บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 491 กำลังคนนั้นมีขีดจำกัด
ตอนที่ 491: กำลังคนนั้นมีขีดจำกัด
ตอนที่ 491: กำลังคนนั้นมีขีดจำกัด
ด้านนอกฮ่วนซีชา
แสงไฟตามถนนหนทางส่องสว่างราวกับมังกรยาว ผู้คนเบียดเสียดเยียดยัด
“ฮูหยินโหรวผู้นี้ช่างรู้กาลเทศะนัก”
ซูอี้มองไปที่หยวนเหิง พบว่าหยวนเหิงปลอดภัยดีทุกประการ
“ทำให้นายท่านต้องเป็นห่วงอีกแล้ว”
หยวนเหิงแสดงสีหน้าละอายใจออกมา
“ด้วยระดับการฝึกตนของเจ้า จะสู้รบกับคนในขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณได้อย่างไร?”
ซูอี้โบกมือพลางกล่าว “หยุดพักเรื่องนี้ พวกเราไปหาแม่นางไป๋กันก่อน”
เขาหยิบยันต์สื่อจิตออกมา สัมผัสรับรู้สักครู่ จากนั้นเดินออกไปไกล ดูราวกับเดินช้าแต่แท้จริงนั้นรวดเร็วมาก ไม่นานนักก็หายตัวไปพร้อมกับหยวนเหิงท่ามกลางฝูงคน
ฉึบ!
ท่ามกลางเงามืดที่หัวมุมถนนแห่งหนึ่งซึ่งห่างจากฮ่วนซีชาไม่ไกลนัก เสียงแหบแห้งเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น
นักพรตเฒ่าสูดปาก ตาเบิกกว้าง จับจ้องดูกระดอกเต่าสีดำที่แตกหักเป็นเศษย่อยในมือ จิตใจมีแต่ความตื่นตระหนก
“คน ๆ นั้นเป็นเทพเซียนจากที่แห่งใดกัน ดวงชะตาของเขาแข็งเกินไปแล้วกระมัง?!”
สายตาของนักพรตเฒ่าเลื่อนลอย นิ้วมือสั่นระริก
หากว่าซูอี้อยู่ตรงนี้ จะต้องมองออกอย่างแน่นอนว่านักพรตเฒ่าคนนี้ก็คือตาเฒ่าที่คิดจะพักที่ฮ่วนซีชาโดยไม่จ่ายเงิน
ทันใด นักพรตเฒ่าทุบอกกระทืบเท้า ร่ำร้องขึ้นมาในใจ “ให้ตายสิ รู้แต่แรกว่าเจ้าหนุ่มคนนี้ดวงแข็งถึงเพียงนี้ ไม่ต้องใช้ ‘กระดานพยากรณ์ชะตาฟ้า’ มาทำนายหรอก! คราวนี้ สมบัติของข้าเสียหายหมดแล้ว!”
เขากำหมัดแน่น กัดฟันกรอด ๆ “บัญชีนี้ ไม่ช้าก็เร็ว เจ้าหนุ่มคนนั้นจะต้องชดใช้!”
นักพรตเฒ่าออกไปจากตรอกแห่งนั้นอย่างรวดเร็ว เมื่อมองไปที่ฮ่วนซีชาที่อยู่ไกลออกไป พลันรู้สึกก้าวขาไม่ออก
จะไปค้างแรมสักคืน… แล้วชักดาบดีไหมนะ?
ขณะที่กำลังครุ่นคิด เท้าก็เดินออกไปแล้วโดยไม่ฟังคำสั่ง นักพรตเฒ่าโมโหจนทุบขาของตัวเอง เอ๊ะ เจ้าเดินไปเองโดยไม่ฟังคำสั่งได้อย่างไรกัน…
บนใบหน้าของเขามีแต่รอยยิ้มแช่มชื่น น่ารังเกียจยิ่งนัก
โครม!
ไม่นานนัก นักพรตเฒ่าก็ถูกโยนออกมาอีกครั้ง
“พวกเรา อัดตาเฒ่าจอมชักดาบคนนี้ให้ตายเลย!”
บ่าวรับใช้กลุ่มหนึ่งเดินเข้าหาด้วยท่าทางเอาเรื่อง
——
ราตรีมืดมิดประดุจน้ำ
ณ หอทะเลสาบเมฆา
ชายวัยกลางคนในชุดคลุมยาวท่าทางสุภาพอ่อนโยน ยืนมือไพล่หลังพิงราวอยู่บนชั้นสูงสุด เขากำลังมองออกไปไกล
จากตรงนี้ สามารถมองเห็นดวงไฟระยิบระยับของแต่ละบ้าน ทิวทัศน์งดงามดุจภาพวาด
ผู้เฒ่าสุ่ยที่ยืนอยู่อีกด้านกล่าวด้วยความนอบน้อม “นายท่าน แม่นางไป๋ท่านนั้นถือหยกปักษามังกรมา ข้าไม่กล้าชักช้า แต่ที่น่าแปลกก็คือ นางกลับให้จัดสถานที่พักผ่อนให้กับนายของนางเท่านั้น…”
ชายวัยกลางคนส่งเสียงร้องอืม พลางกล่าวด้วยเสียงเหม่อลอย “พวกเขานายบ่าวมาถึงนครหลวงจิ๋วติ่งเป็นวันแรก จำเป็นต้องหาที่พักผ่อนเป็นธรรมดา เจ้าจัดให้พวกเขาพักผ่อนกันที่ใด?”
ผู้เฒ่าสุ่ยตอบเบา ๆ “ชุมชนมังกรเขียว สวนน้อยนภาเมฆ”
“สวนน้อยนภาเมฆ…”
แววตาของชายวัยกลางคนเปลี่ยนไป หมุนตัวมองไปที่ผู้เฒ่าสุ่ย กล่าวเสียงเย็นชา “สุนัขเฒ่า เจ้ากำลังทดสอบจิตใจของข้าอยู่เช่นนั้นหรือ?”
ผู้เฒ่าสุ่ยรีบก้มหน้า “ข้าน้อยมิบังอาจ ข้าน้อยเพียงแต่นึกขึ้นได้ว่า เจ้าของหยกปักษามังกรชิ้นนั้นเคยพักที่สวนน้อยนภาเมฆ…”
ชายวัยกลางคนโบกมือพลางกล่าว “พักเรื่องนี้ไว้ก่อน”
ผู้เฒ่าสุ่ยนิ่งเงียบไป
“นายท่าน”
เวลานี้ ร่างของเวิงจิ่วก็ปรากฏขึ้น
“เจ้าหนุ่มคนนั้นกล่าวเช่นใด?”
ชายวัยกลางคนถาม
เวิงจิ่วรายงานเรื่องราวที่เกิดขึ้นในฮ่วนซีชาอย่างละเอียด
เมื่อรู้ว่าเซี่ยจิ้งอวี่ก็อยู่ในเหตุการณ์ด้วย ชายวัยกลางคนก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย พลางกล่าวคำ “คน ๆ นี้คือบุตรของอ๋องหย่งเช่นนั้นหรือ?”
เวิงจิ่วพยักหน้ากล่าว “ใช่ขอรับ”
ชายวัยกลางคนมองไปที่ผู้เฒ่าสุ่ย กล่าวน้ำเสียงผ่อนคลาย “เจ้าจงไปที่จวนอ๋องหย่ง บอกอ๋องหย่งว่า คนที่ทำเสื่อมเสียต่อวงศ์ตระกูลเช่นนี้ วันข้างหน้าอย่าได้ออกมาทำขายหน้าอีก”
“ขอรับ”
ผู้เฒ่าสุ่ยรับคำสั่งแล้วออกไป
เมื่อรู้ว่าซูอี้อยู่ภายใต้การคุกคามของอสูรเฒ่าฮว่าถูกับฮูหยินโหรวซึ่งเป็นผู้ฝึกตนในขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณ แต่ยังคงสามารถฆ่าซือคงเป้าซึ่งเป็นตัวตนยุคโบราณได้อย่างเด็ดขาดฉับไว ชายวัยกลางคนถึงกับตาลุกวาว
“แกร่งมาก!” เขากล่าวชื่นชม
จนกระทั่งเล่าเรื่องในคืนนี้จนจบแล้ว เวิงจิ่วโค้งคำนับพร้อมกับกล่าวรับผิด “คืนนี้ผู้น้อยกระทำไปโดยพลการ ยืมพลังแห่งค่ายกลจิ๋วติ่งพิทักษ์แดนฆ่าเฒ่าฮว่าถู นายท่านได้โปรดลงโทษ!”
ชายวัยกลางคนกล่าวไม่คิดมาก “เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น”
เขาคิดสักครู่จึงกล่าว “เจ้าคิดว่า คนหนุ่มผู้นี้เป็นอย่างไร?”
เวิงจิ่วแสดงสีหน้าจนปัญญา กล่าว “ตามความคิดของข้า คน ๆ นี้หยิ่งลำพองในความสามารถของตน ไม่มองใครอยู่ในสายตา แม้กระทั่งผู้น้อยก็ไม่อยู่ในสายตาเขา พูดจาไม่มีความเกรงใจ ทำให้ผู้น้อยรู้สึกว่าไม่สมควรช่วยเหลือเขาเลย….”
ชายวัยกลางคนถึงกับหัวเราะเสียงดังขึ้นมา
เขานึกถึงตอนที่พบกับซูอี้ที่หน้าประตูเมืองในวันนี้ ซูอี้ไม่มีท่าทีเกรงใจแม้แต่น้อย ทำให้เขาต้องลดตนมาขอคำชี้แนะ
กระทั่งเรียกว่าสหายน้อยก็ยังไม่ได้ ต้องเรียกว่าสหายเต๋า…
เห็นว่าเวิงจิ่วก็เสียหน้าเวลาอยู่ต่อหน้าซูอี้ ชายวัยกลางคนรู้สึกจิตใจโล่งสบายขึ้นมาอย่างประหลาด
สักพักใหญ่ ๆ ชายวัยกลางคนจึงเก็บเสียงหัวเราะ กล่าวเห็นด้วย “คน ๆ นี้โอหังมากจริง ๆ ความโอหังฝังลึกลงในกระดูก ไม่ว่ากิริยาวาจาหรือแม้แต่คำสรรพนามล้วนต้องสูงกว่าใครคนอื่น”
“แต่ว่า…”
เวิงจิ่วกล่าวเสียงเข้ม “ถึงแม้คน ๆ นี้จะไม่มองใครอยู่ในสายตา แต่ก็ไม่ใช่พวกคุยโม้โอ้อวด ในทางกลับกัน ในบรรดาคนหนุ่มที่ผู้น้อยเคยพบมาทั้งหมด คน ๆ นี้ถือได้ว่าร้ายกาจที่สุด และเป็นคนที่มองออกยากมากที่สุดคนหนึ่งเช่นกัน”
ชายวัยกลางคนกล่าวด้วยความสนใจ “กล่าวเช่นนี้หมายความเช่นใด?”
“ซือคงเป้าเป็นหนึ่งในตัวตนโบราณที่แข็งแกร่งยิ่ง ระดับการฝึกตนอยู่ในขอบเขตรวบรวมดารา ผู้ที่สามารถต้านทานรับมือแทบจะนับนิ้วได้ แต่เห็นได้ชัดว่าซือคงเป้าสู้ด้วยไม่ได้ เช่นนี้เป็นการแสดงให้เห็นว่าพื้นฐานและความสามารถของซูอี้นั้นน่ากลัวเพียงใด”
สายตาของเวิงจิ่วเย็นยะเยือกดุจหิมะ พลางกล่าวคำออก “และภายใต้การคุกคามของตัวตนทั้งสองในขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณ เขายังคงฆ่าซือคงเป้าตายได้โดยไม่เกรงใจแม้แต่น้อย เช่นนี้อาจจะแสดงให้เห็นได้ว่าในมือของเขามีไพ่ลับที่สามารถต่อสู้กับคนในขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณอย่างพวกเขาทั้งสองได้”
ชายวัยกลางคนพยักหน้า ก่อนจะกล่าว “เจ้าจงพูดต่อไป”
ดวงตาของเวิงจิ่วฉายแววย้อนรำลึกความทรงจำ “สิ่งที่ทำให้ผู้น้อยไม่เข้าใจก็คือ สายตาของคน ๆ นี้น่ากลัวเสียเหลือเกิน เมื่อผู้น้อยยืมพลังแห่งค่ายกลจิ๋วติ่งพิทักษ์แดนเพื่อฆ่าอสูรเฒ่าฮว่าถู คนอื่น ๆ ต่างก็อยู่ในอาการตื่นตะลึง มีแต่คน ๆ นี้เพียงคนเดียวที่ไม่รู้สึกตื่นกลัว ราวกับมองออกว่าพลังที่ผู้น้อยใช้นั้นเป็นพลังเช่นใด”
ชายวัยกลางคนหรี่ตา แล้วกล่าว “ไม่แปลก อย่าลืมว่า นับแต่อดีต เขาเป็นเพียงแค่คนเดียวที่สามารถสังเกตเห็นสภาพการณ์ของ ‘ค่ายกลจิ๋วติ่งพิทักษ์แดน’ บนกำแพงเมือง หากไม่ใช่เพราะเช่นนี้ ข้าต้องให้เจ้าไปพบเขาด้วยหรือ?”
เวิงจิ่วส่ายหน้าพลางกล่าว “นายท่าน หากว่าเพียงแค่นี้ ยังพอเข้าใจได้ แต่ดูเหมือนว่าเขาจะมองเป้าหมายของผู้น้อยออกก่อนหน้าแล้ว ทั้งยังกล่าวออกมาตรง ๆ ว่าถ้าต้องการจะให้เขาช่วย เพียงแค่ฆ่าอสูรเฒ่าฮว่าถูเพียงอย่างเดียว ความจริงใจที่แสดงออกมานั้นยังไม่พอ”
ชายวัยกลางคนเลิกคิ้วเล็กน้อย นอกจากจะไม่รู้สึกโกรธแล้ว กลับยังแสดงสีหน้ายินดีออกมา เขาอดหัวเราะพลางกล่าวขึ้นมาไม่ได้ “เฒ่าจิ่ว หรือเช่นนี้หมายความว่า เขาไม่เพียงแต่มองสภาพการณ์อันน่าเป็นห่วงของค่ายกลจิ๋วติ่งพิทักษ์แดนออกเท่านั้น ทั้งยังมีวิธีซ่อมแซมอีกด้วย?”
เวิงจิ่วตะลึง ฉับพลันกล่าวด้วยความเข้าใจ “ที่นายท่านกล่าวมาถูกต้องที่สุด!”
ตอนนั้นซูอี้มองออกตั้งแต่แล้วว่าเขา “มาเพราะมีเรื่องขอร้อง” ทว่าไม่ได้รับการปฏิเสธ ในทางกลับกันยังบอกว่าแสดงความจริงใจไม่พอ!
ถ้าเช่นนั้นหมายความว่าขอเพียงมีความจริงใจที่เพียงพอ ฝ่ายตรงข้ามก็จะช่วย?
ในเมื่อเขากล้าพูดออกมาเช่นนี้ หรือหมายความว่าเขามีความมั่นใจสามารถซ่อมแซมค่ายกลจิ๋วติ่งพิทักษ์แดนได้?
“เฒ่าจิ่ว คิดว่าเจ้าคงจะเข้าใจดีเช่นกันว่า ในฐานะที่ ‘ค่ายกลจิ๋วติ่งพิทักษ์แดน’ เป็นสถานกักขังใหญ่เป็นอันดับสามเมื่อสามหมื่นปีก่อน การจะซ่อมแซมส่วนที่เสียหายเป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้”
ชั่วขณะนี้เอง อานุภาพยิ่งใหญ่ไร้รูปร่างแผ่กระจายออกจากร่างของชายวัยกลางคน เปรียบดั่งราชาผู้ก้มมองสรรพชีวิต มือประคองแผ่นฟ้า ยิ่งใหญ่จนสามารถกลืนภูเขาและทะเล
พลังลมปราณในร่างที่เปลี่ยนแปลงในฉับพลันทำให้บุคคลเช่นเวิงจิ่วก็ยังรู้สึกหายใจอึดอัด แสดงสีหน้าหวาดเกรงออกมา
“เกือบหนึ่งพันปีมานี้ ข้าเชิญผู้ฝึกตนซึ่งมีความช่ำชองในด้านค่ายกลไม่รู้จำนวนเท่าใดต่อเท่าใด อย่าว่าแต่ซ่อมแซมค่ายกลแห่งนี้เลย ด้วยฝีมือของพวกเขายังไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่าค่ายกลแห่งนี้มีความบกพร่องตรงไหน”
พูดถึงตรงนี้ ชายวัยกลางคนกล่าวเย้ยหยันออกมา “ด้วยความจนปัญญา ข้าจึงได้แต่ต้องขบคิดศึกษาเอาเอง ด้วยเหตุนี้ ข้าเพียรพยายาม ตั้งใจศึกษาค้นคว้า ลำพังเพียงแค่ศึกษาตำราคัมภีร์ที่เกี่ยวข้องกับค่ายกล ข้าอ่านจบไปแล้วไม่รู้จำนวนเท่าใด ทั้งหมดนี้ก็เพื่อซ่อมแซมค่ายกลแห่งนี้ให้เสร็จก่อนที่แสงสว่างแห่งโลกกว้างนั้นจะมาถึง จะได้มีหลักค้ำประกันว่าสามารถต้านทานศัตรูผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหมดทั้งมวลได้”
“แต่จนถึงตอนนี้ ข้าจึงพบว่า กำลังคนนั้นมีขีดจำกัด!”
“ด้วยระดับการฝึกตนและความรู้ความสามารถของข้า สุดท้ายก็ยังไม่อาจซ่อมแซมค่ายกลนี้ได้…”
ชายวัยกลางคนพูดถึงตรงนี้แล้วได้แต่ถอนใจ
พันปีที่ผ่านมา เขาตรากตรำศึกษาทั้งวันทั้งคืน เพียรพยายามตั้งใจ ทุ่มเทไปไม่รู้เท่าใด
แต่สุดท้าย กลับต้องเผชิญหน้ากับจุดจบในแบบ ‘จนด้วยหนทาง’ ความรู้สึกผิดหวัง ล้มเหลว ขมขื่นเช่นนั้น หากไม่ได้ลิ้มรสด้วยตนเอง ไม่มีทางสัมผัสได้
“แต่ตอนนี้ ไม่เพียงแต่มีคนมองเห็นความแยบยลของค่ายกลนี้ ทั้งยังเป็นไปได้ว่าสามารถซ่อมแซมค่ายกลนี้ให้ดีดังเดิมได้ เจ้ารู้หรือไม่ว่า ข้า… ดีใจเพียงไหน?”
พูดถึงตรงนี้ ความวิตกกังวลบนใบหน้าชายวัยกลางคนก็สูญสิ้นไป ดวงตาใสสว่าง ทั้งเนื้อทั้งตัวปกคลุมไปด้วยรัศมีอันเฉิดฉาย
เวิงจิ่วสะดุ้งขึ้นในใจ จากนั้นจึงกล่าวว่า “นายท่าน ใจของผู้น้อยก็ปีติยินดีเช่นกัน และทราบดีว่าท่านไม่กลัวว่าฝ่ายตรงข้ามจะมองว่าแสดงความจริงใจออกมาไม่พอ กลัวแต่เพียงจะไม่มีคนซ่อมค่ายกลนี้ได้”
“ไม่ผิด!”
ชายวัยกลางคนพยักหน้า กล่าวหนักแน่น “ขอเพียงสามารถซ่อมแซมค่ายกลนี้ได้ ขอเพียงเป็นสิ่งที่ข้าสามารถรับปากได้ ข้าย่อมสามารถให้คน ๆ นี้ได้ทั้งหมด!”
เวิงจิ่วตัวสั่นขึ้นมา กล่าวเบา ๆ “นายท่าน จนถึงตอนนี้พวกเราก็ยังไม่ทราบที่มาของคน ๆ นี้ หากว่าเชื่อเขาง่าย ๆ เช่นนี้…”
ชายวัยกลางคนโบกมือพลางกล่าว “คนเก่งในโลกกว้างย่อมต้องมีความลับในตัวเอง ขอเพียงซูอี้สามารถช่วยข้าได้ ข้าก็จะไม่สนใจในเรื่องเหล่านี้”
นิ่งเงียบไปชั่วครู่ สายตาของเขาดูแปลกไปเล็กน้อย “ยิ่งไปกว่านั้น แม่หนูน้อยให้ความสำคัญต่อหยกปักษามังกรราวกับเป็นชีวิตของตัวเอง แต่กลับมอบสมบัติชิ้นนี้ให้ซูอี้ตอนอยู่ที่ทะเลวิญญาณโกลาหล…”
พูดถึงตรงนี้แล้วเขานวดหัวคิ้วเบา ๆ กล่าวด้วยสีหน้าสับสน “เจ้าไม่รู้สึกว่า ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นพรหมลิขิตหรอกหรือ?”
สีหน้าของเวิงจิ่วก็ดูประหลาดขึ้นมา กล่าว “หากเป็นเช่นนี้ ก็เท่ากับว่าคุณหนูอาจจะสร้างความชอบอันยิ่งใหญ่โดยไม่รู้ตัวก็เป็นได้”
ริมฝีปากของชายวัยกลางคนมีรอยยิ้มบาง ๆ ผุดขึ้นมา ฉับพลันกล่าวราวกับปวดหัวเล็กน้อย “ช่างเถิด ไม่พูดถึงแม่หนูน้อยที่มักจะทำให้ข้าเป็นห่วงคนนี้อีก วันพรุ่งนี้หาเวลาว่าง พวกเราไปที่สวนน้อยนภาเมฆกัน”
“ขอรับ!”
เวิงจิ่วรับคำแข็งขัน
สวบ!
และในเวลานี้เอง ผู้เฒ่าสุ่ยก็กลับมา