บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 482 จิ๋วติ่งพิทักษ์แดน
ตอนที่ 482: จิ๋วติ่งพิทักษ์แดน
ตอนที่ 482: จิ๋วติ่งพิทักษ์แดน
ชายวัยกลางคนในชุดผ้าดิบหาใช่คนธรรมดา
ต่อให้อีกฝ่ายปกปิดพลังจนแทบจะไม่มีหลุดรั่ว
แต่ต่อให้ไม่ใช้วิชาลับ ด้วยประสบการณ์จากชาติก่อนเพียงอย่างเดียว ก็ช่วยให้ซูอี้มองออกในปราดเดียวว่าคนผู้นี้คือมหาปราชญ์สวรรค์วิถีวิญญาณ!
ตัวละครเช่นนี้อยู่ภายในนครหลวงจิ๋วติ่ง ย่อมเป็นผู้ที่เรียกฟ้าเรียกฝนได้แน่นอน
แต่เวลานี้กลับเข้ามาสนทนากับตัวเองอยู่ที่หน้าประตูเมือง ส่งผลให้ซูอี้อดสงสัยถึงเจตนาของอีกฝ่ายไม่ได้
ด้วยเหตุนี้ วาจาไร้มารยาทก่อนหน้านี้ของซูอี้จึงเกิดจากความจงใจ เพื่อหยั่งเชิงปฏิกิริยาของอีกฝ่าย
ไม่คิดเลยว่า อีกฝ่ายจะไม่ใส่ใจสักนิด ราวกับแค่แปลกใจเท่านั้น ว่าตัวเองเห็นอะไรจากกำแพงเมือง
ขบคิดอยู่ครู่หนึ่ง ซูอี้ถึงเอ่ยขึ้น “คนระดับท่าน ไฉนเล่าถึงสนใจเรื่องราวบนกำแพงเมืองนี้”
ชายวัยกลางคนในชุดผ้าดิบเอ่ยกลั้วหัวเราะ “ข้าเพียงแต่ใคร่รู้ว่าสหายเต๋าเห็นสิ่งใด”
ซูอี้เองก็คร้านจะหยั่งเชิงต่อไป ยกมือขึ้นชี้กำแพงเมือง “หากไม่ซ่อมแซมค่ายกลเขตแดนนี้ ไม่เกินสามถึงห้าปี ต้องพังทลายอย่างแน่นอน หากค่ายกลเขตแดนเมืองนี้ใช้พลังทั้งหมด อย่างมากได้แค่สามครั้ง ก็ทำให้ค่ายกลนี้พังทลายได้อย่างสิ้นเชิง”
ชายวัยกลางคนในชุดผ้าดิบรูม่านตาหดลงทันควัน รอยยิ้มบนใบหน้าหดหายไป คล้ายกับตกใจกับเรื่องนี้
ครู่ใหญ่
เขาทอดสายตามองซูอี้ ประหนึ่งได้รู้จักอีกฝ่ายครั้งใหม่ ก่อนจะเอ่ยขอคำอธิบายอีกครั้ง “สหายเต๋า… มองออกได้อย่างไรหรือ”
ซูอี้ตอบ “แน่นอนว่ามองออกด้วยตา”
ชายวัยกลางคนในชุดผ้าดิบ “…”
เขายิ้มเจื่อนส่ายหัวอย่างอดไม่ได้ ดูออกว่าซูอี้ไม่อยากอธิบายต้นสายปลายเหตุ
ทว่า คำพูดเมื่อครู่ของซูอี้ทำเอาเขาตกใจจริง ๆ ไม่คาดไม่คิดเลยว่าคนหนุ่มเช่นนี้จะมอง ‘ความเร้นที่ซ่อนอยู่’ เช่นนี้จากการมองบนกำแพงเมืองอย่างเดียว!
“เท่านี้ล่ะ ลาก่อน”
ซูอี้คร้านจะลับคมปากกับมหาปราชญ์สวรรค์วิถีวิญญาณต่อไป จึงหมุนตัวเดินเข้าไปในเมือง
“สหายเต๋า…”
ชายวัยกลางคนในชุดผ้าดิบหมายจะเอื้อนเอ่ยบางอย่าง ซูอี้กลับโบกมือลาโดยไม่เหลียวกลับมามอง “สัมพันธ์ตื้นทว่าสนทนาลึกนับเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำอย่างยิ่ง มิหนำซ้ำ ท่านและข้าหาได้สนิทกัน ขืนถามซักไซ้ต่อ ออกจะน่ารำคาญไปหน่อย”
ชายวัยกลางคนในชุดผ้าดิบผงะ สายตาพิศวง เจ้าเด็กนี่… ไม่เกรงใจกันเสียเลย!
ชายวัยกลางคนในชุดผ้าดิบมองตามจนร่างของพวกซูอี้หายลับไป ก่อนจะทอดมองกำแพงเมือง สายตาใสสกาวหรี่ลงเล็กน้อย ใคร่ครวญไม่พูดจา
“ค่ายกลจิ๋วติ่งพิทักษ์แดน… ใช้ได้อีกเพียงสามครั้งเองหรือ?”
ในหัวชายวัยกลางคนในชุดผ้าดิบอดนึกถึงคำพูดเมื่อครู่ของซูอี้ไม่ได้ คิ้วขมวดมุ่นโดยไม่รู้ตัว
“ท่านประมุข ให้ข้าน้อยไปเชิญคุณชายท่านนั้นกลับมาดีหรือไม่?”
ชายชราชุดเทาหลังงอ รูปลักษณ์ธรรมดาผู้หนึ่ง โผล่มาอยู่ข้างกายชายวัยกลางคนในชุดผ้าดิบอย่างเงียบเชียบ
“ไม่จำเป็น”
ชายวัยกลางคนในชุดผ้าดิบโบกมือ สายตามีความหมายซ่อนเร้น “หลู่เฟิง ด้วยฝีมือระดับเจ้า หากมองจากบนกำแพงเมืองนี้ มองสถานการณ์ตอนนี้ของค่ายกลจิ๋วติ่งพิทักษ์แดนออกหรือไม่”
ชายชราชุดเทาส่ายหัว พลางกล่าว “ค่ายกลจิ๋วติ่งพิทักษ์แดนนับเป็นค่ายกลอัศจรรย์ตั้งแต่สมัยบรรพกาล เป็นค่ายกลเขตแดนผงาดโลกอันดับสามแห่งมหาทวีปคังชิงก่อนยุคการจองจำแห่งยุคมืดมาถึง ค่ายกลเขตแดนที่มีความเร้นลับถึงเพียงนี้ หาใช่สิ่งที่ข้าน้อยมองออกได้ในปราดเดียว”
ชายวัยกลางคนในชุดผ้าดิบสะท้อนใจ “ใช่แล้ว ค่ายกลเขตแดนอันดับสามในอดีต กระทั่งเดี๋ยวนี้ ข้าเองมิเคยได้ยินว่ามีผู้ใดมองความเร้นลับนี้ออกจากบนกำแพงเมืองเท่านั้น”
ชายชราชุดเทาเหมือนตระหนักขึ้นได้ เขาเอ่ยทึ่ง ๆ “ท่านประมุข หรือเด็กหนุ่มขอบเขตเปิดทวารเมื่อครู่มองออกหรือขอรับ?”
ชายวัยกลางคนในชุดผ้าดิบตาเป็นประกายวูบไหว “เวลานี้ยังสรุปได้ยาก ไว้ข้าหาใครไปพิสูจน์ได้แล้ว ย่อมรู้ว่าเป็นของแท้หรือของเทียม”
ชายชราชุดเทาตอบเสียงเบา “ท่านประมุข ให้ส่งคนไปสะกดรอยตามเด็กหนุ่มผู้นั้นหรือไม่”
ชายวัยกลางคนในชุดผ้าดิบยิ้ม พลางกล่าว “ขอเพียงเขาไม่ออกจากนครหลวงจิ๋วติ่ง การจะหาตัวเขานับเป็นเรื่องแสนง่าย”
“ไปกันเถิด กลับกันได้แล้ว”
พูดไป ชายวัยกลางคนในชุดผ้าดิบก็หมุนตัวเดินออกจากประตูเมือง
ตลอดทาง ผู้คนเดินกันขวักไขว่เบียดเสียด แต่ไม่ว่าผู้ใด ไม่ว่าพลังสูงต่ำ กลับทำเหมือนสัมผัสไม่ถึงการมีอยู่ของชายวัยกลางคนในชุดผ้าดิบเลย
ใช้ชีวิตท่ามกลางปวงชนได้โดยไม่มีผู้ใดรู้ตัว!
ชายชราชุดเทาตามหลังไปติด ๆ ทำตัวกลมกลืนคล้ายหยดน้ำในเกลียวคลื่น แม้จะถูกมองเห็น แต่หาได้เป็นที่สนใจใด ๆ
สองนายบ่าว ผู้หนึ่งอยู่เหนือปุถุชนทั้งปวง ผู้หนึ่งคล้ายหนึ่งในปุถุชน
เข้าคู่กันได้อย่างน่าสนใจ
…..
ภายในนครหลวงจิ๋วติ่ง ยังมีบรรยากาศครึกครื้นรื่นเริง
ถนนหนทางที่กว้างถึงสิบจั้งเชื่อมต่อกันได้ทุกทิศ เรียงรายกันเหมือนแห สิ่งปลูกสร้างสองข้างทาง ตรอกซอยดูโบราณคร่ำคร่า กลิ่นอายแห่งกาลเวลาตกผลึกอยู่ในนั้น
ต่างจากเมืองอื่น ๆ ร้านค้าที่เปิดในนครหลวงจิ๋วติ่งแทบจะเกี่ยวข้องกับผู้ฝึกตนทั้งสิ้น มีการขายทรัพยากรสำหรับการฝึกฝนอย่างโอสถวิญญาณ วัตถุวิญญาณ ยาบำรุงวิญญาณ ยันต์ลับ และอื่น ๆ
ขณะเดียวกัน ก็มีสถานที่ที่เปิดให้บริการเหล่าผู้ฝึกตนโดยเฉพาะอย่างโรงหลอมอาวุธ โรงหลอมโอสถ ลานประลอง และอื่น ๆ
แน่นอนว่าสถานที่บันเทิงละลายทรัพย์ก็มีอยู่ถมเถเช่นกัน
แม้ผู้ฝึกตนระงับความอยาก ไม่ทานอาหารได้ แต่ใช่ว่าจะเป็นพวกไม่ยุ่งเกี่ยวทางโลกกันหมด
อาหารรสเลิศที่ปรุงขึ้นด้วยวัตถุวิญญาณจำนวนหนึ่ง ก็เรียกน้ำลายจากผู้ฝึกตนได้เช่นกัน
สรุปก็คือ ความรู้สึกของหยวนเหิงและไป๋เวิ่นฉิงอธิบายได้ด้วยประโยคเดียว นครหลวงจิ๋วติ่งสมกับเป็นเมืองแห่งการฝึกตนที่ผู้ฝึกตนใต้หล้าล้วนใฝ่ฝันถึง!
ซูอี้เองก็พึงพอใจมาก
เขาตระหนักได้ว่า ในช่วงเวลาหลังจากนี้ ทรัพยากรฝึกฝนที่มีในนครหลวงจิ๋วติ่งเพียงพอให้เขาฝึกฝนถึงขอบเขตในวิถีวิญญาณได้!
แน่นอนว่า ก่อนนั้นจำต้องมีเงินทองมากพอ
สำหรับเรื่องนี้ ซูอี้ไม่กังวลแม้แต่น้อย ด้วยฝีมือของเขา คิดจะหาเงินในเมืองง่ายเสียยิ่งกว่าง่าย
นี่แหละ ข้อดีของเมืองแห่งการฝึกตน
หากอยู่ที่อื่น ต่อให้มีฝีมือสะท้านฟ้า ก็ไม่มีที่ให้หาเงินแลกทรัพยากรการฝึกฝน
นับตั้งแต่ได้ความทรงจำคืนมาในชาตินี้และฝึกฝนมาจนป่านนี้ ตลอดการเดินทางของซูอี้ ทรัพยากรการฝึกฝนที่เขาใช้ไปเป็นของกำนัลศึกที่ได้จากศัตรูทั้งสิ้น…
ใช่ว่าเขาพิสมัยวิธีการนี้ แต่ต่อให้เขาอยากซื้อทรัพยากรการฝึกฝนก็หาที่เหมาะสมมิได้
“นายท่าน ชายวัยกลางคนก่อนหน้านี้เหมือนไม่ค่อยปกติ”
จู่ ๆ หยวนเหิงก็เอ่ยขึ้น
“เขาเป็นมหาปราชญ์สวรรค์วิถีวิญญาณ ข้างกายมีบ่าวชราวิถีวิญญาณคอยติดตาม ย่อมมิใช่คนธรรมดา”
ซูอี้ตอบโดยไม่คิดมาก
เขากำลังขบคิด จะหลอมโอสถเตาหนึ่งเพื่อแลกกับหินวิญญาณ หรือสร้างอาวุธพิเศษแลกหินวิญญาณดี
แต่ทว่า ไม่ว่าจะหลอมโอสถหรือสร้างอาวุธ ต่างสิ้นเปลืองพลังกายพลังใจอย่างมาก คนเกียจคร้านเฉกเช่นซูอี้ ไม่ชอบหาเงินด้วย ‘ความลำบาก’ เช่นนี้หรอก
“มหาปราชญ์สวรรค์วิถีวิญญาณ!”
หยวนเหิงตระหนก การดำรงอยู่ระดับนี้ หาใช่ของธรรมดาที่หาได้เกลื่อนกลาด หากอยู่นอกอาณาจักรต้าเซี่ย แทบจะหาไม่เจอเลยด้วยซ้ำ
กระทั่งภายในเขตแดนอาณาจักรต้าเซี่ย มหาปราชญ์สวรรค์วิถีวิญญาณก็ถือเป็นการดำรงอยู่ชั้นยอดที่พบเห็นได้ยาก!
แต่ใครเล่าจะคิดว่าพวกเขาได้พบหนึ่งคนก่อนเข้าประตูนครหลวงจิ๋วติ่งด้วยซ้ำ
ที่น่าเหลือเชื่อกว่านั้นคือ ข้างกายชายวัยกลางคนในชุดผ้าดิบผู้นั้น ยังมีบริวารผู้ฝึกตนวิถีวิญญาณติดตามไปด้วย!
“รากฐานของนครหลวงจิ๋วติ่งน่ากลัวเหลือเกิน เดินเฉย ๆ ก็พานพบการดำรงอยู่ระดับนี้ได้ สมกับเป็นแดนเซียนในโลกมนุษย์”
หยวนเหิงสะท้อนใจ
“ผิดแล้ว”
สายตาซูอี้ลึกล้ำ “ชายวัยกลางคนที่เราได้พบก่อนหน้านี้หาใช่ความบังเอิญ”
สีหน้าหยวนเหิงเปลี่ยนไปเล็กน้อย “เจ้านายจะบอกว่า อีกฝ่ายเป็นคนเข้ามาหาอย่างนั้นหรือ?”
ซูอี้พยักหน้า “ควรจะเป็นเช่นนั้นดั่งที่คาด แต่อีกฝ่ายหาได้แสดงจุดประสงค์ไม่ดี ย่อมมีเจตนาอื่นในใจ หากข้าคิดไม่ผิด อีกไม่นานอีกฝ่ายต้องมาหาถึงที่แน่นอน”
หยวนเหิงเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “นายท่าน ถ้าอย่างนั้นเราควรเตรียมตัวเผื่อไว้หรือไม่”
มหาปราชญ์สวรรค์วิถีวิญญาณไม่ถึงกับต้องระแวดระแวงนัก แต่หากบ่าวข้างกายมหาปราชญ์สวรรค์วิถีวิญญาณยังเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตวิญญาณ ใครเล่าจะไม่ให้ความสำคัญ?
“ไม่ต้อง”
ซูอี้โบกมือ หน้าตาฉายแววเหว่ว้าเหงาหงอย เขาถอนหายใจเบา ๆ พลางกล่าว “ข้าไม่ได้ต่อสู้ให้หนำใจมานานมากแล้ว อยากให้อีกฝ่ายมาหาแทบแย่”
หยวนเหิงกับไป๋เวิ่นฉิงมองหน้ากัน และเงียบไปทั้งคู่
คนอื่น ๆ ล้วนแต่เกรงกลัวจะโดนมหาปราชญ์สวรรค์วิถีวิญญาณหมายตา ใครเล่าจะคิดว่าซูอี้จะคาดหวังให้เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นกับตน?
ทว่าหยวนเหิงกับไป๋เวิ่นฉิงติดตามซูอี้มานาน และคุ้นชินกับท่าท่างสบาย ๆ ทว่าพูดจาชวนขนหัวลุกของซูเย่แล้ว จึงมิได้ตะลึงเท่าใด…
“แม่นางไป๋ มีเรื่องหนึ่งต้องวานให้เจ้าไปทำ”
ในตอนที่เดินเล่นกันอยู่ ซูอี้พลันนึกสิ่งหนึ่งขึ้นมาได้ เขาหยิบจี้หยกออกมาเส้นหนึ่ง และยื่นให้ไป๋เวิ่นฉิง
“เจ้าใช้ใครสักคนไปสืบหน่อยว่า ‘หอทะเลสาบเมฆา’ อยู่ที่ใด แล้วนำจี้หยกนี้ไปบอกว่าเจ้าต้องการที่พำนักชั่วคราว ถ้าให้ดีขอเป็นที่ที่เงียบสงบหน่อย”
จี้หยกเส้นนี้มีสีม่วง ขนาดเท่าฝ่ามือ มีวิหคเทวะลักษณะคล้ายมังกร มีขนตามตัว ศีรษะเป็นนก สยายปีกท่ามกลางเปลวเพลิงสลักอยู่
ภาพปักษามังกร!
นี่คือจี้หยกที่ฮวาซิ่นเฟิงเคยมอบให้ซูอี้
บัดนี้ ซูอี้เพิ่งมาถึงนครหลวงจิ๋วติ่ง สิ่งสำคัญในตอนนี้ย่อมเป็นการหาที่พำนัก
และวิธีที่ง่ายและสบายที่สุดคือใช้จี้หยกปักษามังกรนี้
ไป๋เวิ่นฉิงรับจี้หยกมาด้วยสองมือ “นายท่าน หลังข้าจัดการเรียบร้อย จะตามหาท่านและท่านพี่หยวนเหิงได้อย่างไรหรือ?”
“พกยันต์นี้ติดตัว ข้าย่อมหาเจ้าเจอ”
ซูอี้ยื่นยันต์ลับแผ่นหนึ่งให้ไป๋เวิ่นฉิง
สิ่งนี้คือ ‘ยันต์ลับสื่อจิต’ วิธีใช้นั้นง่ายมาก ไม่ว่าผู้พกพาอยู่แห่งหนใด ผู้พกพาอีกคนก็สัมผัสได้ประหนึ่ง ‘สื่อจิตสื่อใจกันถึง’
ไป๋เวิ่นฉิงจากไปอย่างรวดเร็ว
“พวกเราเดินเล่นในเมืองกันต่ออีกหน่อยเถิด”
ซูอี้พูดจบ เดินหน้าต่อ
หยวนเหิงตามหลังไปติด ๆ เขารู้ดีแก่ใจว่านายท่านอยากสัมผัสภาพทิวทัศน์ และสิ่งแวดล้อมในนครหลวงจิ๋วติ่ง
สองคือเขาอยากรู้ว่าพอจะสัมผัสพลังของ ‘เก๋อเฉียน’ ได้หรือไม่
และสิ่งสำคัญที่ช่วยให้ไปถึงก้าวนี้ได้ อยู่ที่ตัวเองผู้ฝึกฝน ‘คัมภีร์เต่าหางมังกรดำแท้จริง’!
กระทั่งเดินเล่นกันมาเกือบสองชั่วยาม ซูอี้ก็ได้หมดความสุนทรีย์ในการเดินเล่นชมทิวทัศน์ไปแล้ว
เขาสั่งให้หยวนเหิงจ้างเกี้ยวมาคันหนึ่ง และนอนสบายอุราอยู่ในนั้น พร้อมบอกให้คนขับเกี้ยววนเมืองหนึ่งรอบ!
คนขับเกี้ยวคงจะรับงานเช่นนี้อยู่บ่อยครั้ง จากนั้นเขาก็บอกราคาด้วยหน้าตายิ้มแย้ม “หินวิญญาณระดับห้าสิบก้อน ห้ามต่อราคา!”
นครหลวงจิ๋วติ่งใหญ่มาก หากจะวนเมืองหนึ่งรอบต่อให้นั่งเกี้ยวยังต้องใช้เวลาหลายชั่วยาม
ทว่าราคาขนาดนี้ก็ยังทำให้หยวนเหิงรู้สึกปวดใจ
และในตอนนั้นเอง เขาตระหนักถึงปัญหาสำคัญข้อหนึ่ง
เมืองหลวงต้าเซี่ยอย่างนครหลวงจิ๋วติ่งแม้จะหรูหราดุจเมืองเซียนในแดนมนุษย์ แต่ราคาสิ่งของก็สูงลิ่ว แพงจนน่าตกใจ!
ผู้ฝึกตนธรรมดาทั่วไป อย่าว่าแต่ตั้งรกรากในเมืองเลย น่ากลัวว่าแค่จะใช้ชีวิตให้รอดยังทำไม่ได้…