บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 480 ศิษย์อาจารย์ออกเดินทาง
ตอนที่ 480: ศิษย์อาจารย์ออกเดินทาง
ตอนที่ 480: ศิษย์อาจารย์ออกเดินทาง
แคว้นเทียนหยาง
ในถ้ำแห่งหนึ่ง ณ ภูเขาศักดิ์สิทธิ์อวิ๋นเทียน
“ซินจ้าว ทางสำนักได้ตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว”
เซียนหานเยียนเดินเข้าไปในถ้ำและนั่งลงด้วยใบหน้าที่แฝงด้วยความอ่อนล้า
นางมีรูปโฉมงดงาม ตอนเข้าฝึกตนในสำนักเมื่ออายุสิบกว่าขวบก็ได้รับการยอมรับจากหนุ่มสาวทั้งหลายในตอนนั้นว่าเป็นหญิงงามอันดับหนึ่ง
ถึงแม้ตอนนี้นางมีอายุเกือบจะสามร้อยปีแล้ว ทว่ารูปโฉมยังคงงดงามดังเดิม ผิวพรรณเปล่งปลั่งมีน้ำมีนวล รูปร่างอวบอัดอรชร ผมยาวสลวยสวยถูกมัดเกล้าเป็นมวยขึ้นไป เผยให้เห็นใบหน้าผ่องใส
สำหรับผู้ฝึกตนที่มีเคล็ดลับรักษาความงามแล้ว ไม่มีคำกล่าวที่ว่า ‘หญิงงามเข้าสู่วัยชรา ไม่ยอมให้ใครเห็นผมขาว’
เซียนหานเยียนมีระดับการฝึกตนในขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณ ทว่ารูปโฉมยังคงงดงามสะท้านใจ
ภายใต้อิทธิพลของกาลเวลา ทำให้ทุกอากัปกิริยาของนางมีแต่จะอ่อนละมุนและเป็นผู้ใหญ่มากกว่าตอนยังเป็นสาว ดูงดงามไปอีกแบบ
“อาจารย์ เจ้าสำนักตัดสินใจเช่นใดหรือ?”
เหวินซินจ้าวลุกขึ้น จากนั้นยื่นชาวิญญาณร้อน ๆ มาให้
สาวน้อยงดงามประดุจภาพวาด เมื่อเทียบกับอาจารย์ของนางแล้ว เป็นความงดงามเฉิดฉาย มีความสวยในแบบฉบับของตัวเอง
เซียนหานเยียนถอนใจเบา ๆ ทีหนึ่งแล้วกล่าว “เจ้าสำนักมีบัญชา ถอดผู้อาวุโสจางอวิ๋นเทาออกจากตำแหน่ง นับแต่วันนี้เป็นต้นไปต้องอยู่แต่ที่ผาฝึกใจ สามปีนี้ห้ามออกไปไหน”
เหวินซินจ้าวสีหน้าเปลี่ยนไป
พวกเขาทั้งหมดกลับมาถึงสำนักตั้งแต่เมื่อห้าวันก่อน
ในวันเดียวกันนั้นเอง จางอวิ๋นเทาได้รายงานเรื่องราวที่ได้พบเจอระหว่างการเดินทางตามความเป็นจริง ทุกคนในสำนักต่างก็พากันตื่นตระหนก
ฮั่วอวิ๋นเซิง ซุนเฟิง กับเฉียนเทียนหลง ซึ่งเป็นศิษย์ฝ่ายในล้วนถูกฆ่า ใครบ้างจะไม่ตื่นตระหนก?
โดยเฉพาะอย่างยิ่งฮั่วอวิ๋นเซิง เขาเป็นถึงบุตรชายของหัวหน้าตระกูลฮั่วซึ่งเป็นตระกูลใหญ่หนึ่งในสามแห่งอาณาจักรต้าเซี่ย ความตายของเขาทำให้บุคคลประหลาดที่ปิดตนฝึกฝนอยู่หลายปีถึงกับตื่นตระหนก
หลังจากที่ทำความเข้าใจเรื่องราวความเป็นมาทั้งหมดแล้ว ผู้ใหญ่ในวังเทพสวรรค์เมฆาก็ถกเถียงกันอย่างดุเดือดรุนแรง
ผู้ใหญ่บางส่วนเข้าใจว่า พวกของฮั่วอวิ๋นเซิงว่าจ้างนักฆ่าเพื่อต่อกรกับซูอี้ เป็นฝ่ายทำผิดก่อน ต่อให้ถูกฆ่าก็เป็นผลที่ตัวเองสร้าง
ส่วนกำลังการสู้รบที่ซูอี้แสดงออกมานั้นมีความรุนแรงเกินไป ถึงแม้จะมาจากอาณาจักรเล็ก ๆ ที่ห่างไกล แต่ทว่ายังถือได้ว่าเป็นบุคคลอันตรายคนหนึ่ง
ในสถานการณ์เช่นนี้ ไม่ควรจะทำการสู้รบปรบมือกับซูอี้
ส่วนผู้ใหญ่อีกส่วนหนึ่งกลับยืนกรานว่า ความแค้นเช่นนี้ไม่อาจตัดสินได้ด้วยความถูกต้อง ซูอี้กล้าฆ่าผู้สืบทอดของวังเทพสวรรค์เมฆา จะต้องชดใช้การกระทำของเขา!
ไม่เช่นนั้นจะเอาเกียรติศักดิ์ศรีของวังเทพสวรรค์เมฆาไปไว้ที่ใด? วันข้างหน้าจะยืนหยัดอยู่ในอาณาจักรต้าเซี่ยได้เช่นใด?
ความขัดแย้งเช่นนี้ดำรงต่อไปเรื่อย ๆ ติดต่อกันหลายวัน
เหวินซินจ้าวก็ให้ความสนใจในเรื่องนี้อยู่เช่นกัน ทว่านางไม่คาดคิดเลยว่าสิ่งที่รอคอยกลับเป็นข่าวร้ายเช่นนี้!
เหวินซินจ้าวสูดหายใจลึก ๆ ทีหนึ่ง จากนั้นถามเบา ๆ “อาจารย์ เช่นนี้หมายความว่าผู้ใหญ่ในสำนักต่างก็มีความเห็นพร้อมเพรียงกันว่าจะต่อกรกับซูอี้ใช่หรือไม่?”
เซียนหานเยียนส่ายหน้าพลางกล่าว “นี่เป็นการตัดสินใจของฮั่วเทียนตู ผู้อาวุโสใหญ่ฝ่ายในกับผู้อาวุโสบางส่วน”
“ซินจ้าว เจ้าก็รู้เช่นกันว่าฮั่วเทียนตูเป็นปู่ของฮั่วอวิ๋นเซิง เขาไม่มีทางยอมให้จบเรื่องง่าย ๆ เป็นแน่ อีกทั้งการตัดสินใจของฮั่วเทียนตูยังได้รับการยอมรับจากผู้อาวุโสสูงสุดที่สาม ‘ปราชญ์จิ้งไห่’ แล้ว”
ปราชญ์จิ้งไห่!
ผู้เฒ่าประหลาดที่ย่างเข้าสู่ขอบเขตสยายวิญญาณตั้งแต่ห้าร้อยปีก่อน ในระยะเวลาหลายปีมานี้ เขาแทบจะปิดตนอยู่ตลอด น้อยนักที่จะใส่ใจกับเรื่องในโลก
ทว่าเขาในตอนนี้กลับแสดงท่าทีสนับสนุนความเห็นของฮั่วเทียนตู ซึ่งการสนับสนุนนี้มีน้ำหนักมากเหลือคณา!
เหวินซินจ้าวรู้สึกหนักใจยิ่งกว่าเดิม กล่าว “เจ้าสำนัก… รับปากด้วยเช่นกันงั้นหรือ?”
“เจ้าสำนักไม่มีทางปล่อยให้สำนักต้องทะเลาะกันเองเพราะซูอี้เพียงคนเดียวเป็นแน่”
ฮั่วเทียนตูเป็นทั้งผู้อาวุโสใหญ่ฝ่ายใน ทั้งยังเป็นคนในตระกูลฮั่ว เขาต้องการจะล้างแค้นแทนฮั่วอวิ๋นเซิง ใครคนอื่นจะสามารถเกลี้ยกล่อมเขาได้เช่นไร?
เหวินซินจ้าวถอนใจเบา ๆ “อาจารย์ สหายเต๋าซูเคยกล่าวไว้ว่า วันข้างหน้าหากมีโอกาส เขาจะมาเยี่ยมวังเทพสวรรค์เมฆาด้วยตนเอง”
เซียนหานเยียนรู้สึกประหลาดใจขึ้นมาในทันใด “เขาต้องการจะทำอะไร?”
ในดวงตาของเหวินซินจ้าวส่อประกายย้อนรำลึกความทรงจำ ก่อนจะกล่าว “สหายเต๋าซูเป็นห่วงว่าข้าจะทำตัวลำบาก บอกว่าหลังจากที่เขามาเยี่ยมด้วยตนเองแล้ว จะมาประลองกันว่าหมัดของใครจะแกร่งกว่ากัน เช่นนี้ บางทีสำนักของพวกเราอาจจะเปลี่ยนท่าที ตัดสินใจเลือกอย่างชาญฉลาด”
เซียนหานเยียนรู้สึกว่าเป็นเรื่องเหลวไหล ถึงกับหัวเราะออกมา “เขาเป็นเพียงแค่คนหนุ่มในขอบเขตไร้เบญจธัญเท่านั้น คิดจะใช้พละกำลังของตนเองเพียงคนเดียวบีบบังคับให้วังเทพสวรรค์เมฆาทั้งวังของพวกเรายอมก้มหัวเช่นนั้นหรือ?”
หากเหวินซินจ้าวไม่ใช่ศิษย์ของนาง ด้วยคำพูดเช่นนี้ นางคงจะมองว่าอีกฝ่ายคงเสียสติไปแล้ว!
เกินกว่าความคาดหมายของเซียนหานเยียน ฉับพลันนางเห็นเหวินซินจ้าวแสดงสีหน้าคาดหวังอย่างบอกไม่ถูก จากนั้นกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นอย่างไม่เคยได้ยินมาก่อนว่า “ข้าคิดว่า เขาทำได้!”
ฉับพลัน นางก็หัวเราะพลางกล่าว “แน่นอน อาจารย์จะถือว่าเป็นเพียงแค่คำหยอกล้อก็ได้”
หญิงสาวยิ้มแย้มเบิกบานประดุจภาพวาด
เซียนหานเยียนจ้องดูหญิงสาวสักครู่ จากนั้นกล่าวรำพึงออกมา “เจ้าชื่นชมซูอี้ถึงเพียงนี้ ทำให้ข้ารู้สึกสนใจในตัวเขาขึ้นมาแล้วเช่นกัน อยากจะดูนักว่าที่แท้แล้วเขาจะร้ายกาจเหมือนดังที่เจ้ากล่าวมาหรือไม่”
เหวินซินจ้าวกะพริบตาปริบ ๆ จากนั้นจึงกล่าวขึ้นว่า “อาจารย์ต้องการจะเจอสหายเต๋าซู ไม่ใช่เรื่องยากเลย เมื่อชุมนุมมวลพฤกษาเริ่มขึ้นแล้ว อาจารย์ไปเที่ยวชมนครหลวงจิ๋วติ่งพร้อมกับข้าก็จะได้เจอกับเขา”
เซียนหานเยียนส่ายหน้าพลางกล่าว “ถึงเวลานั้นก็สายไปเสียแล้ว ผู้อาวุโสฮั่วเทียนตูได้ตัดสินใจไปแล้วว่าวันพรุ่งนี้จะเดินทางไปนครหลวงจิ๋วติ่งด้วยตนเอง เพื่อไปคิดบัญชีกับซูอี้”
“ตามระยะเวลาการเดินทางของเขา ไม่เกินสามวันก็จะถึงจิ๋วติ่ง อาศัยกำลังของตระกูลฮั่วในนครหลวง ต้องการจะตามหาซูอี้ไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลย”
พูดถึงตรงนี้ นางทำท่าตัดสินใจออกมาพลางยืดตัวขึ้น พลางกล่าว “ซินจ้าว เจ้ายินดีจะไปนครหลวงจิ๋วติ่งกับข้าในตอนนี้หรือไม่?”
เหวินซินจ้าวตื่นตะลึง กล่าว “อาจารย์ต้องการไปที่นั่นเพราะเหตุอันใด?”
“เพื่อพบกับซูอี้ที่เจ้าพูดถึง หากว่าเป็นไปได้ ข้าหวังว่าจะสามารถยับยั้งโศกนาฏกรรมที่จะเกิดในครั้งนี้ได้ เจ้าไม่อยากจะให้ซูอี้เกิดเรื่อง ข้าก็เช่นกัน เพื่อต่อสู้กับซูอี้ ข้าไม่ต้องการให้สำนักต้องได้รับความเสียหายโดยไม่จำเป็น”
ริมฝีปากอิ่มเอิบงดงามของเซียนหานเยียนส่อประกายแห่งความมุ่งมั่นออกมา
เหวินซินจ้าวแอบสะดุ้งในใจ พยักหน้ารับปาก
“แน่นอน ก่อนที่จะเดินทางไปข้าจะไปพบกับเจ้าสำนักเป็นการส่วนตัวก่อน เพื่อบอกให้เขารู้ถึงการตัดสินใจของข้า ท้ายสุดจะสามารถแก้ไขปัญหาทั้งหมดได้หรือไม่…”
พูดถึงตรงนี้ เซียนหานเยียนถอนใจเบา ๆ “ทำเต็มที่แล้ว สุดท้ายก็ต้องแล้วแต่พรหมลิขิต”
วันเดียวกัน เซียนหานเยียนพูดคุยกับ ‘อวี้จิ่วเจิน’ เจ้าสำนักวังเทพสวรรค์เมฆาเป็นเวลาครึ่งชั่วยาม
เหวินซินจ้าวไม่รู้ว่าอาจารย์พูดคุยเรื่องอันใดบ้างกับเจ้าสำนัก
ทว่านางดูออกว่า หลังจากที่พบกับเจ้าสำนักแล้ว ท่าทีของอาจารย์ดูเคร่งขรึมลงมาก
ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ เซียนหานเยียนยังคงพานางออกเดินทางจากวังเทพสวรรค์เมฆาในวันนั้น
และในวันเดียวกัน
ในเขตแดนแคว้นเหิง ณ สำนักเต๋าชิงอี่
ผู้เฒ่าชุดสีเทามีสีหน้าตื่นเต้น รีบมายังตำหนักใหญ่ของสำนักเพื่อรายงานต่อเซียนโม่หยางผู้เป็นเจ้าสำนัก
“เรียนเจ้าสำนัก คนของพวกเราสืบมาได้ชัดเจนแล้วว่า ซูอี้เคยเดินทางร่วมกับผู้สืบทอดแห่งวังเทพสวรรค์เมฆา ดูจากการเดินทางของพวกเขาแล้ว คงต้องการจะไปยังนครหลวงจิ๋วติ่งแห่งอาณาจักรต้าเซี่ย!”