บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 48 คำขอจากฟู่ซาน
ตอนที่ 48 คำขอจากฟู่ซาน
ณ เรือนเล็กเหมยอำพัน
หลังซูอี้กลับมาจากนอกเมือง เขาก็ได้พบกับแขกที่ไม่คาดคิดรออยู่
เจ้าเมืองฟู่ซาน!
“ซูเซียนเชิง”
ฟู่ซานยิ้มทักทายเขา “ข้ามาไม่ได้บอกกล่าวก่อน โปรดอภัยด้วย”
ครั้งนี้เขาเรียกซูอี้ว่า ‘เซียนเชิง’ เหมือนกับเซียวเทียนเชวี่ยและจื่อจิ่น
เป็นคำเรียกหาที่ยกย่องให้เกียรติ
นี่หมายความว่าในใจของฟู่ซาน ซูอี้ไม่ได้เป็นเพียงสหายน้อยอีกต่อไป
ซูอี้ใคร่ครวญจึงเอ่ย “เจ้ามีเรื่องไร้ทางคลี่คลายหรือ?”
“นึกแล้วว่าข้าไม่อาจปิดบังท่านได้”
ฟู่ซานถอนหายใจใหญ่โต แววเป็นกังวลปรากฏกลางหว่างคิ้ว “ข้ามาที่นี่เพื่อขอร้องเรื่องไม่สมควร หวังว่าเซียนเชิงจะช่วยได้”
“ว่ามาเถิด” ซูอี้พยักหน้ารับ
ฟู่ซานคิดไตร่ตรองและพูดออกมาในท้ายที่สุด “อีกสามวันงานประลองประตูมังกรจะจัดขึ้น เดิมทีข้าควบคุมจัดการทุกอย่างได้ ทว่าเมื่อคืนก่อนข้ากลับได้รับจดหมายจากลี่เจี้ยนอวี่ เจ้าเมืองลั่วอวิ๋น”
“เขาเขียนแนะนำมาในจดหมายว่าในงานประลองประตูมังกรปีนี้ ควรตกลงเรื่องกรรมสิทธิ์ชั่วทศวรรษของ ‘เกาะไผ่วิญญาณ’ กันเสียที”
“หากชายหนุ่มจากเมืองกว่างหลิงเป็นผู้ชนะในการแข่งขันนี้ เกาะไผ่วิญญาณจะตกเป็นดินแดนของเมืองกว่างหลิง และอยู่ภายใต้การปกครองของจวนเจ้าเมืองเป็นเวลาสิบปี”
“หากไม่เป็นเช่นนั้นเกาะไผ่วิญญาณจะตกเป็นของเมืองลั่วอวิ๋น”
ซูอี้มองสถานการณ์ออกบ้าง ถามขึ้น “เกาะไผ่วิญญาณวิเศษถึงเพียงนั้นเลยหรือ?”
“แน่นอน”
ฟู่ซานแถลง “เกาะนี้ตั้งอยู่ใจกลางแม่น้ำต้าฉาง ห่างจากเมืองกว่างหลิงไปสามสิบลี้ เป็นเกาะเล็ก ๆ ในแม่น้ำ”
“แม้จะห่างไปเพียงสามสิบลี้ แต่กลับเป็นสถานที่มหัศจรรย์เป็นแหล่งรวมพลังวิญญาณ และที่สำคัญ บนเกาะมีป่าไผ่ซึ่งมีนามว่า ‘ไผ่วิญญาณหยกขจี’ อีกด้วย”
“ต้นไผ่เหล่านั้นนับได้ว่าเป็นสมบัติล้ำค่า ทั้งราก หน่อ และใบต่างสามารถนำมาทำเป็นโอสถ พวกมันเต็มเปี่ยมไปด้วยปราณวิญญาณธาตุไม้”
“ลำต้นไผ่ที่โตเต็มที่เป็นวัตถุดิบวิญญาณเลอค่า สามารถนำมาใช้ทำอาวุธวิญญาณได้”
“เมื่อก่อนเมืองกว่างหลิงและเมืองลั่วอวิ๋นผลัดกันปกครองเกาะไผ่วิญญาณครั้งละสามปี”
“ทว่าตั้งแต่ลี่เจี้ยนอวี่ขึ้นเป็นเจ้าเมืองเมื่อสองปีก่อน เขากลับทำลายธรรมเนียมดั้งเดิม และไม่ยอมปฏิบัติตามแต่อย่างใด ตั้งใจจะครอบครองเกาะเอาไว้แต่ผู้เดียว”
“สองปีที่ผ่านมาเขากับข้ามีเรื่องข้อพิพาทเรื่องเกาะไผ่วิญญาณมากมาย ดูเหมือนจะยิ่งรุนแรงขึ้นทุกที หากไม่แก้ไขคงไม่พ้นกลายเป็นการจลาจลครั้งใหญ่แน่”
สิ้นคำ ฟู่ซานก็ยิ้มอย่างขมขื่น
ซูอี้กล่าวคำ “หากท่านว่าเช่นนี้ เรื่องที่เขาเสนอคลี่คลายปัญหานี้ที่งานประลองประตูมังกร คงไม่ใช่สิ่งที่ท่านหวังไว้อย่างนั้นหรือ?”
ฟู่ซานถอนใจ “หากข้าทราบเรื่องตั้งแต่หลายวันก่อนคงยอมตกลงไปแล้ว แต่เขากลับไม่บอกข้ากระทั่งเมื่อคืน ทำให้ข้าจัดการได้ยากนัก”
“เหตุใดเล่า?” ซูอี้เลิกคิ้ว
“ที่งานประลองประตูมังกรมีเพียงนักสู้หนุ่มสาววัยไม่เกินสิบแปดที่มีสิทธิ์เข้าร่วมการประลอง หากข้ารู้ล่วงหน้าคงจะเตรียมการหาผู้ที่แข็งแกร่งไว้ลงประลองยุทธ์”
ฟู่ซานเอ่ยอย่างหนักใจ “บัดนี้เวลาคับขัน ข้าไม่มีเวลาเตรียมการ กลับกับเขาผู้เสนอมาก่อนย่อมมีแผนการและมั่นใจเป็นแน่”
ซูอี้พยักหน้ารับเมื่อได้ฟังถึงตรงนี้ กล่าวขึ้น “ลี่เจี้ยนอวี่ผู้นี้แผนสูงนัก”
ฟู่ซานถากถาง “จิ้งจอกเฒ่าผู้นั้นเหลี่ยมจัด ไม่เคยลงสู้ในสนามที่ไม่มั่นใจ ครั้งนี้คงจะเป็นเช่นนั้น ข้าได้ข่าวมาว่าเขาได้เตรียมชายหนุ่มเปี่ยมพรสวรรค์นามว่า ‘โม่เทียนหลิง’ เอาไว้แล้ว”
“โม่เทียนหลิงผู้นี้มาจากตระกูลโม่ เป็นตระกูลเก่าแก่ในเมืองลั่วอวิ๋น ปีนี้เขาอายุสิบแปด และฝึกที่สำนักดาบชิงเหอได้สองปีแล้ว”
“ภายหลังเขาเดินทางออกจากเขตปกครองอวิ๋นเหอไปเข้าร่วมกองกำลังเกล็ดแดงภายใต้การนำของท่านจวิ้นอ๋องอวิ๋นกวง และฝึกในสมรภูมิรบมากกว่าหนึ่งปี”
“เด็กหนุ่มที่แข็งแกร่งและมากประสบการณ์เช่นนั้นไม่มีทางที่ลูกศิษย์สำนักต่าง ๆ ผู้ไม่เคยเผชิญกับสนามรบจริงจะสู้ได้”
เล่าถึงตรงนี้ เขาจึงเผยสีหน้านิ่วแสดงแววหวั่นใจ
“เขานี่เอง”
ซูอี้รู้สึกคุ้นเคยอยู่บ้าง ก่อนพลันนึกขึ้นได้
เมื่อครั้งเขาฝึกที่สำนักดาบชิงเหอเข้าปีที่สาม โม่เทียนหลิงได้กลายเป็นศิษย์สายในของสำนัก
คนผู้นี้โหดเหี้ยมเลือดร้อน ฟันแขนขวาของเพื่อนร่วมสำนักระหว่างฝึกซ้อมจนขาดอย่างไร้ปรานี สร้างความไม่พอใจให้ผู้อาวุโสในสำนัก และขับไล่เขาออกจากสำนักดาบชิงเหอ
ซูอี้นึกไม่ถึงว่าผ่านมาเนิ่นนาน เขาจะยังได้ยินข่าวคราวของอีกฝ่าย
“ซูเซียนเชิง ข้ารู้ว่าการเชิญท่านมาเข้าร่วมประลองทำให้ท่านต้องเปิดเผยตัวตน ทว่าไม่มีหนทางอื่นอีกแล้ว แต่หากท่านไม่ตกลงก็ไม่เป็นไร ข้าจะลองคิดหาทางอื่น”
เห็นซูอี้นิ่งเงียบ ฟู่ซานอดลำบากใจไม่ได้ เขารู้สึกมืดแปดด้าน
เดิมทีเขาไม่ได้คิดจะขอความช่วยเหลือจากซูอี้
หลังจากเนี่ยเป่ยหู่เอ่ยเตือน เขาพลันนึกได้ว่าซูอี้ผู้เป็นที่นับถือของเจ้าแห่งเขตปกครองหลิงเหยาอายุเพียงสิบเจ็ดปีเท่านั้น!
แน่นอนว่าอายุเท่านี้มีสิทธ์เข้าร่วมการแข่งขันได้
หลังลังเลใจอยู่นาน ในที่สุดจึงกัดฟันมาขอความช่วยเหลือ
เขาไม่คิดว่าคนเช่นซูอี้จะตอบตกลงอย่างง่ายดายอยู่แล้ว ถึงกระนั้นยังลองถามไถ่ดูแม้จะไม่มั่นใจนัก
ซูอี้พลันถาม “ข้าได้ยินว่าผู้อาวุโสโจวฮวายชิวและศิษย์เอกหนีเฮ่าจากสำนักดาบชิงเหออยู่ที่นี่เช่นกัน เหตุใดท่านจึงไม่ไปขอความช่วยเหลือจากหนีเฮ่าเล่า?”
ฟู่ซานยิ้มเจื่อนพลางส่ายหน้า “ก่อนอื่นข้าไร้สัมพันธ์กับโจวฮวายชิว อย่างสองคือช่วงนี้โจวฮวายชิวและหนีเฮ่าอาศัยอยู่ที่บ้านตระกูลหลี่”
“เซียนเชิงน่าจะทราบดีว่าครั้งเมื่องานวันเกิดของนายหญิงเฒ่าตระกูลเหวิน หลี่เทียนหานไม่พอใจกับท่าทีของข้านัก ดังนั้น…”
ซูอี้พยักหน้าตอบ “ข้าเข้าใจ เอาเถิด เมื่องานประลองประตูมังกรเริ่ม ข้าจะไปเข้าร่วม”
อย่างไรเสียฟู่ซานก็ช่วยเหลือเขาไว้มากที่ภัตตาคารรวมเซียน แม้ครั้งนั้นอีกฝ่ายจะทำตามสั่งเท่านั้น แต่ซูอี้ยังอดซาบซึ้งใจไม่ได้
บัดนี้มาขอความช่วยเหลือถึงบ้าน เขาคงไม่อาจนิ่งเฉยลงได้
หากคู่ต่อสู้ไม่ได้เก่งกาจนักหนา ก็ถือเสียว่าเป็นโอกาสชมทิวทัศน์และแสงไฟรูปมังกรริมน้ำ
ฟู่ซานยินดีนัก ยิ้มกว้าง “มีซูเซียนเชิงอยู่ทั้งคน สถานการณ์ย่อมคลี่คลาย! ข้าไม่นึกกังวลอีกแล้ว!”
ไม่นานอีกฝ่ายจึงบอกลา
ซูอี้กลับเข้าห้อง ถอดเสื้อผ้าก่อนลงแช่ในอ่างน้ำสมุนไพรที่เตรียมเอาไว้
เมื่อเทียบกับเรื่องตอบตกลงเข้าร่วมงานประลองประตูมังกร เขาใส่ใจกับการฝึกของตนเองเสียมากกว่า
ช่วงนี้หวงเฉียนจวินนำน้ำแกงกระดูกหมูเสริมสมุนไพรมาให้ทุกเช้า
นอกจากนี้ยังมีหินวิญญาณ การฝึกของซูอี้จึงก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว
เมื่อคืนเขาได้สำเร็จขั้นขัดเกลาเส้นเอ็นถึงระดับจุดสมบูรณ์ กล้ามเนื้อและเส้นเอ็นแข็งแกร่งราวชิวหลง*[1] มีอานุภาพความแกร่งทนและยืดหยุ่นชวนตกตะลึง
ความแข็งแกร่งของเขาในตอนนี้ หากย้อนไปเจออู๋รั่วชิวผู้อยู่ในขอบเขตรวบรวมลมปราณ ขั้นหนึ่ง ‘เบิกปัญญา’ อีกครา เขาคงสามารถสังหารอีกฝ่ายได้อย่างง่ายดายโดยใช้แค่เพียงเพลงดาบอย่างเดียวเท่านั้น
“อืม ถัดไปเมื่อฝึก ขั้นขัดเกลากระดูก สมุนไพรธรรมดาเหล่านี้คงได้ผลไม่ดีอีกแล้ว…”
ไม่นานซูอี้ก็หน้าเหยเกเล็กน้อย ลุกขึ้นจากอ่างน้ำ กล้ามเนื้อดูกระชับ เผยเป็นมัดชัดเจนบนกายแกร่ง ขาวสว่างวาววับราวหยก
เขาเช็ดตัว สวมเสื้อคลุม ก่อนนั่งลงบนเตียงขณะถือหินวิญญาณไว้ในมือ
การขัดเกลากระดูกเป็นขั้นสุดท้ายของขอบเขตโคจรโลหิต
การบรรลุระดับนี้ยากกว่าการขัดเกลาเส้นเอ็นมาก เขาจะต้องขัดเกลากระดูกไปจนถึงแก่นจนถึงขั้นที่เรียกว่า ‘ไขกระดูกเยือกแข็ง’!
ผู้บ่มเพาะส่วนใหญ่ในอาณาจักรโจวติดอยู่ในขอบเขตนี้ไปตลอดชีวิต ยากที่จะเลื่อนระดับให้สูงขึ้น
ดังเช่นในเมืองกว่างหลิง
มีผู้บ่มเพาะขอบเขตโคจรโลหิตเกลื่อนกลาด ทว่ามีคนเพียงหยิบมือเดียวที่สามารถเข้าถึงขอบเขตรวบรวมลมปราณ
สำหรับซูอี้ การขัดเกลากระดูกนั้นไม่ยาก เพียงแค่ต้องมีวัตถุดิบเท่านั้น
ก่อนหน้าสมุนไพรทั่วไปอาจใช้ควบคู่การฝึกได้
แต่บัดนี้พวกมันกลับไร้ประโยชน์
เขาจำเป็นต้องมีสมุนไพรวิญญาณ หินวิญญาณ และสถานที่อันเป็นแหล่งรวมพลังวิญญาณ!
ทว่าในมหาอาณาจักรโจวพวกมันล้วนเป็นของหายากยิ่ง
‘ยังเหลือหินวิญญาณมากกว่าสามสิบก้อน แต่ถ้าหากไม่มีสมุนไพรวิญญาณมาเสริม คงต้องใช้ในการฝึกวันละห้าก้อน…’
‘ในเมื่อไม่มีทางเลือก บางทีอาจต้องออกจากเมืองกว่างหลิง’ ซูอี้ครุ่นคิดขณะฝึกตน
อาณาจักรโจวนั้นมีอาณาเขตกว้างใหญ่ ประกอบด้วย ‘หกแคว้นและสามสิบหกเขตปกครอง’ ในปกครอง
แต่ละแคว้นมีหกเขตปกครอง แต่ละเขตปกครองมีหลายเมือง
ยกตัวอย่างเช่นเขตปกครองอวิ๋นเหอ เป็นเขตปกครองของหนึ่งในหกแคว้นซึ่งมีเมืองอยู่ในการปกครองทั้งหมดสิบเก้าเมือง
เมืองกว่างหลิงเป็นหนึ่งในเมืองเหล่านั้นเช่นกัน
ในแผนที่ของอาณาจักรโจว เมืองกว่างหลิงอาจเรียกได้ว่าเป็นเมืองที่ห่างไกลในพื้นที่ไกลปืนเที่ยง
เมื่อหลายปีก่อนซูอี้เลือกมาฝึกตนที่สำนักดาบชิงเหอในเขตปกครองอวิ๋นเหอเนื่องจากตั้งอยู่ในพื้นที่ห่างไกล อยู่คนละฟากกับเมืองหลวงอวี้จิง
เช่นนี้จึงจะเป็นอิสระจากอิทธิพลของตระกูลซูในเมืองหลวงอวี้จิงได้
ทว่าคาดไม่ถึงว่าเมื่อเขาสูญเสียการบ่มเพาะ อำนาจของตระกูลซูในเมืองหลวงอวี้จิงกลับตามตัวเขาพบในเวลาไม่นาน!
ดังนั้นหลังจากความทรงจำของชาติก่อนฟื้นคืน ซูอี้จึงตัดสินใจแน่วแน่
จนกว่าจะฝึกตนถึงระดับจุดสูงสุดในขอบเขตโคจรโลหิต เขาไม่คิดจะเดินทางออกจากเมืองกว่างหลิง
ด้วยเงื่อนไขนี้ ต่อให้เมื่อเขาออกจากเมืองไปและเผชิญเรื่องเดือดร้อน เขายังมีกำลังต่อกรกับอีกฝ่าย
ทว่าบัดนี้ทุกสิ่งแปรเปลี่ยน
เมืองกว่างหลิงเป็นเพียงเมืองห่างไกล ทรัพยากรในการฝึกนั้นขาดแคลนยิ่งนัก
หากต้องการฝึกตนต่อไป จำเป็นต้องออกเดินทางไปยังพื้นที่ที่อุดมสมบูรณ์กว่านี้
อย่างเมืองหลวงของเขตปกครองอวิ๋นเหอ
ไม่เช่นนั้นสถานการณ์คงไม่ต่างใช้แม่ครัวฝีมือดีหุงข้าวโดยขาดน้ำ
“ยังไม่ต้องเร่งเดินทางนัก ถึงอย่างไรก็ควรไปเดินเล่นที่เทือกเขาเมฆาครามก่อนจากไปเสียหน่อย”
ซูอี้ยังไม่ลืมว่ามีซากศพหยินหกสมบูรณ์อยู่ที่สันเขามารดาภูตผี พร้อมทั้งหญ้าหกหยินและดอกไม้แสงตะวัน
เป็นไปได้ว่าอาจมีชิ้นส่วนวิญญาณผีหยินถูกฝังอยู่อีก!
“เอาล่ะ ร่ำลือกันว่าสันเขามารดาภูตผีมีวิญญาณสิงสถิตมาแต่ครั้งบรรพกาล พาชิงหว่านไปเดินเล่นก็ไม่เสียหาย”
ซูอี้นึกถึงชิงหว่านในน้ำเต้ารักษาวิญญาณ อดเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยไม่ได้
แม้ว่าซากศพหยินหกสมบูรณ์หรือหญ้าหกหยิน จะไม่มีประโยชน์ต่อการบ่มเพาะของเขาในตอนนี้
ทว่าสำหรับผีหยินอย่างนาง นับเป็นยาบำรุงชั้นดี!
สามวันต่อมา
‘งานประลองประตูมังกร’ ที่ผู้คนตั้งตารอจะจัดขึ้นในคืนนี้
ซูอี้มาถึงตั้งแต่ฟ้ายังไม่มืด ก่อนหน้านี้เขาไปป่าหม่อน บริเวณริมน้ำต้าฉางมา
สำหรับเขา งานวันนี้ไม่ได้แตกต่างจากปกตินัก
[1] ชิวหลง คือมังกรในตำนานของจีนที่มีเขาอยู่บนศีรษะ