บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 49 แสงไฟตระการตาในงานเทศกาลยามราตรี
ตอนที่ 49 แสงไฟตระการตาในงานเทศกาลยามราตรี
ณ ป่าหม่อน
ซูอี้ไม่รีบเร่ง จิตใจไร้กังวล ฝึกเคล็ดวิชาหลอมกายกระเรียนลอยล่องครั้งแล้วครั้งเล่า
สำหรับการฝึกฝน
มันเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องฟันฝ่าอุปสรรคเพื่อสั่งสมพลัง
มีเพียงผู้มุมานะเท่านั้นที่สามารถยืนหยัดอยู่ได้
ผู้ที่มีคุณสมบัติอยู่เหนือผู้คนอื่นต้องทั้งกล้าหาญและพากเพียร
ทั้งหมดล้วนเป็นสิ่งจำเป็นในการฝึกฝน
แม้แต่จอมมารผู้สั่นสะเทือนสรวงสวรรค์ หากไม่หมั่นฝึกตนอย่างหนัก คงไม่อาจกลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่เช่นนั้นได้
เมื่อฝึกเสร็จสิ้นแล้ว ซูอี้จึงเดินทางกลับ
เมื่อมาถึงประตูเมือง และมองไปยังแม่น้ำต้าฉางซึ่งกว้างกว่าร้อยจั้งที่อยู่ด้านข้าง ซูอี้เห็นสายโซ่หนาหลายสิบเส้นถูกร้อยพาดกลางขวางเหนือผิวน้ำเชื่อมระหว่างริมสองฟากฝั่ง
บนโซ่ที่พาดขวางมีแผ่นหินจำนวนมากมายถูกวางเรียงอย่างเป็นระเบียบทำเป็นทางเดินเชื่อม ดูคล้ายสะพานหินยาวเป็นร้อยจ้างเหนือแม่น้ำต้าฉาง
นี่เรียกว่า ‘สะพานประตูมังกร’
ตรงจุดกึ่งกลางของสะพานหินกลางแม่น้ำต้าฉางปรากฏเวทีทรงสี่เหลี่ยมจตุรัส สูงสองหมี่*[1] กว้างสิบหมี่ ซึ่งทำจากเหล็กสีดำ
คืนนี้งานประลองประตูมังกรจะจัดขึ้นบนเวทีนี้
เวทีนี้มีชื่อว่า ‘ลานประลองประตูมังกร’
เวลานี้มีผู้คนมากมายเดินริมแม่น้ำ ส่งเสียงจอแจหนาหู
แต่เมื่อไหร่ที่เวลาล่วงถึงช่วงเย็น ไม่ว่าจะเป็นผู้คนจากฝั่งเมืองกว่างหลิงหรือเมืองลั่วอวิ๋น หากไม่มีเทียบเชิญ คนธรรมดาจะไม่สามารถย่างกรายเข้าเขตสะพานประตูมังกรได้
“ซูอี้”
กลุ่มคนพลันปรากฏกายขึ้นไม่ห่างออกไป นำโดยเหวินเส้าเป่ย
เหวินเส้าเป่ยกอดอกพลางว่าแดกดัน “แล้วเพื่อนจิ้งจอกของเจ้าเล่า เหตุใดจึงไม่ได้มาด้วยกัน?”
ซูอี้เลิกคิ้วก่อนนึกได้อีกฝ่ายคงหมายถึงหวงเฉียนจวิน
“ข้าเพิ่งไปคุยกับบรรพบุรุษของเจ้ามา เจ้าถามหาถึงข้าทำไมกัน?” เสียงดุดันดังขึ้นในทันใด
ร่างหนึ่งพุ่งออกมาจากฝูงชน คว้าคอเสื้อเหวินเส้าเป่ย ง้างหมัดต่อยเต็มแรง
โครม!
สิ้นเสียง แก้มเหวินเส้าเป่ยบวมขึ้นทันทีจนเห็นได้ด้วยตาเปล่า ริมฝีปากเลือดไหลซิบ นิ่งค้างไปจากแรงหมัด
“หวง…หวงเฉียนจวิน!?” เหวินเส้าเป่ยมีท่าทีงุนงน
เมื่อครู่เขาไม่ได้สังเกตเห็นหวงเฉียนจวิน เพราะกำลังสนุกกับการถากถางซูอี้
นึกไม่ถึงว่าเพียงจบประโยค หวงเฉียนจวินจะโผล่มาปุบปับเช่นนี้!
ลูกหลานตระกูลเหวินด้านหลังเหวินเส้าเป่ยต่างตกตะลึงและตื่นตระหนก
หวงเฉียนจวินยิ้มเหี้ยม “เจ้าคงลืมไปแล้วสินะว่าข้าเป็นคนเช่นไร? เช่นนั้นข้าจะฟื้นความจำให้เสียหน่อยด้วยการหักขาเจ้าสักข้างก็แล้วกัน!”
เขาตั้งท่าจะลงมือ
“หยุดเดี๋ยวนี้!”
เสียงเย็นชาพลันดังขึ้น เหวินเจวี๋ยหยวนซึ่งไม่รู้มาจากไหน จู่ ๆ โผล่มาและพุ่งตัวเข้ารีบห้าม
ปั่ก!
ทว่าหวงเฉียนจวินยังรัวหมัดเข้าหน้าเหวินเส้าเป่ย ทำให้เลือดพุ่งออกจากทั้งจมูกและปาก ใบหน้าเปรอะเปื้อน น้ำหูน้ำตาไหล
“เจ้า…”
สายตาเหวินเจวี๋ยหยวนฉายแววเกรี้ยวกราด เห็นได้ชัดว่าคับแค้นใจ
แต่แล้วจู่ ๆ เขากลับนิ่งค้างไป เพราะสัมผัสได้ถึงสายตาเลือดเย็นอีกคู่ที่มองมายังตัวเขา
เขาหันมองไปทางฝูงชนที่มุงดู และเห็นหวงอวิ๋นชงผู้นำตระกูลหวงปรากฏกายในชุดสีม่วงด้วยสีหน้าเย็นชา
นี่ทำให้เหวินเจวี๋ยหยวนสงบเสงี่ยมลงทันที
เขาสูดหายใจลึก สะกดกลั้นความโกรธ เอ่ยเสียงเรียบ “หวงเฉียนจวิน จำสิ่งที่ข้าบอกเจ้าเรื่องงานประลองประตูมังกรคืนนี้ได้หรือไม่?”
หวงเฉียนจวินพลันเถียงกลับ “ทำไม?”
หลังจากถามกลับ เขาผละมือออกจากเหวินเส้าเป่ย ปัดมือพลางว่าอย่างย่ามใจ “เหวินเจวี๋ยหยวน ข้าเฝ้ารอเวลาเจอกับเจ้าเช่นกัน!”
สายตาของเขาเหี้ยมเกรียม ลุกโชนไปด้วยจิตวิญญาณการต่อสู้
หวงเฉียนจวินในรูปแบบนี้ทำให้เหวินเจวี๋ยหยวนแปลกใจและนึกฉงน คิ้วอดขมวดขึ้นไม่ได้
ผ่านไปครู่หนึ่งจึงกล่าวคำ “เช่นนั้นเจอกันคืนนี้ ไปกันเถอะ!”
เหวินเจวี๋ยหยวนเดินจากไป
เหวินเส้าเป่ยกับคนอื่น ๆ ต่างอับอายขายหน้าและรีบเร่งหลบไปเช่นกัน
“ถุย!”
หวงเฉียนจวินถ่มน้ำลายไล่หลัง ก่อนจะหันมาหาซูอี้ สีหน้าเปลี่ยนเป็นยิ้มแย้มขณะเอ่ย “พี่ซู เจ้านั่นทำให้ท่านไม่พอใจหรือไม่?”
ซูอี้ส่ายหน้าก่อนกล่าว “เจ้าเอาสมองไปคิดเรื่องจะรับมือกับเหวินเจวี๋ยหยวนคืนนี้อย่างไรจะดีกว่า ข้าขอตัวก่อน”
นึกไม่ถึงว่าเพียงยืนอยู่ที่นี่ครู่เดียวจะได้พบฉากโหมโรงเสียก่อน
ไม่นานร่างของซูอี้หายลับผ่านประตูเมืองไป
“เป็นเช่นไร คุณชายซูจะเข้าร่วมงานประลองคืนนี้หรือไม่?” หวงอวิ๋นชงเอ่ยถามมาแต่ไกล
เขาตั้งใจจะเข้าไปเอ่ยทักทายซูอี้ ทว่าเห็นอีกฝ่ายกลับเดินเข้าเมืองไปจึงไม่คิดรบกวน
“ข้าถามเมื่อหลายวันก่อน แต่พี่ซูไม่ใคร่อยากเข้าร่วมงานประลองนัก” หวงเฉียนจวินส่ายหน้า
หวงอวิ๋นชงอดผิดหวังเล็กน้อยไม่ได้ ยกมือแตะริมฝีปากอย่างครุ่นคิด “ข้ากำลังคิดจะจัดหาที่นั่งพิเศษให้คุณชายซู”
ทันใดนั้นเขาจ้องหน้าลูกชายเขม็ง “ลูกเอ๋ย หากเจ้าลงประลองกับเหวินเจวี๋ยหยวนคืนนี้ ไม่จำเป็นต้องสู้จนยอมตาย การยอมรับความพ่ายแพ้นั้นไม่ใช่เรื่องน่าขายหน้า”
หวงเฉียนจวินเอ่ยในลำคอ “ท่านพ่อ โปรดวางใจ ต่อให้ล้มเหลวข้าก็ไม่ย่อท้อต่อเส้นทางในภายภาคหน้า!”
หวงอวิ๋นชงถอนหายใจ “เท่าที่ข้ารู้มา หลี่โม่อวิ๋นจากตระกูลหลี่จะไม่เข้าร่วมงานประลองประตูมังกร ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ทั่วทั้งเมืองกว่างหลิง มีเพียงเหวินเส้าเป่ยที่มีโอกาสชนะการประลองในงาน”
“ต่อให้เจ้าสู้เขาไม่ได้ก็อย่าเสียกำลังใจไป ด้วยเคล็ดชั้นยอดที่คุณชายซูชี้แนะให้เจ้า ต่อไปเจ้าจะยิ่งใหญ่เหนือเหวินเส้าเป่ยอย่างแน่นอน!”
หวงอวิ๋นชงกลับกลายอารมณ์ดีขึ้น มุมคิ้วยกขึ้นอย่างสบายใจ
หวงเฉียนจวินพยักหน้ารับ
เมื่อกลับถึงเรือนเล็กเหมยอำพัน ซูอี้เริ่มฝึกเพลงดาบอีกครั้ง
แม้เขาจะมากประสบการณ์และมีความทรงจำจากชาติก่อน แต่เขายังคงหมั่นเพียรไม่เว้นจากการฝึกตน
กระทั่งฟ้ามืดซูอี้จึงออกจากบ้านเพียงลำพัง
“ท่านบุตรเขยจะไปงานประลองประตูมังกรหรือขอรับ?” พ่อบ้านหูเฉวียนถามสีหน้ายิ้มแย้ม
“ใช่แล้ว” ซูอี้พยักหน้ารับ
“จริงสิ เราไปด้วยกันเถิดขอรับ ข้าเช่าเรือเอาไว้แล้ว จะเตรียมสุราและอาหารเคียงเพิ่มเติม คืนนี้ได้ล่องเรือ แวะจุดตกปลาให้สำราญใจ ชมการประลองประตูมังกร น่าตื่นตาตื่นใจนัก”
หูเฉวียนหัวเราะ
ซูอี้ชะงัก “เช่าเรืออย่างนั้นหรือ?”
หูเฉวียนอธิบาย “หากไม่มีเทียบเชิญก็จะไม่มีสิทธิ์เข้าเขตสะพานประตูมังกร หากต้องการรับชมการประลอง ท่านต้องล่องเรือชมจากที่ไกล ๆ เท่านั้น”
ซูอี้หยิบเทียบเชิญมาจากแขนเสื้อ ถามขึ้น “นี่เป็นเทียบเชิญหรือเปล่า?”
หูเฉวียนพลันดวงตาเป็นประกาย ท่าทีตกตะลึง “ท่านบุตรเขย นี่เป็นเทียบเชิญสำหรับแขกพิเศษ ล้ำค่ามาก ท่านสามารถเข้าถึงที่นั่งพิเศษ ประชิดท่านเจ้าเมือง!”
ซูอี้รับคำ เก็บเทียบเชิญก่อนถาม “เทียบเชิญนี้สามารถนำผู้ติดตามเข้าไปได้หรือไม่?”
“แน่นอนขอรับ” หูเฉวียนโพล่งขานรับ
“เช่นนั้นเจ้ามากับข้า” สิ้นคำ ซูอี้จึงออกเดินทาง
หูเฉวียนชะงักไปชั่วขณะก่อนจะได้สติ แล้วรีบตามไปทันที ความตื่นเต้นเอ่อล้นใจ ไม่เคยคาดคิดว่าตนจะมีโอกาสเข้าชมการประลองในเขตสะพานประตูมังกร!
ภายในชั้นสองของภัตตาคารไม่ห่างไปจากสำนักแพทย์ซิ่งหวง
ชายหนุ่มผู้หนึ่งกระซิบบอก “คุณชาย ซูอี้ออกจากสำนักแพทย์ซิ่งหวง จากทิศทางดูเหมือนจะไปเข้าร่วมงานประลองประตูมังกรขอรับ”
“เขาสูญเสียการบ่มเพาะไปสิ้นแล้ว ยังจะมีแก่ใจเข้าร่วมงานประลองอีกงั้นหรือ?” หลี่โม่อวิ๋นหน้านิ่ว
เวลานี้ผู้คนทั่วไปต่างคิดว่าเขาเดินทางไปเมืองหลวงของเขตปกครองอวิ๋นเหอ และไม่คิดจะเข้าร่วมงานประลองประตูมังกร
แต่แท้จริงแล้วเขาอยู่ในเมืองมาโดยตลอด แอบเตรียมการสังหารซูอี้
สำหรับหลี่โม่อวิ๋น การฆ่าซูอี้ไม่ใช่เรื่องยาก แต่ทำอย่างไรถึงจะไม่ทิ้งร่องรอยเอาไว้ต่างหากที่สำคัญ
คืนนี้ผู้กล้าส่วนใหญ่ในเมืองต่างเข้าร่วมงานประลองประตูมังกร ถือเป็นโอกาสดีในการกำจัดซูอี้ เพราะจะได้ไม่มีผู้พบเห็น
“รอให้เขากลับมาก่อน”
หลี่โม่อวิ๋นสายตาเฉยชา เอ่ยคำ “เจ้าส่งคนลอบเข้าประตูหลังสำนักแพทย์ซิ่งหวงก่อน รอคำสั่งของข้า”
“ขอรับ!” ผู้ใต้บังคับบัญชารีบขานรับ
‘หลิงเจา รอให้เรื่องเจ้าขยะซูอี้จบลงก่อน ข้าจะไปหาเจ้าที่ตำหนักเทียนหยวน ถึงยามนั้นเจ้าจะไม่ต้องรำคาญใจกับการแต่งงานอันน่าหดหู่นี้อีก…’
หลี่โม่อวิ๋นกระดกสุราและคิดในใจ
…
นอกเมือง
แสงจันทร์ส่องสว่าง ท้องฟ้ายามค่ำคืนราวหมึกป้าย บรรยากาศมืดสลัว
กลางแม่น้ำต้าฉางอันเลื่องชื่อ เรือทั้งหลายแน่นขนัด เลียบสะพานประตูมังกรริมแม่น้ำ
เรือทุกลำสว่างเรืองรอง คลาคล่ำไปด้วยผู้คน
เรือนับร้อยเบียดเสียดล่องลอยกันกลางลำน้ำ ส่งแสงไฟระยิบระยับบนผืนน้ำ ราวทางช้างเผือกกลางท้องนภาร่วงหล่นลงผิวโลก วาววับงดงาม
ลมเย็นยามค่ำคืนโบกโบย พัดพาให้แสงไฟนับไม่ถ้วนสะท้อนบนผิวน้ำ ทั้งแสงและเงาส่องสลับซับซ้อน เปลวไฟสะบัดปลิวดั่งดวงดารา กลายภาพราตรีตระการตา
ภาพนี้ทำให้ซูอี้ซึ่งเดินพ้นประตูเมืองมาตะลึงงัน ออกปากชื่นชม “แม้ความงามของสรวงสวรรค์จะเหนือกว่าแสงไฟในโลกนี้ แต่ภาพขณะนี้กลับยังน่าชมยิ่ง”
หูเฉวียนตกตะลึงไปเช่นกัน ก่อนจะเอ่ยคำ “ข้าเห็นภาพเช่นนี้มานับครั้งไม่ถ้วน ทว่าทุกครั้งที่ได้มองยังคงตราตรึงใจอยู่เสมอ ยิ่งเป็นงานประลองประตูมังกร ก็ยิ่งเป็นหนึ่งในงานที่ชวนตั้งตารอที่สุดแห่งปีของเมืองกว่างหลิงขอรับ!”
บรรยากาศช่างครึกครื้น
ผู้คนในเมืองต่างออกมาเที่ยวเล่นพูดคุยกับครอบครัว เนืองแน่นริมฝั่งแม่น้ำ เสียงจอแจชวนให้มีชีวิตชีวา
พวกเขาต่างออกมาชมไฟและทิวทัศน์
และตั้งตารอชมชมการประลองครั้งใหญ่ แม้จะได้แค่เพียงมองอยู่ห่าง ๆ
ที่หัวสะพานประตูมังกร มีกลุ่มทหารของจวนเจ้าเมืองประจำที่อย่างเคร่งขรึม
มีเพียงผู้มีเทียบเชิญที่สามารถข้ามสะพานประตูมังกรเข้าไปดูการประลองจากระยะใกล้ได้
เมื่อซูอี้มาถึง กำลังจะหยิบเทียบเชิญออกมา ทหารจากจวนเจ้าเมืองรีบเร่งมาต้อนรับ “คุณชายซู ท่านเจ้าเมืองกำชับไว้ว่าให้ท่านเป็นแขกพิเศษในวันนี้ โปรดรีบตามข้ามาเถิด!”
หูเฉวียนซึ่งอยู่ข้างเขาอดตะลึงไม่ได้ ท่านบุตรเขยสถานะสูงส่งถึงเพียงนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน แม้แต่ท่านเจ้าเมืองยังให้เกียรติถึงเพียงนี้เชียวหรือ?
แม้ไม่มีเทียบเชิญก็ยังสามารถเข้าร่วมงานประลองได้!
“อืม” ซูอี้พยักหน้ารับ ท่าทีไม่ตื่นตกใจ
ทว่ากลับมีเสียงแฝงแววแปลกใจดังขึ้น
“ท่านพี่ซู ท่านเองก็มาร่วมชมงานประลองเช่นกันหรือ?”
ซูอี้หันไปมอง
เป็นหนานอิ่งที่ยืนอยู่ไม่ห่างออกไปพร้อมแววตาเย้ยหยันบนใบหน้างาม นางนึกไม่ถึงว่าจะได้พบซูอี้ที่นี่
[1] หมี่ คือหน่วยวัดของจีน 1 หมี่เท่ากับ 1 เมตร