บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 481 นครหลวงจิ๋วติ่ง เมืองเซียนในโล
ตอนที่ 481: นครหลวงจิ๋วติ่ง เมืองเซียนในโลกมนุษย์
เซียนโม่หยางเจ้าสำนักเต๋าชิงอี่ดวงตาลุกวาว ก่อนจะกล่าว “นครหลวงจิ๋วติ่ง? คน ๆ นี้คงไม่คิดจะเข้าร่วมงานชุมนุมมวลพฤกษาหรอกกระมัง?”
ในโถงใหญ่ ผู้เฒ่าชุดสีเทากล่าวเสียงเข้ม “อาจจะเป็นไปได้!”
เซียนโม่หยางนิ่งเงียบไป
เส้นผมของเขาดุจดั่งไหมสีเงิน หนวดเคราพลิ้วไหว ใบหน้าดุจชายหนุ่ม เวลาที่เคลื่อนย้ายสายตา แววตาแฝงไว้ซึ่งกลิ่นอายแห่งความผันผวนแห่งวันเวลา
ผู้ที่นั่งอยู่ในตำแหน่งประธานใจกลางโถงใหญ่เวลานี้ ถึงแม้จะสวมใส่เพียงแค่ชุดคลุมยาวสีเรียบเนื้อผ้าหยาบ ทว่ามีความน่าเกรงขามยิ่งนัก มีความยิ่งใหญ่ประดุจราชาแห่งแผ่นดิน
“สืบได้ความหรือไม่ว่าข้างกายของซูอี้มีคนฝีมือดีคอยติดตามหรือไม่?”
เซียนโม่หยางถาม
ในความคิดของเขา ต่อให้หนุ่มน้อยในขอบเขตไร้เบญจธัญจะมีกำลังการสู้รบร้ายกาจสักแค่ไหน ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะฆ่าบุคคลที่อยู่ในขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณขั้นกลางอย่างลี่เมี่ยวหงได้
“ยังตรวจสอบไม่พบขอรับ”
ผู้เฒ่าชุดสีเทาส่ายหน้า
เซียนโม่หยางขมวดคิ้ว
ในขณะนี้เอง จู่ ๆ ผู้เฒ่าร่างอ้วนเตี้ยก็พรวดพราดเข้ามาในโถงใหญ่ราวลมกรด แล้วกล่าวขึ้น “ศิษย์พี่โม่หยาง มีข่าวใหญ่ส่งมาจากวังเทพสวรรค์เมฆาขอรับ!”
เซียนเล่อเฟิง
ผู้เฒ่าสามฝ่ายใน ศิษย์น้องของเซียนโม่หยาง อยู่ในขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณ
“ข่าวอันใด?”
เซียนโม่หยางกับผู้เฒ่าชุดสีเทาเบนสายตามองไป
เซียนเล่อเฟิงกล่าว “ว่ากันว่า ศิษย์ฝ่ายในอันดับสามของวังเทพสวรรค์เมฆาถูกซูอี้ฆ่าตาย หนึ่งในจำนวนนั้นมีศิษย์นามว่าฮั่วอวิ๋นเซิง เป็นบุตรชายคนโตของตระกูลฮั่ว หลานชายของฮั่วเทียนตูผู้อาวุโสใหญ่แห่งวังเทพสวรรค์เมฆา!”
สีหน้าของเขาแฝงไว้ซึ่งความสมน้ำหน้า “เพราะเรื่องนี้ พวกผู้เฒ่าในวังเทพสวรรค์เมฆาเหล่านั้นจึงทะเลาะกันเป็นเวลาหลายวัน แต่เชื่อได้ว่า ซูอี้คนนี้… จะต้องเจอภัยพิบัติอย่างแน่นอน!”
ได้ฟังแล้ว เซียนโม่หยางกลับขมวดคิ้วแน่น รู้สึกได้ถึงความไม่ชอบมาพากล กล่าว “ซูอี้คนนี้… มีปัญหา!”
ลี่เมี่ยวหงเป็นถึงผู้อาวุโสฝ่ายในอันดับที่สามของสำนักเต๋าชิงอี่ เป็นตัวตนในขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณ ทว่ากลับต้องตายเมื่อประมือกับหนุ่มน้อยในขอบเขตไร้เบญจธัญอย่างซูอี้
ตอนนี้ แม้กระทั่งศิษย์ฝ่ายในสามคนของวังเทพสวรรค์เมฆาก็ยังต้องจบชีวิตด้วยเงื้อมมือของซูอี้ เรื่องนี้ทำให้ใคร ๆ ต่างก็ไม่อยากจะเชื่อ
“ใช่ เป็นเพียงแค่คนหนุ่มจากอาณาจักรต้าโจว แต่กลับทำผิดต่อสำนักเต๋าชิงอี่กับวังเทพสวรรค์เมฆาติดต่อกันในช่วงระยะเวลาที่ใกล้เคียงกัน ท่าทางเช่นนี้… จะบังอาจเกินไปเสียแล้ว!”
ผู้เฒ่าชุดสีเทาก็รู้สึกได้ถึงความไม่ชอบมาพากลเช่นกัน “ต่อให้เป็นปีศาจอสูรยุคโบราณเหล่านั้น ในแผ่นดินตอนนี้ก็ยังไม่กล้าหาเรื่องขุมกำลังเต๋าระดับสูงสุดอย่างพวกเรา ซูอี้ผู้นี้… ไปเอาความมั่นใจมาจากที่ใดจึงกล้าทำเช่นนี้?”
เซียนเล่อเฟิงผู้ซึ่งยังรู้สึกสมน้ำหน้าในตอนแรกถึงกับนิ่งตะลึงไป ฉับพลันก็ตั้งสติกลับคืนมาได้ แล้วกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “พวกเจ้ากำลังสงสัยว่า เบื้องหลังของซูอี้คนนี้จะมีตัวตนที่น่ากลัวคนใดคนหนึ่งหรืออาจจะเป็นขุมกำลังลึกลับบางแห่งที่ไม่มีใครรู้คอยหนุนหลังอยู่เช่นนั้นหรือ?”
“ไม่แน่”
สีหน้าของเซียนโม่หยางสับสนไม่นิ่ง “แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม พวกเราไม่อาจประมาทคน ๆ นี้ได้”
นิ่งเงียบไปชั่วครู่ เขาก็แสดงสีหน้าตัดสินใจเด็ดขาด “ศิษย์น้องเล่อเฟิง เจ้ากับศิษย์น้องทิงเฮ่อจงไปที่นครหลวงจิ๋วติ่ง รวบรวมกลุ่มกำลังและคนที่พวกเจ้ารู้จักให้ไปตรวจสอบประวัติของซูอี้”
เซียนเล่อเฟิงกับผู้เฒ่าชุดสีเทาเซียนทิงเฮ่อรับคำสั่งพร้อมเพรียงกัน
เซียนโม่หยางราวกับไม่อาจวางใจได้ กล่าวกำชับอีก “จงจำไว้ หากไม่จำเป็นจริง ๆ พวกเจ้าอย่าได้เข้าใกล้ซูอี้ ประมือกับคน ๆ นี้อาจจะเป็นอันตรายต่อผู้ที่อยู่ในขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณอย่างพวกเจ้า ต้องคอยระมัดระวังให้ดี ข้างกายคน ๆ นี้อาจจะมีคนมีฝีมือคอยติดตามก็เป็นได้”
เล่อเฟิงกับทิงเฮ่อสะดุ้งขึ้นมาในใจ จากนั้นจึงพยักหน้า
“ไปเถอะ ข่าวการตายของผู้อาวุโสลี่เมี่ยวหงเป็นเรื่องใหญ่แพร่สะพัดรู้กันไปทั่วแล้ว ในใต้หล้านี้ไม่รู้ว่ามีคนจำนวนเท่าใดที่แอบหัวเราะเยาะชอบใจและกำลังมองดูเรื่องขายหน้าของสำนักเต๋าชิงอี่ของพวกเรา ไม่ว่าซูอี้คนนี้จะยิ่งใหญ่มาจากที่ใด เรื่องนี้… สำนักเต๋าชิงอี่ของพวกเราไม่มีทางยอมจบง่าย ๆ อย่างแน่นอน!”
สายตาของเซียนโม่หยางมีแต่ความเย็นชา
วันนี้ เป็นวันที่สิบเดือนเก้า
บุคคลผู้ยิ่งใหญ่ระดับสุดยอดของวังเทพสวรรค์เมฆากับสำนักเต๋าชิงอี่แห่งอาณาจักรต้าเซี่ยต่างก็เพ่งเล็งไปที่ซูอี้คนเดียว!
——
หลังจากนั้นห้าวัน
วันที่สิบห้าเดือนเก้า ยามโพล้เพล้
ซูอี้กับคนอื่น ๆ เดินทางผ่านแนวเทือกเขาไปแล้ว ในที่สุดก็มองเห็นนครหลวงจิ๋วติ่งตั้งตระหง่านอยู่บนแผ่นดินกว้างใหญ่อยู่ไกล ๆ
ยามโพล้เพล้ แสงตะวันแดงก่ำประหนึ่งดวงไฟ
นครหลวงจิ๋วติ่งดุจมังกรใหญ่แห่งบรรพกาล คดเคี้ยวอยู่บนผืนแผ่นดินกว้างเป็นแนวขึ้นลงดั่งเทือกเขาสูงต่ำ มองออกไปไม่เห็นขอบเขต
แสงตะวันยอแสงส่องกระทบลงบนเมืองขนาดใหญ่ กำแพงเมืองโบราณราวกับหล่อหลอมจากทองคำอาบชโลมด้วยแสงสีทองผ่องอำไพ ยิ่งใหญ่และตั้งตระหง่าน
ที่นี่เป็นเมืองแห่งการฝึกตนที่ผู้ฝึกตนทั้งหลายในใต้หล้าต่างก็ใฝ่ฝันจะมา ได้รับการขนานนามจากคนทั้งหลายว่าเป็นเมืองเซียนในโลกมนุษย์
เป็นหัวใจของอาณาจักรต้าเซี่ย หลังจากผ่านการกัดเซาะของการกักขังแห่งยุคมืดเป็นเวลาถึงสามหมื่นปี ก็ยังดำรงอยู่มาได้ เสมือนเป็นไข่มุกเม็ดงามบนแผ่นดินมหาทวีปคังชิง
“นี่คือนครหลวงแห่งอาณาจักรต้าเซี่ยเช่นนั้นหรือ…”
หยวนเหิงตกตะลึง เพียงแค่มองดูเมืองแห่งนี้จากไกล ๆ ก็ทำให้จิตใจของเขาเกิดความยำเกรงขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ราวกับมองเห็นแผ่นดินศักดิ์สิทธิ์
“เล่าขานกันว่าอาณาเขตนครหลวงจิ๋วติ่งมีความกว้างถึงเก้าหมื่นจั้ง กว้างใหญ่ราวกับแคว้นรัฐในโลกสามัญ มีความยิ่งใหญ่อลังการ ชาวบ้านธรรมดาทั่วไปต้องเดินทางเท้าถึงสามวันสามคืนจึงสามารถเดินจากทิศตะวันออกสุดไปถึงฝั่งทิศตะวันตกสุดของเมืองได้”
ไป๋เวิ่นฉิงพึมพำ “ตอนแรกสุด ข้ายังคิดว่าไม่ใช่เรื่องจริง แต่ตอนนี้มาเห็นแล้ว ที่เล่าขานกันนั้นไม่ได้เกินกว่าเหตุเลยแม้แต่น้อย…”
นครหลวงจิ๋วติ่งกว้างใหญ่มากเหลือเกิน มองจากไกล ๆ เป็นเพียงแค่เมือง ๆ หนึ่งเท่านั้น ทว่ากลับให้ความรู้สึกยิ่งใหญ่มโหฬาร
“ไม่ผิด ในที่สุดเมือง ๆ นี้ก็มีบรรยากาศเมืองเซียน”
ซูอี้พยักหน้า
นครหลวงจิ๋วติ่งแห่งนี้ หากพูดถึงเพียงแค่บรรยากาศ ไม่ค่อยแตกต่างไปจากเมืองแห่งการฝึกตนซึ่งบ่มเพาะบุคคลล้ำเลิศบางแห่งในมหาทวีปคังชิง
ทว่า สำหรับซูอี้แล้ว เช่นนี้จึงจะเป็นลักษณะที่นครหลวงจิ๋วติ่งควรจะมี
สถานที่ชุมนุมผู้ฝึกตน ควรจะมีความประณีตสวยงาม มีเอกลักษณ์ของความเป็นเซียน!
“พวกเราเข้าไปในเมืองกัน”
ซูอี้เดินนำหน้าไปก่อน
ยิ่งเดินเข้าไปใกล้ ก็ยิ่งรู้สึกได้ถึงความใหญ่โตมโหฬารของนครหลวงจิ๋วติ่ง ลำพังเพียงแค่กำแพงเมือง ก็มีความสูงถึงร้อยจั้งแล้ว ความสูงของประตูเมืองทำให้เวลาที่มีคนเดินผ่านไปมาแลดูตัวเล็กเพียงนิดเดียว
สวบ! สวบ! สวบ!
นอกประตูเมืองคึกคักมาก แสงไฟเจิดจ้าแหวกอากาศมาแต่ไกล ๆ เรียงรายเป็นทาง เมื่อมาถึงหน้าประตูเมือง ต่างก็ร่อนลงอย่างสวยงามมั่นคง จากนั้นก้าวเดินเข้าไปในเมือง
ในนครหลวงจิ๋วติ่งห้ามบินไปมากลางอากาศ!
แม้กระทั่งผู้ฝึกตนวิถีวิญญาณก็ยังไม่กล้าทำผิดกฎ
มิเช่นนั้นจะถูกฆ่าด้วยค่ายกลต้องห้ามโบราณที่กระจัดกระจายอยู่ในนครหลวงจิ๋วติ่ง
“ผู้ฝึกตนเยอะแยะเต็มไปหมด…”
หยวนเหิงตื่นตะลึง
ใกล้ประตูนครหลวงจิ๋วติ่ง มีผู้คนมากมายแน่นขนัด ในจำนวนนั้นส่วนใหญ่แล้วเป็นผู้ฝึกตน มีทั้งหญิงชายและเด็กกับคนแก่
นอกจากนี้ ยังมีผู้ฝึกปีศาจและผู้ฝึกวิถีพุทธอีกจำนวนไม่น้อย
บ้างก็นั่งรถลากมาก บ้างก็ขี่สัตว์วิเศษ ภาพเหล่านั้นราวกับไม่ได้อยู่ในโลกสามัญ แต่มาถึงดินแดนฝึกตนที่แท้จริง
สายตาของไป๋เวิ่นฉิงกวาดมองตาม
ช่างอัศจรรย์เสียเหลือเกิน!
เวลาปกติ ไหนเลยจะได้เห็นผู้ฝึกตนจำนวนเยอะแยะมากมายเช่นนี้?
ทว่าซูอี้กลับเฉยเมยต่อภาพทั้งหมดที่เห็น
ในเก้ามหาแดนดิน ภาพเหตุการณ์เช่นนี้มีให้เห็นได้ทั่วไป
เขาเบนสายตามองไปยังกำแพงเมืองสูงร้อยจั้ง ซึ่งส่องประกายแสงสีทองทั่วบริเวณ
ก้อนหินขนาดใหญ่แต่ละก้อนที่ใช้ก่อเป็นกำแพงเมืองเหล่านั้นล้วนหลอมสร้างขึ้นด้วยเคล็ดวิชาลึกลับ มันปกคลุมไปด้วยลวดลายอักขระ เมื่อแสงตะวันยามเย็นสาดกระทบ ลวดลายอักขระเหล่านั้นก็เกิดเป็นประกายลึกลับขึ้นมา
ลำพังเพียงแค่มูลค่าของหินอิฐเพียงก้อนเดียวเทียบได้กับหินวิญญาณไม่รู้จำนวนเท่าไร
กำแพงเมืองสูงร้อยจั้งซึ่งก่อตัวจากหินอิฐจำนวนนับไม่ถ้วนทอดเป็นแนวยาวจนสุดลูกหูลูกตา… มูลค่าของมันไม่อาจวัดค่าด้วยหินวิญญาณได้
“ดูท่าแล้ว คำเล่าขานนั้นจะเป็นความจริง นครหลวงจิ๋วติ่งทั้งเมืองเป็นค่ายกลต้องห้ามขนาดใหญ่ ซึ่งครอบคลุมไปไกลถึงเก้าหมื่นจั้ง ด้านล่างกดทับชีพจรมังกร ด้านบนเชื่อมโยงพลังฟ้าดิน หากว่าขับเคลื่อนอย่างเต็มกำลัง ก็เพียงพอที่จะฆ่าผู้ฝึกตนวิถีวิญญาณได้อย่างง่ายดาย…”
ซูอี้ครุ่นคิด
เขาเคยได้ยินเหวินซินจ้าวกล่าวว่า ในนครหลวงจิ๋วติ่งมีเตาหลอมทิพย์เก้าเตา เรียงตัวกันในลักษณะผืนนาสามคูณสาม ตั้งอยู่ในทิศทางทั้งเก้าของตัวเมือง
เตาทิพย์แต่ละเตาล้วนเป็นของขลังเมื่อสามหมื่นปีก่อน เป็นฐานแห่งค่ายกลใหญ่ ภายใต้การกัดเซาะของการจองจำแห่งยุคมืดเมื่อสามหมื่นปี เตาทิพย์เหล่านี้คอยปกป้องนครหลวงจิ๋วติ่งให้อยู่มาได้จนถึงทุกวันนี้
จนถึงตอนนี้ เตาหลอมทั้งเก้ากับค่ายกลต้องห้ามที่ปกคลุมทั่วเมืองล้วนอยู่ในกำมือของราชวงศ์แห่งอาณาจักรต้าเซี่ย
สิ่งนี้ทำให้ราชวงศ์ต้าเซี่ยสามารถตั้งตระหง่านอยู่ได้และมีรากฐานอันน่าเกรงขาม
แม้แต่ผู้ฝึกตนในสี่สำนักยิ่งใหญ่อย่างสำนักเต๋าชิงอี่ สำนักดาบเทียนชู วังเทพสวรรค์เมฆา หรือวัดมหาจันทรา ก็ยังไม่กล้าสร้างความโกลาหลขึ้นในนครหลวงจิ๋วติ่ง
ตอนแรกซูอี้ยังเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
ทว่าตอนนี้ เมื่อเห็นอักขระลวดลายลึกลับกับหินอิฐที่ก่อตัวเป็นกำแพงเมืองแล้ว ในที่สุดซูอี้ก็มั่นใจได้แล้วว่า ราชวงศ์แห่งอาณาจักรต้าเซี่ยมีค่ายกลต้องห้ามขนาดใหญ่เช่นนี้ จะต้องมีพื้นฐานที่สามารถควบคุมดูแลขุมกำลังการฝึกตนอย่างแน่นอน
“เพียงแต่ว่า ตำแหน่งพลังค่ายกลต้องห้ามที่เตาหลอมทั้งเก้าใบนี้ครอบคลุมถึง ก็ยังคงขาดแหว่งเยอะเกินไปอยู่ดี…”
ซูอี้ลอบคิดในใจ
การผุกร่อนของพลังการจองจำในยุคมืดเมื่อสามหมื่นปีทำให้ระบบวิถีโบราณไม่รู้เท่าไรต้องหายสาบสูญไปจากห้วงประวัติศาสตร์
ถึงแม้เตาหลอมทั้งเก้าจะตั้งตระหง่านอยู่มาได้จนถึงทุกวันนี้ ทว่าพลังค่ายกลต้องห้ามที่ปกคลุมอยู่ในเมือง ๆ นี้ก็ยังได้รับความเสียหายอย่างใหญ่หลวงนัก
“ด้วยพื้นฐานของราชวงศ์เซี่ยในปัจจุบัน จนถึงตอนนี้ยังไม่ดำเนินการซ่อมแซมค่ายกลต้องห้ามซึ่งอยู่รอบสี่ด้านของนครหลวงจิ๋วติ่งแห่งนี้ หรือจะเป็นเพราะว่าด้วยพลังและวิธีการในตอนนี้ของพวกเขาก็ยังไม่อาจแก้ไขปัญหาหนักข้อนี้ได้?”
ขณะที่ซูอี้กำลังครุ่นคิด จู่ ๆ ก็มีเสียง ๆ หนึ่งดังขึ้นที่ข้างหู…
“หรือว่าสหายน้อยมองกำแพงเมืองนี้แล้วเห็นอะไรบางอย่างเช่นนั้นหรือ?”
ซูอี้หันหน้ามองไป ก็เห็นชายวัยกลางคนยืนอยู่ไกล ๆ กำลังอมยิ้มพลางมองมาที่ตนเอง น้ำเสียงแฝงไว้ซึ่งความสงสัย
คน ๆ นี้แต่งกายด้วยชุดคลุมยาวสีม่วงทั้งตัว ผมยาวสีดำประดุจน้ำหมึกถูกเกล้าเป็นมวยขึ้นไป ดูท่าทางอายุน่าจะประมาณสี่สิบกว่า ๆ รูปหน้าคมชัด อ่อนโยนประดุจหยก
เขายืนมือไพล่หลัง อมยิ้มเล็กน้อย สุภาพเป็นกันเอง ราวกับผู้ที่ศึกษาค้นคว้าด้านกลอนกวี
ซูอี้หรี่ตาลงเล็กน้อย ทันใดกล่าวขึ้นมาเรียบ ๆ ไร้ซึ่งความสะทกสะท้าน “เจ้าต้องการจะพูดคุยสัพเพเหระกับข้า หรือว่าต้องการจะขอคำชี้แนะจากข้า?”
ชายวัยกลางคนนิ่งตะลึงไปชั่วครู่ จากนั้นเดินมาข้างหน้า ยิ้มพลางกล่าว “พูดคุยสัพเพเหระต้องพูดเช่นใด หากขอคำชี้แนะต้องพูดเช่นใด?”
เวลานี้ แม้กระทั่งหยวนเหิงกับไป๋เวิ่นฉิงก็มองออกเช่นกันว่าชายวัยกลางคนไม่ชอบมาพากล จึงระมัดระวังตัวขึ้นมา
ถึงแม้นครหลวงจิ๋วติ่งจะห้ามไม่ให้บินไปมา ทว่าไม่ได้ห้ามไม่ให้รบราฆ่าฟันกัน!
“หากว่าพูดคุยสัพเพเหระ ข้าไม่มีความคิดจะเสียเวลายืนพูดคุยหน้าประตูเมืองกับคนแปลกหน้าที่ไม่ทราบจุดประสงค์”
ซูอี้โพล่งออกมา “หากว่าต้องการขอคำชี้แนะ เจ้าก็ควรจะแสดงท่าทีขอคำชี้แนะ หากข้าอารมณ์ดีก็ไม่รังเกียจที่จะบอกให้เจ้ารู้ถึงสิ่งที่ข้ามองเห็น”
ชายวัยกลางคนนิ่งตะลึงราวกับไม่คาดคิดมาก่อน
ทันใด เขาก็ยิ้มพลางประสานมือคารวะ กล่าว “อย่าพูดคุยสัพเพเหระเลย ข้าไม่ต้องการให้สหายน้อยเสียเวลาเช่นกัน สหายน้อยโปรดให้คำชี้แนะ”
“สหายน้อย?”
ซูอี้คล้ายจะยิ้มแต่ไม่ยิ้ม
ชายวัยกลางคนตีหน้าไม่ถูก แต่ก็ยังคงเปลี่ยนคำสรรพนาม “สหายเต๋าโปรดให้คำชี้แนะ”
แสดงมารยาทออกมาด้วยความจริงใจ เป็นธรรมชาติ แฝงด้วยท่าทางแช่มชื่นประหนึ่งอาบไล้ด้วยลมแห่งวสันต์ ทำให้ผู้อื่นเกิดความรู้สึกดีด้วยอย่างง่ายดาย
ซูอี้เห็นเช่นนี้แล้วกลับรู้สึกประหลาดใจขึ้นมา