋อเฉียนมากนัก แต่อยากจะรู้ว่าเก๋อเฉียนฝึกฝน ‘คัมภีร์เต่าหางมังกรดำแท้จริง’ ได้เช่นใดมากกว่า
เมื่อพูดถึงนครหลวงจิ๋วติ่งขึ้นมา ซูอี้ก็อดนึกถึงเยว่ซือฉานราชาขนนกขึ้นมาไม่ได้ สาวน้อยหน้าตางดงามในชุดสีขาวสะพายดาบ ตอนนี้จะอยู่ในนครหลวงจิ๋วติ่งหรือไม่นะ?
ยังมีฮวาซิ่นเฟิงอีกคน นางเป็นถึงคนรุ่นหลังของตระกูลโบราณตระกูลหนึ่งในอาณาจักรต้าเซี่ย ซึ่งใช้ปักษามังกรเป็นรูปสัญลักษณ์
ตอนที่แยกจากกันที่ทะเลวิญญาณโกลาหล ฮวาซิ่นเฟิงได้มอบหยกปักษามังกรแก่เขา ทั้งยังกล่าวว่ามีของสิ่งนี้อยู่ ไม่ว่าต้องการทำเรื่องใดในนครหลวงจิ๋วติ่ง ขอเพียงไปที่หอทะเลสาบเมฆาก็จะมีคนอาสารับใช้ถวายชีวิตต่อซูอี้
“นครหลวงจิ๋วติ่ง… หวังว่าจะไม่ทำให้ข้าผิดหวัง…”
ซูอี้ลอบคิดในใจ
อาณาจักรต้าเซี่ยเป็นใหญ่ท่ามกลางอาณาจักรในโลกสามัญนับร้อยแห่งบนมหาทวีปคังชิง
และนครหลวงจิ๋วติ่งยังเป็นนครหลวงของอาณาจักรต้าเซี่ย ซึ่งตั้งอยู่ใจกลางของแผ่นดิน เปรียบดั่งหัวใจของอาณาจักร มีความเจริญรุ่งเรืองอย่างหาที่เปรียบมิได้
เล่าขานกันว่า นครหลวงจิ๋วติ่งมีขึ้นตั้งแต่เมื่อสามหมื่นปีก่อนแล้ว มีพื้นฐานเก่าแก่โบราณ จนถึงบัดนี้ นครหลวงจิ๋วติ่งได้รับสมญานามว่า ‘เมืองแห่งการฝึกตน’ และ ‘เมืองเซียนในโลกมนุษย์’
อีกทั้งว่ากันว่าใต้นครหลวงจิ๋วติ่งยังกดทับชีพจรมังกรซึ่งมีพลังแห่งความมงคลคละคลุ้ง และก็เป็นเพียงชีพจรมังกรเดียวบนมหาทวีปคังชิงที่ไม่ได้รับความเสียหายในยุคมืด!
ด้วยเหตุนี้ ซูอี้จึงให้ความสนใจเป็นพิเศษ
จนถึงขั้นตั้งความหวังขึ้นมาว่าจะได้เจอกับตัวตนที่คู่ควรแก่การต่อสู้ในนครหลวงจิ๋วติ่งซึ่งเป็นเมืองอันมีระดับสูงสุดในแวดวงผู้ฝึกตนของอาณาจักรต้าเซี่ย!