บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 486 ถีบประตูเข้าไป
ตอนที่ 486: ถีบประตูเข้าไป
ตอนที่ 486: ถีบประตูเข้าไป
บนทะเลสาบสีเขียวมีตำหนักหลังงามที่แสนกว้างขวางตั้งอยู่
ตำหนักแห่งนี้ดูเหมือนทำมาจากหยกขาว สว่างไสวและสง่างาม
นี่คือถ้ำฟ้าชุ่ยอวิ๋น
ที่ฮ่วนซีชามีสถานที่ซ่อนเร้นอยู่เก้าแห่ง และให้บริการเฉพาะแขกชั้นสูงของฮ่วนซีชาเท่านั้น
ภายในตำหนักยามนี้ นักร้องผู้มีเสียงไพเราะและนางระบำผู้สง่างามต่างแยกย้ายกันไปหมดแล้ว
กู่ชางหนิงนั่งอยู่ในห้องจัดงานเลี้ยง ดื่มสุราอย่างสบายอารมณ์
บางครั้งดวงตาของเขาก็กวาดมองคนอื่นที่อยู่ในห้อง แต่จิตใจกลับหดหู่เล็กน้อย
“ในความคิดของข้า ทุกวันนี้ผู้คนยุคโบราณกลุ่มแรกที่ตื่นขึ้นจากการจองจำแห่งยุคมืดในช่วงสิบปีที่ผ่านมา มีไม่เกินสิบคนที่สามารถเป็นผู้เกรงขามคอยแสงสว่างแห่งโลกกว้างได้ ในหมู่พวกเขา มีเพียงศิษย์พี่กู่เท่านั้นที่ทำให้ข้าชื่นชมมากที่สุด”
ตำแหน่งที่นั่งบนสุดมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาในชุดสีแดงเรียบ ๆ กำลังยิ้มอยู่
ขณะที่พูด เขาก็มองไปยังกู่ชางหนิง ดวงตาคู่นั้นเปลี่ยนไปราวกับใบมีด เผยให้เห็นบรรยากาศที่น่ากลัว
กู่ชางหนิงส่ายหัวแล้วถอนหายใจ “ศิษย์พี่ซือคงกล่าวเกินไปแล้ว ข้ายังไกลกว่าจะเปรียบเทียบกับท่านได้”
ชายหนุ่มในชุดสีแดงเรียบ ๆ นามว่า ซือคงเป้า
เป็นผู้ร้ายกาจจากยุคโบราณเช่นกัน
เมื่อสามหมื่นปีก่อน ผู้สืบทอดเมล็ดพันธุ์สายตรงของกองกำลังมารชั้นนำแห่งมหาทวีปคังชิงอย่าง ‘สำนักอสูรเทียนเยียน’ ก็ยังอยู่รอดมาจนถึงตอนนี้เช่นกัน
“กู่ชางหนิง เจ้าเก่งเสียขนาดนี้แต่กลับถ่อมตัวเกินไปแล้ว!”
ซือคงเป้าหัวเราะลั่น “ผู้ใดจะไม่รู้ว่าท่านราชันย์ศึกเวหาที่เป็นหนึ่งใน “เก้าราชันย์แห่งคังชิง” จะเป็นปู่ของเจ้า? ที่ยิ่งไปกว่านั้นคือเมื่อสามหมื่นปีก่อนตระกูลกู่ของเจ้าคือหนึ่งในสามตระกูลใหญ่แห่งจักรพรรดิของมหาทวีปคังชิง ภูมิหลังเช่นนั้นไม่ได้ด้อยไปกว่าซือคงเป้าผู้นี้เลย ทั้งยังดีกว่าด้วยซ้ำ!”
กู่ชางหนิงถอนหายใจ พูดด้วยความกลัดกลุ้ม “ทิวทัศน์ในอดีตเหล่านั้นได้หายไปกับแม่น้ำแห่งกาลเวลาแล้ว และตัวข้าในตอนนี้… ไม่ต่างอะไรไปจากผู้โดดเดี่ยวเลย ไม่เหมือนกับศิษย์พี่ซือคงที่ข้างกายรายล้อมไปด้วยผู้คนที่แข็งแกร่ง และตอนนี้ยังเป็นแขกผู้มีเกียรติของราชวงศ์เซี่ย เรียกได้ว่าเป็นแบบอย่างของพวกเราโดยแท้!”
แม้ว่าคำพูดแบบนี้จะเป็นการชมเชยทั่วไปก็ตาม
แต่ไม่ได้โอ้อวดเกินจริงเลย
เช่นเดียวกับชายหญิงพวกนั้นที่นั่งอยู่ในห้องโถงตอนนี้ ส่วนใหญ่เป็นลูกน้องที่มีความสามารถของซือคงเป้า และผู้ที่มีระดับการฝึกฝนด้อยที่สุดล้วนมีแต่ผลการฝึกในขอบเขตเปิดทวารขั้นปลาย!
ส่วนผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด อีกเพียงก้าวเดียวก็จะเข้าสู่วิถีวิญญาณ
และนี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของพลังที่ซือคงเป้าแสดงให้เห็น ว่ากันว่าเบื้องหลังของเขายังมีตัวตนในวิถีวิญญาณอยู่อีกหลายคน
นอกจากคนเหล่านี้แล้ว ยังมีชายและหญิงอีกสองคนนั่งอยู่ในห้องโถงด้วย
ชายผู้นี้แต่งกายด้วยเสื้อคลุมพญางูสีเหลืองสด สวมกว้าน*[1]หยกบนศีรษะ ท่าทางหยิ่งผยอง นามว่าเซี่ยจิ้งอวี่ เขาเป็นเชื้อพระวงศ์ของราชวงศ์เซี่ย
บิดาของเขาคือเซี่ยฉางชวน น้องชายของจักรพรรดิเซี่ยองค์ปัจจุบัน ราชทินนามคือ ‘อ๋องหย่ง’
ส่วนหญิงผู้นั้นใส่ชุดคลุมเต๋า รวบผมเป็นมวย อายุราวสามสิบปี มีลักษณะหัวโบราณและเคร่งขรึม นามเฟิงหนิง ฉายาว่า ‘นักพรตหญิงเฟิง’
อันดับห้าในสิบยอดฝีมือของนครหลวงจิ๋วติ่งที่เข้าสู่ขอบเขตรวบรวมดารา
สิ่งที่ควรรู้คือ เสือซุ่มมังกรซ่อนแห่งนครหลวงจิ๋วติ่ง มีผู้แข็งแกร่งมากมายดั่งต้นไม้ในป่าใหญ่ ไม่รู้เลยว่ามีผู้คนที่โดดเด่นขนาดนี้มารวมตัวกันเท่าไร
นักพรตหญิงเฟิงสามารถอยู่ในอันดับห้าของรายนามในขอบเขตรวบรวมดาราได้ จินตนาการได้เลยว่าผู้ฝึกตนคนอื่น ๆ จะสุดยอดมากเพียงใดกัน และเป็นไปได้ว่าผู้ฝึกตนคนอื่น ๆ จะมีพลังมากยิ่งกว่านี้เสียอีก!
สมควรเป็นหนึ่งในกลุ่มคนที่สุดยอดที่สุดภายใต้มหาปราชญ์สวรรค์ขั้นวิถีวิญญาณอย่างแน่นอน!
และนักพรตหญิงเฟิงก็จะทำหน้าที่เป็นผู้ติดตามของเซี่ยจิ้งอวี่ในค่ำคืนนี้
“ฮ่า ๆ ศิษย์พี่กู่ ระหว่างพวกเราคงไม่จำเป็นต้องมีพิธีรีตองอะไรมากมาย ครั้งนี้เป็นความคิดของข้าเองที่เชิญศิษย์พี่มา”
ท่ามกลางเสียงหัวเราะลั่น ดวงตาดุจใบมีดของซือคงเป้าได้มองไปยังกู่ชางหนิง ก่อนจะกล่าว “และตอนนี้ข้าต้องการคำตอบที่ชัดเจนจากศิษย์พี่กู่เท่านั้น”
และแล้วสายตาของคนในห้องโถงก็มองไปที่…
กู่ชางหนิง!
กู่ชางหนิงย่นคิ้วเล็กน้อย หลังจากนั้นก็พูดอย่างใจเย็น “ความใจดีของศิษย์พี่ซือคงข้าซาบซึ้งใจนัก แต่ตัวข้ากู่ชางหนิงไม่เคยชอบการพึ่งพาอาศัยคนอื่น หวังว่าท่านจะให้อภัย”
ใจของซือคงเป้ารับรู้โดยปริยาย ว่าที่แท้วาจาของอีกฝ่ายหมายความว่าอย่างไร
ใบหน้าของซือคงเป้ากลายเป็นล้ำลึก
บรรยากาศในห้องโถงกดดันในทันที
เซี่ยจิ้งอวี่ส่งเสียงหึก่อนจะพูดว่า “ศิษย์พี่กู่ ข้าและศิษย์พี่ซือคงแสดงความจริงใจมามากพอแล้ว แต่ท่านกลับปฏิเสธซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทำให้ข้าผิดหวังนัก”
เขาเงียบไปครู่หนึ่งแล้วกล่าวต่อ “ข้าคงต้องพูดให้ชัดเจน หลังจากผ่านไปสักพัก ราชวงศ์ต้าเซี่ยของข้าจะปล่อย ‘ทำเนียบมารบรรพกาล’ เข้าสู่โลก และตามการวิเคราะห์ของพ่อข้า เมื่อไรที่ชื่อของมารบรรพกาลจากยุคโบราณปรากฏออกมา หากไม่ใช่เพื่อต้าเซี่ย ก็ต้องเป็นศัตรูของต้าเซี่ย!”
พอพูดถึงตรงนี้เขาก็มองไปยังกู่ชางหนิง แล้วกล่าว “ศิษย์พี่กู่ ท่านคงไม่คิดที่จะ… กลายเป็นศัตรูของต้าเซี่ยใช่หรือไม่?”
ในคำพูดนั้นแสดงถึงเจตนาข่มขู่ออกมาแล้ว
กู่ชางหนิงดื่มสุราก่อนพูดด้วยรอยยิ้ม “เจ้าเป็นเพียงเครือญาติเท่านั้น ไม่สามารถเป็นตัวแทนต้าเซี่ยทั้งหมดได้ เท่าที่ข้ารู้มาจักรพรรดิเซี่ยองค์ปัจจุบันได้ปล่อย ‘ทำเนียบมารบรรพกาล’ ออกมาไม่ใช่เพื่อต้องการให้ผู้ร้ายกาจจากยุคโบราณของโลกนี้ถูกกวาดล้างไป”
เขาวางแก้วสุราลง นัยน์ตาเต็มไปด้วยความดูถูก “หากพูดอย่างไม่เกรงใจก็คือ เจ้าเป็นเพียงแค่ลูกหลานราชวงศ์เท่านั้น ถ้าอาศัยสถานะของตนแล้วคิดว่าสามารถทำเรื่องเลวร้ายได้ ในไม่ช้าหายนะย่อมมาเยือนแน่!”
ใบหน้าของเซี่ยจิ้งอวี่มืดมน เขาตบโต๊ะอย่างแรง “หากไม่ยอมดื่มสุราคารวะ เช่นนั้นก็จงดื่มสุราลงทัณฑ์เสีย!”
บรรยากาศในห้องโถงเริ่มกดดันมากขึ้น
ซือคงเป้าที่นั่งอยู่บนสุดกลับยิ้มแล้วโบกมือ “พวกท่านทั้งสองไม่ลงรอยกันอีกแล้ว ความตั้งใจของศิษย์พี่กู่ ข้าซือคงเป้าเข้าใจดีแล้ว และจะไม่ทำให้มันยุ่งยากอีก”
เขาลุกขึ้นยืนอย่างฉับพลัน ร่างกายปล่อยพลังอำนาจออกมา ดวงตาดุจใบมีดที่จ้องไปที่กู่ชางหนิง แล้วกล่าวว่า “แต่ว่า คำพูดที่น่ารังเกียจของข้าสามารถพูดก่อนได้ รอให้ชุมนุมมวลพฤกษาสิ้นสุดลงเสียก่อน และยามที่มุ่งหน้าไปยังเกาะเซียนพระสุเมรุ ศิษย์พี่กู่พึงระวังไว้ให้ดี อย่าขัดแข้งขัดขากับข้า ไม่เช่นนั้น… ท่านก็จะถูกปฏิบัติเหมือนเป็นศัตรู”
คำพูดเย็นเฉียบ ไม่แม้แต่จะปิดปังเจตนาข่มขู่
กู่ชางหนิงพ่นลมหายใจ “เรื่องอื่นไว้ว่ากันทีหลังเถิด”
ซือคงเป้าอดหัวเราะลั่นขึ้นมาไม่ได้ก่อนพูดว่า “ศิษย์พี่กู่ ท่านอยากรู้หรือไม่ว่า ข้าซือคงเป้าปฏิบัติต่อศัตรูเป็นเช่นไร?”
ดวงตาของกู่ชางหนิงเป็นประกายก่อนถาม “ศิษย์พี่ซือคง หมายความว่าอย่างไร?”
ซือคงเป้าโบกปัด “พูดตามตรง นอกจากจะให้ความบันเทิงศิษย์พี่กู่ในงานเลี้ยงค่ำคืนนี้แล้ว ข้ายังต้องจัดการกับสาวน้อยผู้ไม่เชื่อฟังด้วย จึงขอให้โอกาสนี้ให้ศิษย์พี่กู่ได้เรียนรู้จะได้ไม่ผิดพลาด”
ขณะพูดเขาก็โบกมือ “ให้คนไปพาลงมาให้ข้า”
หญิงชุดดำหน้าตางดงามผลักประตูตำหนักแล้วเดินเข้าไป มือของนางกำลังอุ้มหญิงสาวชุดขาวที่หมดสติมาด้วย
หลังจากมาถึงใจกลางห้องโถง หญิงชุดดำก็โยนหญิงสาวชุดขาวลงบนพื้น
สายตาของทุกคนวางไปบนร่างกายเด็กสาวไร้สติในชุดขาว
งดงามยิ่ง!
ทุกคนรู้สึกประหลาดใจ
หญิงสาวในชุดสีขาวมีคิ้วราวภาพวาด ดูเหมือนนางเซียน เป็นคนงามที่หายได้ยาก งามจนใจสั่น
แม้แต่กู่ชางหนิงก็อดรู้สึกสงสารไม่ได้ หญิงสาวผู้สูงศักดิ์เช่นนี้ตกไปอยู่ในมือของชายโหดเหี้ยมและหยาบคายอย่างซือคงเป้าได้อย่างไร?
“ศิษย์พี่กู่ ผู้หญิงคนนี้นามว่าเยว่ซือฉาน เมื่อเดือนก่อนลูกน้องของข้าสองคนชื่นชมความสามารถของนาง และต้องการเชิญนางเข้ามาอยู่ภายใต้บังคับบัญชาของข้า ไม่คิดเลยกว่ากลับถูกนางฆ่าด้วยดาบ”
ดวงตาคู่นั้นของซือคงเป้าเปรียบเสมือนใบมีด พินิจพิเคราะห์อย่างไร้ปรานี
เมื่อจับจ้องไปยังร่างของเยว่ซือฉานที่อยู่ตรงกลางห้องโถง ดวงตาพลันฉายออกซึ่งความเกลียดชังอันเย็นเยือก และมีร่องรอยของความโลภกับความปรารถนา
กู่ชางหนิงหัวเราะเยาะเย้ยอยู่ภายในใจ อะไรที่เรียกว่าชื่นชมความสามารถของคนอื่นกัน? เห็นได้ชัดว่าโลภในความงามของอีกฝ่าย!
ลูกน้องพวกนั้นของซือคงเป้า แต่ละคนทำตัวเหมือนปีศาจ กระทำโดยปราศจากการยับยั้งชั่งใจ มือสองข้างเต็มไปด้วยเลือด แม้ว่าพวกเขาจะถูกฆ่าตายเพราะทำเรื่องสารเลว ก็สามารถกลับดำเป็นขาวได้
“ยังดีที่เมื่อเจ็ดวันก่อน ผู้หญิงคนนี้ถูกข้ารวบจับในคราวเดียวหลังจากเข้านครหลวงจิ๋วติ่งมา”
พอพูดถึงตรงนี้ ซือคงเป้าก็ถอนหายใจ “พูดตามตรง จิตวิญญาณดาบของผู้หญิงคนนี้บริสุทธิ์และแน่วแน่ มี ‘หยั่งเห็นลึกล้ำกายวิญญาณ’ ที่พบได้ยาก แม้ว่าจะมีแค่อยู่เพียงขอบเขตเปิดทวาร แต่ระดับพลังการต่อสู้เพียงพอที่จะฆ่าผู้ที่อยู่ในขอบเขตรวบรวมดาราบนโลกนี้ได้อย่างสบาย เมื่อสามหมื่นปีก่อน ก็มีเพียงทายาทสายตรงของสำนักที่ยิ่งใหญ่ในสมัยโบราณเท่านั้นจึงจะสามารถเทียบเคียงได้”
กู่ชางหนิงนิ่งไม่ไหวติง
“ศิษย์พี่ซือคงพูดถูก ข้าเคยได้ยินชื่อเยว่ซือฉานนี้มาก่อน ไม่แปลกใจเลย ชื่อของนางจะต้องปรากฏให้เห็น ‘ทำเนียบดารา’ แน่”
เซี่ยจิ้งอวี่ก็พูดเช่นกัน “น่าเสียดายที่นางเป็นเพียงผู้ฝึกตนพเนจรจากต้าโจว ไร้สำนักไร้สังกัด ทั้งยังทำให้ศิษย์พี่ซือคงขุ่นเคือง แม้ว่านางจะเป็นดั่งดวงดาราในโลกนี้ แต่ทว่านางก็ยังต้องจ่ายค่าตอบแทน!”
“เยว่ซือฉานมาจากต้าโจวหรือ?”
กู่ชางหนิงตกใจ ตกตะลึงเล็กน้อย และนึกถึงซูอี้ที่มาจากต้าโจวในทันที
“ใช่ ต้าโจว ดินแดนห่างไกลความเจริญ”
ซือคงเป้าเผยรอยยิ้มเย็นเยือก “ศิษย์พี่กู่ไม่ลองคาดเดาหน่อยหรือว่าข้าจะจัดการนังแพศยานี่อย่างไร?”
ไม่รอให้กู่ชางหนิงเอ่ยปาก เขาก็กล่าวอย่างสบายใจ “ถ้าฆ่านางก็น่าเสียดาย ถ้าปล่อยไปใจข้าก็ไม่มีความสุข ดังนั้นในวันที่ข้าจับนาง ข้าก็ได้ปลูก ‘พิษกู่มารแม่มด’ ลงไปในร่างกาย พิษกู่ชนิดนี้จะไม่ทำร้ายนางแม้แต่น้อย แต่จะควบคุมสติและทำให้นางกลายเป็นทาส เชื่อฟังแต่คำของข้า”
พอพูดถึงตรงนี้เขาก็มองไปยังกู่ชางหนิง กล่าวด้วยเสียงหัวเราะ “แน่นอนว่าหากเป็นศัตรูทั่วไป คงไม่สามารถเพลิดเพลินไปกับสิทธิพิเศษเช่นนี้ได้หรอก ยิ่งไปกว่านั้นพิษกู่มารแม่มดก็หายากมาก และทำออกมาได้ยากเช่นกัน ..หากเป็นไปได้ข้าก็ไม่ปรารถนาให้ศิษย์พี่กู่ได้ลิ้มรสพิษกู่หลังจากนี้เช่นกัน”
คำพูดนั้นเต็มไปด้วยการข่มขู่
สีหน้ากู่ชางหนิงเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขาเงียบไปครู่หนึ่งก่อนและสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ “ไว้หน้าข้าแล้วปล่อยนางไปได้หรือไม่?”
ทุกคนในห้องโถงตกตะลึงราวกับว่าไม่ได้คาดหวังว่ากู่ชางหนิงจะเสนอคำขอร้องเช่นนี้ออกมา
สีหน้าของซือคงเป้าแปลกประหลาดก่อนพูดว่า “ศิษย์พี่กู่ไม่สามารถมองข้ามนังแพศยาตัวนี้ได้แล้วหรือ?”
กู่ชางหนิงขมวดคิ้ว “ถ้าศิษย์พี่ซือคงเต็มใจที่จะปล่อยมือ หากมีโอกาส ข้ากู่ชางหนิงผู้นี้จะตอบแทนอย่างแน่นอน”
ซือคงเป้าตบต้นขาแล้วหัวเราะลั่น “ไม่จำเป็นต้องตอบแทนเลย ตราบใดที่ตัวท่านกู่ชางหนิงยอมจำนนต่อข้า ข้าจะปล่อยแม่นางเยว่คนนี้! ไม่เช่นนั้นหากวันนี้ตัวท่านกู่ชางหนิงไม่คุกเข่าก้มหัวให้ข้า ข้าก็จะไม่ปล่อยสาวงามคนนี้เช่นกัน!”
ใบหน้าของกู่ชางหนิงหดหู่ลงในทันใด “ซือคงเป้า เจ้าแน่ใจหรือว่าต้องการมองหน้าไม่ติดกับข้า?”
บรรยากาศในห้องโถงเริ่มตึงเครียด
“มองหน้าไม่ติด?”
ซือคงเป้าเผยสีหน้าดูถูกออกมา ลุกขึ้นยืนก่อนเดินไปหาเยว่ซือฉานที่ใจกลางห้องโถง
“ศิษย์พี่กู่ ในเมื่อท่านยังดื้อดึง.. เช่นนั้นก็ขอเชิญท่านเบิกตาให้กว้างแล้วมองให้กระจ่างเสีย!”
ตอนที่พูด เขาก็ได้เอื้อมมือไปคว้าเยว่ซือฉานบนพื้น
“เจ้ากล้า!”
กู่ชางหนิงทุบโต๊ะแล้วลุกขึ้นยืน
ทว่าไม่ทันรอให้เขาก้าวอีกก้าว ประตูตำหนักที่ปิดอยู่พลันถูกคนถีบให้เปิดจากด้านนอกด้วยเสียงดังปัง!
[1] กว้าน หรือ 冠 คือสิ่งที่ชนชั้นสูงชาวจีนในสมัยโบราณใช้สวมครอบบนศีรษะ เพื่อเป็นเครื่องบอกระดับประดับพระยศพระเกียรติ