บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 483 ผู้อาวุโสสุ่ย
ตอนที่ 483: ผู้อาวุโสสุ่ย
ตอนที่ 483: ผู้อาวุโสสุ่ย
ตอนที่ซูอี้และหยวนเหิงนั่งเกี้ยวชมเมืองเล่น ไป๋เวิ่นฉิงก็ได้มาถึงหน้าหอทะเลสาบเมฆา
หอทะเลสาบเมฆาสูงหลายพันฉื่อ มีพื้นที่นับร้อยไร่ หอเอกมีรูปร่างคล้ายเจดีย์แปดเหลี่ยม คานหลังคางอโค้ง เสาสลักลาย โอ่อ่าหรูหราเป็นที่สุด
กระทั่งบันไดหินที่เชื่อมต่อประตูใหญ่ ยังปูด้วยเหล็กชั้นดี เคลือบหยกวิญญาณขาวผ่องไว้หนึ่งชั้น
สองข้างประตูใหญ่ มีรูปปั้นสัตว์มงคลข้างละตัว
ตัวหนึ่งคือกวางทิพย์หน้าตาองอาจไม่ธรรมดา ส่วนอีกตัวคือกระเรียนทิพย์กางปีกโผบิน
กวางและกระเรียน ออกเสียงคล้าย ‘หกประสาน’
บันไดหินหยกขาวตรงกลางและสองด้านที่เชื่อมกับประตูใหญ่ล้วนมีแปดชั้น แฝงความหมายว่า ‘แปดทิศ’
การตั้งตำแหน่งเช่นนี้ เป็นการเอาฤกษ์ ‘หกยามประสาน ราบรื่นทั่วแปดทิศ’
หรือคิดว่าหมายถึง ‘แปดทิศหกยาม ข้าเป็นใหญ่เพียงผู้เดียว’
“นี่… ก็คือหอทะเลสาบเมฆา หนึ่งในสี่หอชื่อดังแห่งนครหลวงจิ๋วติ่งหรือ?”
ตาคู่สวยของไป๋เวิ่นฉิงฉายแววตะลึง
ใช่ว่านางไม่เคยได้พบได้เห็นโลกกว้าง ทว่านี่เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นหออันโอ่อ่ายิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้
หันมองข้างประตูใหญ่สองด้านของหอทะเลสาบเมฆา มีสาวใช้สะสวยยืนอยู่สองคน เป็นผู้ฝึกตนขอบเขตไร้เบญจธัญกันทั้งคู่
จะไม่ให้ไป๋เวิ่นฉิงอึ้งได้อย่างไร
เท่าที่นางทราบมา อาณาจักรต่าง ๆ ในมหาทวีปคังชิง ผู้ฝึกตนขอบเขตไร้เบญจธัญถือเป็น ‘เทพเซียนเดินดิน’ ในสายตาปุถุชน ที่ต้องเคารพและแหงนมอง!
แต่ตอนนี้ ผู้ฝึกตนขอบเขตไร้เบญจธัญงดงามทั้งสองท่านกลับเป็นแค่สาวใช้รับแขกหน้าหอทะเลสาบเมฆาเท่านั้น…
แล้วมามองบรรดาแขกเหรื่อที่เข้าออกหอทะเลสาบเมฆา แต่ละคนไม่เป็นผู้มีฐานะร่ำรวยก็เป็นผู้มีอำนาจยิ่งใหญ่ ดูก็รู้ว่าเป็นชนชั้นสูงของเมือง กิริยาท่าทางเผยให้เห็นบารมีของผู้ที่อยู่ในตำแหน่งสูงมานาน
ภาพทั้งหลายส่งผลให้ไป๋เวิ่นฉิงอดรู้สึกประหม่าในใจมิได้
นางไม่รู้ว่าจี้หยกที่ซูอี้มอบให้มีประวัติอย่างไร และไม่รู้แม้กระทั่งว่าต้องนำจี้หยกนี้ไปพบผู้ใด
ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ไป๋เวิ่นฉิงสูดหายใจเข้าลึก กำลังจะมุ่งตรงเข้าไปในหอทะเลสาบเมฆา
เสียงหัวเราะเบา ๆ เสียงหนึ่งดังขึ้น “แม่นางผู้นี้เพิ่งเคยมาที่หอทะเลสาบเมฆาครั้งแรกใช่หรือไม่?”
ผู้ที่พูดอยู่ เป็นชายหนุ่มหน้าตาองอาจ แต่งกายหรูหรา บริวารมากมายติดตามอยู่รอบ ๆ ท่าทางยิ่งใหญ่
เขามองไป๋เวิ่นฉิงด้วยสายตาสนอกสนใจ ทว่าสายตานั้นกลับทำให้ไป๋เวิ่นฉิงไม่สบายไปทั้งตัว
“เกี่ยวอะไรกับเจ้า”
ไป๋เวิ่นฉิงส่ายหัว หมุนตัวจะไป
บุรุษในชุดหรูเอ่ยด้วยหน้าตายิ้มแย้ม “แม่นาง หอทะเลสาบเมฆาเป็นหนึ่งในสี่หอใหญ่แห่งนครหลวงจิ๋วติ่ง แม้จะเป็นเพียงโรงเตี๊ยม แต่หากไม่มี ‘ตราทะเลสาบเมฆา’ ต่อให้พลังสูงส่งเพียงใด ก็จะถูกขวางอยู่ด้านนอก”
ไป๋เวิ่นฉิงผงะแล้วจึงเอ่ยถามขึ้น “มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ”
บุรุษในชุดหรูเอ่ยยิ้ม ๆ “ด้วยฐานะของข้า ไม่จำเป็นต้องหลอกเจ้าด้วยเรื่องเช่นนี้ น่าจะราว ๆ ร้อยกว่าปีก่อน มีมหาปราชญ์สวรรค์ขั้นวิถีวิญญาณจากแคว้นเซี่ยงคนหนึ่ง เนื่องจากไม่มีตราทะเลสาบเมฆา จึงโดนขวางไว้ข้างนอก เป็นเหตุให้เขาบันดาลโทสะ ลงมืออาละวาด แต่ผลสุดท้าย…”
พูดมาถึงนี่ เขาก็ยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย และเอ่ยอย่างเย้ยหยัน “มหาปราชญ์สวรรค์ผู้นั้นต้องยอมก้มหัวรับผิดไม่เท่าไร เขายังโดนขับไล่ออกจากนครหลวงจิ๋วติ่งตั้งแต่วันนั้น!”
“เอาเป็นว่า นครหลวงจิ๋วติ่งหาใช่สถานที่ที่ผู้ใดอยากทำตามอำเภอใจอย่างไรก็ได้ และเมื่ออยู่ต่อหน้าหอทะเลสาบเมฆา ต่อให้เป็นมหาปราชญ์สวรรค์ขั้นวิถีวิญญาณ ก็ต้องปฏิบัติตัวตามกฎระเบียบ”
ไป๋เวิ่นฉิงหัวใจหนักหน่วง
นางไม่มีตราทะเลสาบเมฆาอยู่ในมือ มีเพียงจี้หยกปักษามังกรที่ซูอี้มอบให้
“แม่นาง หากข้าดูไม่ผิด เจ้ามาที่นครหลวงจิ๋วติ่งแห่งนี้เป็นครั้งแรกใช่หรือไม่ ข้าบังอาจถามว่าตอนนี้มีที่พำนักหรือยัง”
บุรุษในชุดหรูเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มแช่มชื่น
“เรื่องนั้นยังไม่มีหรอก”
ไป๋เวิ่นฉิงส่ายหัว
บุรุษในชุดหรูตาเป็นประกาย “วันนี้ข้ากับเจ้าได้พานพบ นับว่ามีวาสนา หากแม่นางไม่รังเกียจ อยู่ติดตามรับใช้ข้างกายข้าไปก่อนก็ได้”
ผู้เฒ่าชุดขาวด้านข้างลูบเคราพลางกล่าวด้วยรอยยิ้ม “แม่นางผู้นี้วาสนาดีจริง ๆ นายน้อยของเราน้อยนักจะยอมรับคนนอกเข้ามาอยู่ด้วยความเต็มใจ หากเจ้าได้ติดตามรับใช้ข้างกายนายน้อย นับวันรอวันยิ่งใหญ่ได้เลย!”
ไป๋เวิ่นฉิงหัวเราะเย็น ๆ ในใจ เข้ามาเอาใจทั้งที่ไร้ความจำเป็น คนเช่นนี้มักมีเจตนาแอบแฝงทั้งสิ้น!
“ไม่ต้อง ข้ามีเจ้านายแล้ว ไม่มีทางทรยศนายเพื่อความรุ่งเรืองส่วนตัวหรอก”
นางหันหลังเดินจากไปทันที
นางหวั่นใจนิดหน่อย เพราะจนป่านนี้ ซูอี้ยังมิได้รับนางเป็นบริวาร…
เห็นดังนั้น ผู้เฒ่าชุดขาวส่ายหัวกับตัวเอง “ผู้ฝึกปีศาจนอกถิ่น มีตาหามีแววไม่จริง ๆ ไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี”
สายตาบุรุษในชุดหรูฉายแววนึกสนุก “ไอปีศาจของสตรีผู้นี้บริสุทธิ์ยิ่ง ไม่ธรรมดา ในเมื่อข้าได้พบแล้ว นางไม่อาจหนีพ้นเงื้อมมือของข้าได้แน่”
ทันทีที่พูดมาถึงนี่ รูม่านตาเขาต้องแข็งทื่อไป
เขาได้เห็นไป๋เวิ่นฉิงผู้เป็นเหยื่อในสายตาเขาเดินไปอยู่ตรงหน้าหอทะเลสาบเมฆา หยิบจี้หยกเส้นหนึ่งออกมา สาวใช้สองคนนั้นก็พานางเข้าไปในหอทะเลสาบเมฆาด้วยตัวเอง!
บุรุษในชุดหรูขมวดคิ้วพลางเอ่ย “สตรีผู้นี้เพิ่งมาถึงนครหลวงจิ๋วติ่งวันแรกเห็น ๆ นางไม่รู้เรื่องอะไรเลย ไฉนถึงใช้จี้หยกเพียงเส้นเดียวก็เข้าไปในหอทะเลสาบเมฆาได้? ลุงเหวิน ท่านมองเห็นลักษณะของจี้หยกเส้นนั้นชัดหรือไม่”
ผู้เฒ่าชุดขาวเองก็มีหน้าตาตกใจ เขาส่ายหัว “รอบ ๆ หอทะเลสาบเมฆางดเว้นจิตสัมผัส เพราะจะทำให้คนใหญ่คนโตไม่พอใจเอา ด้วยเหตุนี้ ข้าเองก็มองลักษณะของจี้หยกเส้นนั้นไม่ชัด”
“น่าสนใจ สตรีผู้นี้คงไม่ใช่ว่านำสมบัติโบราณล้ำค่าบางอย่างมาขายให้กับหอทะเลสาบเมฆาหรอกนะ?”
บุรุษในชุดหรูมีท่าทีสนอกสนใจ เมื่อก่อนก็เคยมีกรณีเช่นนี้เกิดขึ้น
ผู้ฝึกตนต่างถิ่นมากมายมีสมบัติล้ำค่าในครอบครอง จึงนำไปขายให้กับหอทะเลสาบเมฆา ขอเพียงสมบัติเหล่านั้นล้ำค่าและหายาก ก็มักจะขายได้ราคาสูงลิบลิ่ว
“ลุงเหวิน ท่านไปดูพร้อมข้า คนอื่น ๆ รออยู่ที่นี่”
พูดไป บุรุษในชุดหรูก้าวเดินไปทางหอทะเลสาบเมฆา
ผู้เฒ่าชุดขาวรีบตามหลังไปติด ๆ
ทันทีที่เดินเข้ามาในหอทะเลสาบเมฆา บุรุษในชุดหรูก็เห็นไป๋เวิ่นฉิงที่ยืนรออยู่ในห้องโถง จึงเดินเข้าไปด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
บุรุษในชุดหรูหรากล่าว “แม่นาง ถ้าเจ้าคิดขายสมบัติล้ำค่า ข้ายินดีรับซื้อในราคาสูง”
“ใครบอกว่าข้าต้องการขายสมบัติ?”
ไป๋เวิ่นฉิงขมวดคิ้ว หมอนี่น่ารำคาญเกินไปแล้ว ถึงกับไล่ตามมาถึงที่นี่
บุรุษในชุดหรูชะงัก “แล้วเจ้าเข้ามาได้อย่างไร?”
“เดินเข้ามา”
ไป๋เวิ่นฉิงกลอกตา
ส่งผลให้บุรุษในชุดหรูหน้าตาฉายแววอึมครึมไปวูบหนึ่ง
จากนั้น เขาเอ่ยถามพร้อมกับยิ้มแย้ม “แล้วแม่นางมาทำอะไรที่นี่ ลองพูดออกมา ไม่แน่ข้าอาจช่วยได้”
“ข้าบอกไปแล้ว ไม่เกี่ยวกับเจ้า เจ้ามีมารยาทหน่อย เลิกตอแยเสียที”
ไป๋เวิ่นฉิงชักหงุดหงิด หน้าตารำคาญและไม่สบอารมณ์ถึงขีดสุด
ภายในห้องโถงชั้นหนึ่งของหอทะเลสาบเมฆา ผู้คนเข้าออกล้วนแต่เป็นคนใหญ่คนโต เมื่อได้เห็นภาพนี้ คนไม่น้อยทอดสายตามองมา และมีเสียงหัวเราะดังขึ้น
มีคนหนักข้อกว่านั้น เอ่ยล้อออกมา “คุณชายเจ็ดตระกูลทังเจ้าสำราญ ไฉนวันนี้ถึงดูเหมือนว่าโดนหักหน้าเล่า”
บุรุษในชุดหรูสีหน้าแข็งทื่อ เริ่มรักษาสีหน้าเดิมไว้ไม่อยู่ เขาฝืนยิ้มประสานมือไปรอบทิศทาง “ทำให้ทุกท่านต้องหัวเราะเยาะแล้ว”
จากนั้น เขาสูดหายใจเข้าลึก จ้องไป๋เวิ่นฉิงด้วยสายตาเย็นยะเยือก ก่อนจะส่งกระแสปราณ “เป็นแค่ปีศาจหญิงเท่านั้น กลับหักหน้าข้าครั้งแล้วครั้งเล่า หากเจ้ายอมก้มหัวนับถือข้าเป็นนายเสียตอนนี้ ข้าจะไม่ถือสาเจ้า แต่ถ้าเจ้าดื้อรั้น ประเดี๋ยวเจ้าออกจากหอทะเลสาบเมฆาเมื่อใด ข้ารับรองว่าเจ้าได้เห็นดีแน่!”
น้ำเสียงมุ่งร้าย เจตนาข่มขู่ฉายชัดไม่ปิดบัง
พูดจบ เขานั่งลงตรงเก้าอี้พักสำหรับแขกที่ด้านหนึ่งของห้องโถง และมองไป๋เวิ่นฉิงด้วยท่าทางสบาย ๆ
นัยน์ตาเปี่ยมด้วยความเย็นยะเยือก
“ไม่เห็นโลงศพ ไม่หลั่งน้ำตา!”
ผู้เฒ่าชุดขาวก็กวาดตามองไป๋เวิ่นฉิงด้วยความเย็นชา และเข้าไปยืนอยู่ข้างกายบุรุษในชุดหรู
ภาพนี้ ส่งผลให้ไป๋เวิ่นฉิงมีสีหน้าเปลี่ยนไป
นางมองออกว่าบุรุษในชุดหรูผู้นี้มีฐานะสูงส่ง หาใช่คนธรรมดาทั่วไปไม่
บางที อีกฝ่ายเพียงแต่ยำเกรงบารมีของหอทะเลสาบเมฆา ไม่กล้ากระทำการอุกอาจในตอนนี้ แต่รอให้ตัวเองไปจากที่นี่ อีกฝ่ายต้องไม่เกรงกลัวสิ่งใดอีกเป็นแน่!
ไป๋เวิ่นฉิงกำยันต์สื่อจิตที่ซูอี้มอบให้ในมือแน่นในความเงียบงัน
นางหาได้เกรงกลัวว่าจะล่วงเกินพวกบุรุษในชุดหรู นางเพียงแต่กังวลว่าหากสร้างหนี้แค้นกับพวกบุรุษในชุดหรูแล้วจะสร้างปัญหาให้ซูอี้
นางรู้ดีว่าซูอี้ไม่กลัวปัญหา แต่เกลียดเวลามีปัญหาที่สุด
“เหอะ ๆ ดูท่าเจ้าตัดสินใจแล้วใช่หรือไม่ เยี่ยม ถ้าอย่างนั้น… เรามาคอยดูกันต่อไปแล้วกัน”
ห่างออกไปไม่ไกล บุรุษในชุดหรูส่งกระแสปราณอีกครั้ง สายตาเยียบเย็นมุ่งร้าย น้ำเสียงเจือความกระหายเลือดจาง ๆ
ดุจอสูรร้ายเผยเขี้ยวแหลม พร้อมกลืนกินมนุษย์
ร่างบางของไป๋เวิ่นฉิงหนาวเหน็บ ใบหน้างดงามเปลี่ยนสีไป
ปฏิกิริยาอดกลั้นของนาง ทำให้บุรุษในชุดหรูยิ่งหมดความเกรงกลัว ผู้ฝึกปีศาจต่างถิ่นบังอาจไม่ไว้หน้าทังเจี้ยนเซินผู้นี้ รอให้ปราบพยศได้เมื่อไร ต้องขยี้นางให้สาสม!
ในตอนนั้นเอง ส่วนที่ห่างออกไปของห้องโถงแตกตื่นกันขึ้นมา
คนใหญ่คนโตที่กระจายตัวกันอยู่รอบ ๆ ก็หยุดบทสนทนา พากันทอดสายตามองที่ไกล ๆ
ผู้เฒ่าในชุดเทา สวมหมวกกลมสีดำ มือพยุงไม้ค้ำสีดำคนหนึ่ง ก้าวมาทางนี้ท่ามกลางการน้อมนอบของเหล่าคนระดับสูงแห่งหอทะเลสาบเมฆา
ตลอดทั้งทาง เหล่าแขกเหรื่อคนใหญ่คนโตล้วนมีท่าทางตะลึง และหลบไปด้านข้างด้วยสัญชาตญาณ พร้อมก้มหน้าคารวะด้วยความเคารพ
“คารวะผู้อาวุโสสุ่ย!”
“ผู้อาวุโสสุ่ย เรื่องใดต้องรบกวนให้ท่านมาเยือนหรือ”
“ผู้อาวุโสสุ่ย ไม่ได้พบหน้าท่านนานมากแล้ว”
…คนใหญ่คนโตเหล่านั้น ต่างเป็นผู้มีหน้ามีตาในนครหลวงจิ๋วติ่ง ฐานะไม่ธรรมดา แต่เวลานี้ เมื่อเผชิญกับผู้เฒ่าชุดเทา ต่างก็มีท่าทางเคารพนบนอบอย่างที่สุด
“ผู้อาวุโสสุ่ย!”
บุรุษในชุดหรูสูดหายใจเข้าลึกเช่นกัน ก่อนจะเด้งตัวลุกขึ้นด้วยความตกใจ เปลี่ยนท่าทีไปเป็นว่านอนสอนง่าย
ส่วนผู้เฒ่าชุดขาวข้างกายเขาก้มหัวต่ำยิ่งกว่า ไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้ามอง ความนบนอบหยั่งลึกเข้าไปถึงเหง้ากระดูก
ห้องโถงอันกว้างใหญ่ไพศาล เงียบสงัดในบัดดล
สายตาทุกคู่ล้วนเพ่งมองผู้เฒ่าชุดเทาที่ปรากฏตัวโดยมีผู้คนรายล้อมเชิดชู
“ไม่ทราบว่าใช่แม่นางไป๋หรือไม่?”
สายตาผู้เฒ่าชุดเทาหันมองไป๋เวิ่นฉิง
ชั่วขณะนั้น ไป๋เวิ่นฉิงมึนงงนิดหน่อย และพยักหน้าด้วยสัญชาตญาณ
นางเองก็ตกใจกับความยิ่งใหญ่ของผู้เฒ่าชุดเทา และกำลังครุ่นคิดอยู่ว่าเป็นคนใหญ่คนโตคนไหนแห่งหอทะเลสาบเมฆากันแน่ ถึงได้เกรียงไกรถึงเพียงนี้ จนเหล่าคนใหญ่คนโตที่ผ่านมาตลอดทั้งทางต้องหลีกทางให้ และก้มหัวด้วยความเคารพ
ประหนึ่งพยัคฆ์ออกล่า สรรพสัตว์คอยหนี!
แต่นางคิดไม่ถึงเลยว่า ดูเหมือนอีกฝ่าย… จะมาหาตัวเอง!
“ข้าน้อยสุ่ยเทียนฉี คารวะแม่นางไป๋!”
ผู้เฒ่าชุดเทาก้าวไปด้านหน้า สีหน้าเคร่งขรึม สองมือประสานคารวะ
ทั้งหมดเงียบสงัด
บรรดาคนใหญ่คนโตตาโตอ้าปากค้างกันหมด แทบไม่กล้าเชื่อสายตา
ผู้อาวุโสสุ่ยแห่งหอทะเลสาบเมฆา เป็นคนระดับสูงอันดับต้น ๆ แห่งนครหลวงจิ๋วติ่ง ต่อให้ตัวตนในขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณพบเขา ก็ยังต้องเคารพยำเกรง!
ใครเล่าจะคิด ว่าการดำรงอยู่สูงศักดิ์ระดับนี้จะเป็นฝ่ายปรากฏตัว และคารวะหญิงสาวท่านนี้ยกใหญ่ถึงเพียงนี้
บุรุษในชุดหรูก็ตะลึงกับภาพนี้เช่นกัน คนทั้งคนเหมือนสติหลุดลอย ตาเบิกค้างจนกลมโต
นี่… นี่มันเรื่องอะไรกัน?