บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 484 กระดิ่งสีม่วง
ตอนที่ 484: กระดิ่งสีม่วง
ตอนที่ 484: กระดิ่งสีม่วง
ภายในห้องโถงเงียบกริบ
ผู้เฒ่าชุดขาวสมองตื้อมึนงง ประหนึ่งโดนใครใช้ไม้ตี
ผู้สูงศักดิ์อย่างผู้อาวุโสสุ่ย ไฉนถึงโค้งคำนับปีศาจหญิงต่างถิ่นผู้นี้เสียยิ่งใหญ่?
สิ่งนี้นับเป็นข้อสงสัยในใจคนใหญ่คนโตทุกคนที่อยู่ ณ ที่นี้
พวกเขาต่างมองไป๋เวิ่นฉิงเป็นตาเดียวด้วยนานาความคิด พากันคาดเดาฐานะของสตรีงดงามอรชรผู้นี้ไปเรื่อย
ไป๋เวิ่นฉิงเองก็คล้ายตกอยู่ในภวังค์ ถามออกไปโดยไม่รู้ตัว “ผู้อาวุโส ท่านจำคนผิดหรือไม่?”
เห็นดังนั้น ผู้อาวุโสสุ่ยในชุดเทาหมวกดำเผยรอยยิ้มเปี่ยมเมตตา “แม่นางไป๋ ท่านเป็นคนนำจี้หยกนั้นมาใช่หรือไม่”
“ใช่แล้ว”
ไป๋เวิ่นฉิงพยักหน้า “จี้หยกนั้นเจ้านายของข้าเป็นคนมอบให้…”
ผู้อาวุโสสุ่ยขัดด้วยรอยยิ้ม “ที่นี่คนเยอะ หากแม่นางไป๋ไม่รังเกียจ ช่วยตามข้าไปยัง ‘ศาลาทะเลสาบเมฆา’ ชั้นบนสุดเพื่อสนทนากันต่อ”
ไป๋เวิ่นฉิงพยักหน้า
เวลานั้น ลงท้ายบุรุษในชุดหรูก็ระงับความตะลึงระคนกังขาในใจไว้ไม่ไหว เขาก้าวเข้าไป ก้มหัวทำความเคารพพลางกล่าว
“ผู้อาวุโสสุ่ย จากที่ข้าทราบมา สตรีนางนี้เพิ่งมาถึงนครหลวงจิ๋วติ่งวันนี้เป็นวันแรก ก่อนหน้านี้ไม่รู้แม้กระทั่งกฎระเบียบการเข้าออกหอทะเลสาบเมฆา มิหนำซ้ำ นางยังเป็นผู้ฝึกปีศาจอีกด้วย ท่านอย่าได้โดนนางหลอก”
เมื่อเขาเอื้อนเอ่ยเช่นนี้ ทั้งหมดต้องผงะ
ไป๋เวิ่นฉิงโมโหทันที “ข้าเคยหลอกผู้ใดเมื่อไร ข้าไม่รู้จักกับเจ้าด้วยซ้ำ เจ้ากลับตอแยข้าไม่เลิกรา ต้องการให้ข้านับถือเจ้าเป็นนายให้ได้ หากข้าไม่ยอม ก็ขู่ว่ารอให้ข้าพ้นจากหอทะเลสาบเมฆาไปแล้ว จะให้ข้าได้เห็นดีแน่!”
เสียงฮือฮาดังอยู่ในสถานที่นี้ จนเกิดความวุ่นวาย
บุรุษในชุดหรูสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย และเอ่ยด้วยความกราดเกรี้ยว “นังแพศยา! เจ้าบังอาจปรักปรำข้ารึ?!”
ผู้อาวุโสสุ่ยคิ้วขมวดเล็กน้อย มองบุรุษในชุดหรูด้วยสายตาราบเรียบ “เจ้าคือ… ลูกชายของผู้นำตระกูลทัง ทังซ่างเฉิง?”
เมื่อเขาปริปากเอ่ย บรรยากาศในที่นี้พลันนิ่งงัน ทุกคนเงียบไม่กล้าพูดจา
บุรุษในชุดหรูก้มหน้าทำความเคารพทันที “ข้าน้อยทังเจี้ยนเซิน คารวะผู้อาวุโสสุ่ย”
เขาก้มหน้า หน้าตาฉายความลำพองที่ผู้อื่นมองไม่เห็น
ตระกูลทัง แม้มิสู้สามตระกูลใหญ่ซึ่งมีศักดิ์สูงสุดในนครหลวงจิ๋วติ่ง แต่ก็เป็นตระกูลใหญ่ที่ติดห้าอันดับแรกของนครหลวงจิ๋วติ่ง!
เขามั่นใจว่าต่อให้ไป๋เวิ่นฉิงร้องจนคอแหบแห้ง ผู้อาวุโสสุ่ยก็ไม่มีทางให้ความช่วยเหลือแน่!
อย่างไรเสีย สุดท้ายอีกฝ่ายก็เป็นแค่ปีศาจหญิงต่างถิ่น!
“ตบปาก”
ผู้อาวุโสสุ่ยเอ่ยนิ่ง ๆ
ทังเจี้ยนเซิน บุรุษในชุดหรูยินดีปรีดา อย่างที่คิด ผู้อาวุโสสุ่ยไม่พอใจวาจาของปีศาจหญิงผู้นั้นแล้ว!
“ขอรับ”
ด้านหลังผู้อาวุโสสุ่ย ชายวัยกลางคนในชุดเกราะหนังสัตว์ หน้าตาแน่วแน่แข็งขันคนหนึ่งเดินออกมา ตบไปฉาดใหญ่
เพียะ!!
ภายใต้สายตาน่าเหลือเชื่อของฝูงชน บุรุษในชุดหรูโดนตบอย่างแรงจนฟันหลุด เลือดออกทั้งปากและจมูก ตัวคนหมุนติ้วอยู่ที่เดิมสามรอบประหนึ่งลูกข่าง ก่อนจะล้มลงกับพื้นดังตุ้บ ดาวเต็มฟ้าไปหมด
“คุณชาย!”
ผู้เฒ่าชุดขาวตะลึง มือเท้าเย็นเยียบ ตกตะลึงกับภาพนี้เช่นกัน ในใจเกิดลนลานขึ้นมา
คนใหญ่คนโตอื่นในที่นี้ล้วนใจสะท้านกันหมด
ทังเจี้ยนเซินนับว่าเป็นคุณชายเจ้าสำราญเลื่องชื่อในนครหลวงจิ๋วติ่ง ด้วยบารมีของตระกูล หลายปีมานี้ไม่รู้ว่าทำร้ายสตรีไปเท่าไร
ทว่า เขาเป็นคนฉลาด ทำร้ายแค่ผู้ฝึกตนพเนจรต่างถิ่น ไร้สำนัก ไร้พรรคพวก ไร้รากฐาน ต่อให้เกิดเป็นเรื่องราวขึ้นมา ตระกูลของเขาก็คลี่คลายได้อย่างง่ายดาย
แต่วันนี้ ทังเจี้ยนเซินเจอตอเข้าให้อย่างไม่ต้องสงสัย!
ขณะเดียวกัน ในสายตาฝูงชน ไป๋เวิ่นฉิงยิ่งดูไม่ธรรมดาขึ้นไปอีก! …ทำให้ผู้อาวุโสสุ่ยแสดงจุดยืนจัดการทังเจี้ยนเซินได้ สิ่งนี้ใช่การปฏิบัติที่คนธรรมดาได้รับที่ไหนกัน?
ทังเจี้ยนเซินผู้ล้มอยู่กับพื้นตื่นตระหนกยิ่ง เขาตะลึงและฉงน ก่อนจะเอ่ยพูดเสียงสั่น “ผู้อาวุโสสุ่ย ท่าน… ท่านเข้าใจอะไรผิดหรือไม่?”
เห็นท่าทางเช่นนี้ของเขา ผู้อาวุโสสุ่ยก็ส่ายหน้ารัว และกล่าวกับชายในชุดหนังสัตว์ “อาติง หักขาสองข้างของเขา เจ้าไปส่งเขากลับบ้านด้วยตัวเอง ให้ทังซ่างเฉิง พ่อของเขาจัดการ”
ประโยคเดียวง่าย ๆ น้ำเสียงไม่เจืออารมณ์ใด ๆ
“ขอรับ!”
ชายในชุดหนังสัตว์พยักหน้า
“อย่าลืมบอกทังซ่างเฉิง หากเขาจัดการแล้วไม่เป็นที่พอใจของข้า… ข้าก็ไม่รังเกียจช่วยเขาสั่งสอนลูกเนรคุณผู้นี้ด้วยตัวเองว่าควรปฏิบัติตนอย่างไร”
ผู้อาวุโสสุ่ยโบกมือ “ไปได้แล้ว”
ทุกคนในที่นี้ตะลึงกันหมด ชาไปทั้งหัว ในที่สุดก็เข้าใจแล้วว่า ผู้อาวุโสสุ่ยไม่คิดจะปล่อยทังเจี้ยนเซินไปง่าย ๆ!!
กระทั่งไป๋เวิ่นฉิงยังคิดไม่ถึงว่าเรื่องราวจะลงเอยเช่นนี้ จึงอดชะงักไม่ได้ ที่แท้จี้หยกปักษามังกรซึ่งได้มาจะมีความยิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้…
“ผู้อาวุโสสุ่ย ข้าผิดไปแล้ว! ข้าผิดไปแล้ว! ข้าขอร้อง ครั้งนี้ปล่อยข้าไปเถิด ข้ามีตาหามีแววไม่ ข้าไม่รู้ผิดชอบชั่วดี ขอร้องท่าน…”
ทังเจี้ยนเซินร้องโหยหวน ตื่นตระหนกอย่างสิ้นเชิง ร้องขอความเมตตาด้วยความผวา
ทว่าเสียงของเขาต้องชะงักกึก มือใหญ่ข้างหนึ่งกำคอของเขา หิ้วขึ้นมาประหนึ่งหิ้วคอลูกไก่ สิ่งที่โผล่เข้ามาในสายตาของเขา คือดวงหน้าเย็นยะเยือกแข็งทื่อของอาติง
แคร็ก! แคร็ก!
มืออีกข้างของอาติงทำลายข้อเอ็นกระดูกขาทั้งสองข้างของทังเจี้ยนเซินประหนึ่งทุบค้อนใหญ่ ทังเจี้ยนเซินเจ็บจนสายตามืดมัว ตัวชักกระตุกรุนแรง ก่อนจะเป็นลมล้มพับไป
จากนั้น อาติงหิ้วคอเขาก้าวยาว ๆ ออกจากหอทะเลสาบเมฆา
แต่ละภาพที่เกิดขึ้น เล่นเอาทุกคนในที่นี้ต้องสูดหายใจเข้าลึกกันหมด
รุนแรงเกินไปแล้ว!
“แม่นางไป๋ เชิญ!”
ผู้อาวุโสสุ่ยแสดงทีท่าไม่สนใจเรื่องราวที่เกิดขึ้นแม้แต่น้อย รอยยิ้มยังคงเปี่ยมเมตตา และผายมือทำท่าเชิญใส่ไป๋เวิ่นฉิง ก่อนจะเดินนำทางไป
ไป๋เวิ่นฉิงตามเข้าไปด้วยสมองที่ยังมึนงง ยังไม่ได้สติกลับจากภาพที่ทังเจี้ยนเซินโดนหักขาทิ้งทั้งสองข้าง
กระทั่งร่างของนางและผู้อาวุโสสุ่ยหายลับไปจากสายตาแล้ว บรรดาคนใหญ่คนโตในที่นี้ถึงมีทีท่าเหมือนตื่นจากฝัน มองหน้ากันและกันด้วยความสะพรึง
“สตรีนางนั้นเป็นใครกันแน่ ผู้อาวุโสสุ่ยถึงให้ความสำคัญขนาดนี้?”
มีบางคนทึ่ง
ใครเล่าจะดูไม่ออก ชะตากรรมอนาถาของทังเจี้ยนเซินล้วนเกิดขึ้นเพราะไป๋เวิ่นฉิง
“พวกท่านคิดเยอะเกินไป ก่อนหน้านี้สตรีนางนั้นเอ่ยกับปากแล้วว่านางเป็นเพียงบริวาร ได้รับคำสั่งให้มาที่หอทะเลสาบเมฆา ผู้ที่เก่งกาจจริง ๆ คือเจ้านายเบื้องหลังนาง!”
คนใหญ่โตคนหนึ่งสายตาสั่นระริก ทำการบอกสิ่งที่คาดเดาออกไป…
ก่อนจะได้รับเสียงสนับสนุนเห็นด้วยมากมาย
“หากจะกล่าวเช่นนี้ เจ้านายเบื้องหลังผู้ฝึกปีศาจคนนั้นต้องเป็นตัวตนที่น่าเกรงกลัวแน่นอน มิเช่นนั้น ด้วยฐานะของผู้อาวุโสสุ่ย หาได้ต้องออกมาต้อนรับด้วยตัวเองไม่ ต่อให้เป็นปราชญ์สวรรค์ขั้นวิถีวิญญาณ ก็น้อยนักที่ผู้อาวุโสสุ่ยจะให้ความสำคัญถึงเพียงนี้!”
บางคนตะลึงไม่หาย
“หนนี้ทังเจี้ยนเซินคงถึงคราวจบสิ้นแล้ว ต่อให้บิดาของเขาเป็นผู้นำตระกูลทัง ก็ไม่มีทางยอมทำให้ผู้อาวุโสสุ่ยไม่พอใจเพราะลูกชายเจ้าสำราญไม่เอาอ่าวเช่นนี้แน่”
บางคนสะท้อนใจ
“เหอะ ๆ แค่ลงโทษทังเจี้ยนเซินคงมิพอให้ผู้อาวุโสสุ่ยพึงพอใจ ข้ามองว่า คราวนี้ตระกูลทังจำต้องยอมทุ่มทุนครั้งใหญ่ จึงจะดับโทสะของผู้อาวุโสสุ่ยได้”
บางคนเอ่ยอย่างมีเหตุผล
“แย่แล้ว แย่แล้ว…”
เวลานั้น ผู้เฒ่าชุดขาวที่ติดตามอยู่ข้างกายทังเจี้ยนเซินก่อนหน้านี้เหมือนเพิ่งได้สติ ร้องเสียงหลงด้วยความตื่นกลัว ก่อนจะพุ่งออกไปนอกหอทะเลสาบเมฆา
……
ขณะที่เรื่องราวเล็ก ๆ นี้เกิดขึ้น ซูอี้และหยวนเหิงได้นั่งเกี้ยววนนครหลวงจิ๋วติ่งไปครึ่งค่อนเมือง
หยวนเหิงชมทิวทัศน์ข้างทางอย่างเพลิดเพลิน
ส่วนซูอี้นอนอย่างเกียจคร้าน หลับตาพักเอาแรง
เขาขบคิดไปมา ก็ยังหาวิธีสร้างเงินทองโดยไม่เสียแรงมิได้ จึงมีอารมณ์หม่นหมองลงอย่างอดไม่ได้
คนเราเกิดมาในโลกนี้ หมายจะได้ประโยชน์โดยไม่ลงทุนลงแรง ไฉนถึงยากเย็นเช่นนี้?
“ลูกค้าทั้งสองท่าน ด้านหน้านี้ก็คือเขตหวงห้ามพระราชวัง เห็นหรือไม่ นั่นคือภูเขาเทียนหมาง ถูกขนานนามว่าเป็นภูเขาศักดิ์สิทธิ์อันดับหนึ่งแห่งต้าเซี่ย อยู่มานานกว่านครหลวงจิ๋วติ่งเสียอีก พระราชวังต้าเซี่ยสร้างอยู่บนนั้น ไม่ว่าเรื่องราวในโลกนี้จะเวียนผ่านไปเท่าใด ภูเขานี้ก็คงอยู่นิจนิรันดร์มิเสื่อมคลาย!”
คนขับเกี้ยวเล่าเสียงเจื้อยแจ้ว
ซูอี้ลุกขึ้น เลิกม่านหน้าต่าง ก็ได้เห็นจุดที่ห่างออกไปไกลโข มีภูเขาลูกใหญ่สูงเสียดฟ้าตั้งตระหง่านอยู่
หมู่เมฆม่านแสงวนเวียนอยู่บนยอดเขา รัศมีสีม่วงพลุกพล่าน บรรยากาศอันเป็นมงคลปกคลุมไปทั่ว จนภูเขาทั้งลูกคล้ายเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์
มองเห็นสิ่งปลูกสร้างโอ่อ่าโบราณบนภูเขาลูกใหญ่ได้ราง ๆ ตั้งซ้อนกันเป็นแพ เรียงรายอย่างเป็นระเบียบ มองเห็นได้เลือนรางท่ามกลางม่านหมอกแสงศักดิ์สิทธิ์
ภูเขาเทียนหมาง!
สูงสามพันจั้ง เกรียงไกรดั่งมังกรเชิดหัวทะยานฟ้า
พระราชวังต้าเซี่ยตั้งอยู่บนไหล่เขา ส่วนบนยอดเขา เป็นสถานที่พำนักของจักรพรรดิแห่งต้าเซี่ย และราชนิกูลทั้งหลาย
ใต้ตีนเขา เป็นเขตหวงห้ามมีอาณาเขตนับพันไร่ ปกปักรักษาโดยหน่วยองครักษ์ที่ก่อตั้งโดยผู้ฝึกตนต้าเซี่ย อย่าว่าแต่คนธรรมดาทั่วไปเลย กระทั่งผู้ฝึกตนด้วยกันก็ไม่อาจเข้าใกล้โดยไม่ได้รับอนุญาต
ลือกันว่า จักรพรรดิเซี่ยองค์ปัจจุบันมีพระปรีชาสามารถเทียมฟ้า พลังลึกล้ำเกินหยั่ง
ภายใต้การปกครองของเขา กระทั่งเจ้าสำนักกลุ่มขุมกำลังเต๋าชั้นนำทั้งสี่มาด้วยตัวเอง ก็จำต้องไต่บันไดหินขึ้นภูเขาเทียนหมางไปทีละขั้นเพื่อขอเข้าพบ
พูดอย่างไม่เกินจริง ในอาณาเขตต้าเซี่ย จักรพรรดิเซี่ยไม่เพียงแต่เป็นองค์ราชันย์ผู้สูงส่งเกินผู้ใดในสายตาพสกนิกร ทว่ายังเป็นยอดฝีมือแห่งโลกฝึกฝนต้าเซี่ยที่ทุกคนยอมรับ ชื่อเสียงเกรียงไกรไปทั่วหล้า อยู่เหนือทั้งแปดทิศ!
“รัศมีสีม่วงเวียนวน พลังมังกรพลุกพล่าน ภูมิประเทศของภูเขาเชื่อมต่อกับชีพจรมังกรใต้นครหลวงจิ๋วติ่งเป็นอันหนึ่งอันเดียว ให้บรรยากาศน่าเกรงขาม คงพูดได้เพียง ‘หลอมรวมสิบทิศ เปิดรับปราชญ์ทั่วใต้หล้า’ ภูเขานี้… ไม่ธรรมดาจริง ๆ”
เพ่งมองอยู่ครู่หนึ่ง ซูอี้จึงค่อยปล่อยม่านหน้าต่างลงช้า ๆ
ภูเขาเทียนหมาง เรียกได้ว่าเป็นแดนสนธยาที่แท้จริง ซึ่งเหมาะแก่การฝึกฝนอย่างมาก
ตามมาตรฐานของเก้ามหาดินแดน ภูเขาเทียนหมางนับเป็นภูเขาจิตวิญญาณ ‘ขั้นสามตอนบน’ อีกด้วย!
“มิน่าเล่า ราชวงศ์เซี่ยถึงมีชะตารุ่งเรืองถึงเพียงนี้ มีภูเขานี้ในครอบครอง เท่ากับครอบครอง ‘ภูมิทัศน์’ ซึ่งเป็นพลังสำคัญที่สุดใน ‘เงินทอง สหาย วิชา ภูมิทัศน์’ แล้ว”
ซูอี้รำพึงในใจ
เกี้ยวขับออกจากเขตหวงห้ามซึ่งมีภูเขาเทียนหมางตั้งอยู่อย่างรวดเร็ว และแล่นไปตามถนนใหญ่นาม ‘ถนนหงส์แดง’
ตลอดทางเต็มไปด้วยผู้คนคับคั่ง ถนนหนทางคึกคักมากแสงสี
ทันใดนั้น ซูอี้ก็สัมผัสได้ถึงบางสิ่งบางอย่าง จึงหยิบกระดิ่งสีม่วงพรวนหนึ่งออกจากจี้หยกหอยหิมะ
กระดิ่งสื่อจิต!
สร้างจาก ‘หยกเขาแรดขนม่วง’ อันละเอียดแวววาว เมื่อครั้งอยู่ที่ต้าโจว ราชาขนนกเยว่ซือฉานต้องเดินทางไปต้าเซี่ย ก่อนไป นางได้มองกระดิ่งที่ติดตัวตลอดพรวนนี้ให้ซูอี้
จากที่นางกล่าวไว้ ขอเพียงซูอี้เข้าไปในเขตแดนต้าเซี่ยโดยพกสิ่งนี้ติดตัว นางก็จะหาซูอี้พบได้ในทันที
และในเวลานี้เอง กระดิ่งสีม่วงพรวนนี้เกิดแรงสั่นสะเทือนผิดปกติ มันส่งเสียงร้อนรนแผ่วเบา คล้ายสัมผัสถึงบางอย่าง
“หรือว่าเยว่ซือฉานอยู่แถวนี้?”
ซูอี้ผงะ
เขานั่งเกี้ยววนเมืองมาหลายชั่วยามแล้ว ยังไม่พบร่องรอยใด ๆ ของเก๋อเฉียน
แต่ไม่คิดเลยว่าจะได้พบเยว่ซือฉานเสียก่อน!