บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 492 ขับไล่สิ่งชั่ว
ตอนที่ 492: ขับไล่สิ่งชั่ว
ตอนที่ 492: ขับไล่สิ่งชั่ว
ผู้อาวุโสสุ่ยกล่าวแสดงความเคารพ “นายท่าน อ๋องหย่งจับเซี่ยจิ้งอวี่ผู้เป็นบุตรชายเข้าห้องขังประจำตระกูลแล้ว ทั้งยังมีคำสั่งให้เขาอยู่ในนั้นเป็นเวลาสามปี”
“นอกจากนี้ อ๋องหย่งหวังว่าจะสามารถขอรับโทษต่อหน้านายท่าน”
ชายวัยกลางคนขมวดหัวคิ้ว เขากล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ในฐานะที่เป็นบุตรหลานเชื้อพระวงศ์ แต่ไปคบหาสมาคมกับอสูรชั่วของสำนักอสูรเทียนเยียน อ๋องหย่งลงโทษเพียงเท่านี้น่ะหรือ?”
เขาหมุนตัวเดินไป “สุนัขเฒ่า เจ้าจงนำท่าทีของข้าบอกให้อ๋องหย่งรับรู้ หากว่าเขายังไม่เข้าใจว่าควรจะทำเช่นใด เจ้าจงช่วยทำให้เขาเข้าใจ”
เสียงยังคงดังก้อง ทว่าร่างของเขาได้หายลับไปในความมืดแล้ว
“ขอรับ!”
ผู้อาวุโสสุ่ยโค้งคำนับรับคำสั่ง
คืนนั้น
ณ จวนอ๋องหย่ง ระดับการฝึกตนของเซี่ยจิ้งอวี่ถูกทำลาย กลายเป็นคนธรรมดา
กลุ่มคนที่มีความเกี่ยวข้องกับเซี่ยจิ้งอวี่ถูกลงโทษประหารชีวิต
ทว่าเรื่องนี้รู้กันเฉพาะจวนอ๋องหย่งเท่านั้น คนนอกไม่มีใครรับรู้
อำนาจก็เป็นเช่นนี้
—–
ณ สวนน้อยนภาเมฆ
ป่าไผ่ดกครึ้ม เรือนรายเรียง น้ำใสโอบล้อม
ตัวเรือนที่งดงามตั้งรายล้อม มีกลิ่นอายสีสันแห่งอดีตกาลแผ่ปกคลุม เรียบง่ายงดงาม
ภายใต้แสงราตรี โคมไฟสีแดงแขวนสูงลิ่ว ส่องแสงสว่างไสว อบอุ่นและสงบเงียบ
นอกจากนี้ ภายในสวนน้อยนภาเมฆยังจัดให้มีห้องฝึกสมาธิ มีชานชาลาดื่มชาชมทิวทัศน์ มีห้องลับสำหรับหลอมโอสถและอาวุธ…
ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบ หรือการจัดตกแต่ง ล้วนแสดงถึงกลิ่นอายแห่งความสูงส่งไม่ธรรมดา
แม้กระทั่งปลาน้อยที่เพาะเลี้ยงในสระก็ยังเป็นปลาหายากสีสันงดงาม ตัวหนึ่งมีมูลค่าเป็นหินวิญญาณระดับห้าสิบก้อน
ทว่าปลาหลากสีเช่นนี้ กลับว่ายเวียนอยู่ในสระเป็นฝูง ๆ
กล่าวโดยสรุป ภายในสวนน้อยนภาเมฆแห่งนี้ ตั้งแต่ตัวเรือน จนถึงต้นไม้ใบหญ้า ล้วนถูกตกแต่งอย่างมีเอกลักษณ์ ส่งกลิ่นอายแห่งความสูงสง่าอันมีแต่ผ่านกาลเวลาที่เนิ่นนานแล้วเท่านั้นจึงสามารถสัมผัสได้
จวนที่พักเช่นนี้ ตั้งอยู่ติดกับถนนสายหลักของนครหลวงจิ๋วติ่ง ซึ่งทุกตารางนิ้วล้วนมีสนราคาแพงลิ่วในชุมชมมังกรเขียว กินเนื้อที่ทั้งหมดถึงร้อยไร่!
อีกด้านหนึ่งของสวนน้อยนภาเมฆคือ ‘แอ่งเกล็ดทอง’ ซึ่งเป็นแอ่งอันมีชื่อเสียงของนครหลวงจิ๋วติ่ง แอ่งแห่งนี้เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์อันดับหนึ่ง ทำให้พลังต้นกำเนิดแห่งฟ้าดินบริเวณรอบ ๆ ชุมชนมังกรเชียวมีความเข้มข้นและหนาแน่นกว่าที่อื่น ๆ มาก
“สถานที่แห่งนี้ไม่เลว”
ซูอี้พยักหน้า หลังจากที่มาถึงสวนน้อยนภาเมฆแล้ว เขาส่งตัวเยว่ซือฉานให้แก่ไป๋เวิ่นฉิง และสั่งให้นางจัดให้หญิงสาวพักในห้องที่เขาเตรียมไว้
ตั้งใจว่าคืนนี้หลังจากพักเอาแรงแล้วจะช่วยขับไล่พิษกู่ในร่างของนาง
“นายท่าน วันนี้หลังจากที่ข้าไปหอทะเลสาบเมฆาแล้ว…”
ไป๋เวิ่นฉิงเล่าเหตุการณ์ที่ประสบในหอทะเลสาบเมฆาวันนี้อย่างละเอียด จากนั้นก็คืนหยกปักษามังกรให้ซูอี้
“ทังเจี้ยนเซินบังอาจหลอกใช้เจ้า หาเรื่องตายเสียแล้ว!”
หยวนเหิงโกรธจัด
ไป๋เวิ่นฉิงรู้สึกอบอุ่นใจขึ้นมา พลางกล่าวอ่อนโยน “พี่หยวนเหิงไม่ต้องเป็นห่วงไป ทังเจี้ยนเซินเจอกรรมตามสนอแล้ว อ้อ ใช่สิ คืนนี้พี่กับนายท่านไปที่ใดกันมา?”
หยวนเหิงรู้สึกละอายขึ้นมา ตอบอึก ๆ อัก ๆ “เรื่องนี้… เออ… อืม… พูดแล้วเรื่องมันยาว รอให้ว่างแล้วข้าค่อยเล่าให้เจ้าฟังอย่างละเอียด”
ซูอี้ชำเลืองมองหยวนเหิงด้วยสายตาดูแคลน ก็แค่ไปหอนางโลมเท่านั้น ต้องกระอักกระอ่วนถึงเพียงนี้เลยหรือ?
“พวกเจ้าไปพักผ่อนกันเถิด”
จากนั้นซูอี้ก็เดินไปที่ห้องของตัวเอง
ปลายนิ้วของเขาลูบคลึงหยกปักษามังกรในมือเบา ๆ ตลอดทาง ทว่าในใจรู้สึกได้ถึงความผิดปกติ
ฐานะของฮวาซิ่นเฟิงไม่ธรรมดาเลย!
ข้าวของในนครหลวงจิ๋วติ่งมีราคาแพง ผู้ฝึกตนโดยทั่วไปไม่ต้องหวังเลยว่าจะมีสถานที่สามารถหลบฝนหลบแดดในเมืองนี้ได้
อย่างชุมชนมังกรเขียวที่สวนน้อยนภาเมฆแห่งนี้ตั้งอยู่ หากไม่ใช่ขุมกำลังตระกูลยิ่งใหญ่ซึ่งอยู่ในระดับชั้นสูงของนครหลวงจิ๋วติ่งล่ะก็ ต่อให้จ่ายทรัพย์สินเงินทองมากเพียงไหนก็ไม่มีทางจะมีที่พักอยู่ในชุมชนมังกรเขียวแห่งนี้ได้!
แต่ตอนนี้ อาศัยเพียงแค่หยกชิ้นเดียวก็สามารถสั่งให้หอทะเลสาบเมฆาจัดจวนที่พักใหญ่โตเช่นนี้ได้ ฐานะของฮวาซิ่นเฟิงจะธรรมดาได้เช่นใดกัน?
และก็เป็นเพราะหยกชิ้นนี้ หอทะเลสาบเมฆาจึงจัดการกับทังเจี้ยนเซินบุตรชายของขุมกำลังใหญ่อย่างเต็มอัตรา
ทั้งหมดนี้เพียงพอจะแสดงให้เห็นว่า ผู้ที่อยู่เบื้องหลังฮวาซิ่นเฟิงนั้นมีความยิ่งใหญ่ถึงเพียงใด
และแน่นอน ซูอี้ไม่ได้ใส่ใจกับสิ่งเหล่านี้
เพียงแต่ว่า จากเรื่องราวทั้งหมดนี้ เขาได้ข้อสรุปมาอย่างหนึ่ง โดยข้อสรุปนี้ทั้งเกี่ยวข้องกับหยกปักษามังกรชิ้นนี้ และเกี่ยวข้องกับผู้เป็นนายของเวิงจิ่งคนนั้นด้วยเช่นกัน
“ผู้เป็นนายของเวิงจิ่วจะต้องมาหาอีกอย่างแน่นอน ถึงเวลานั้นก็จะได้รู้ความจริง”
ซูอี้ลอบคิดกับตัวเอง
เขาเก็บหยกแล้วเดินเข้าไปในห้องของตัวเอง
บนเตียง เยว่ซือฉานเอนกายนอนอยู่ตรงนั้นอย่างสงบ ดวงตาหลับพริ้ม สลบไสลไม่ตื่น ใบหน้าที่งดงามราวกับภาพวาดแลดูซีดขาว เห็นแล้วรู้สึกสงสาร
ซูอี้เกิดความสงสารเอ็นดูขึ้นมา
นึกถึงตอนที่อยู่อาณาจักรต้าโจว เยว่ซือฉานราชาขนนกเป็นถึงตำนาน ในใจของผู้ฝึกตนจำนวนมากมายนับไม่ถ้วน นางเปรียบเสมือนนางฟ้านางสวรรค์
นางมักจะใส่ชุดสีขาวสะพายดาบ งดงามประดุจภาพวาด จิตดาบหนักแน่นใสกระจ่าง ไปไหนมาไหนเพียงคนเดียว ราวกับหญิงงามในยุทธภพ
นางเป็นต้นกล้าพันธุ์ดีในอาณาจักรต้าโจวที่ซูอี้ให้ความชื่นชมคนหนึ่ง มีกายวิญญาณอันลึกล้ำ ความสามารถล้ำเลิศ มีพรสวรรค์และความเพียรพยายามในวิถีดาบเหนือกว่าคนอื่น ๆ
เยว่ซือฉานเป็นคนเก็บตัวและเย็นชา ทว่ากลับมีความคิดเป็นของตัวเอง มีความดื้อรั้น และชอบเอาชนะ ซึ่งแตกต่างไปจากนางปีศาจดาบน้อยเหวินซินจ้าว
เหวินซินจ้าวสดใสและกล้าแสดงออกกว่ามาก ใจคอกว้างขวาง มองแล้วมีชีวิตชีวากระฉับกระเฉง
สาวน้อยสองคนนี้มีความมุ่งมั่นในหนทางแห่งดาบเหมือนกัน ต่างก็มีความงดงามเป็นเลิศเหมือนกัน และก็สามารถทำให้ซูอี้รู้สึกชื่นชมเหมือนกัน เพียงแต่ว่า นางทั้งสองกลับมีนิสัยและลักษณะที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
เปรียบดังดอกเหมย ดอกหลัน กิ่งไผ่ และเก๊กฮวย ที่ต่างก็โดดเด่นกันไปในแต่ละแบบ
แต่ที่ซูอี้คาดไม่ถึงก็คือ คืนวันแรกที่ตนเองมาถึงนครหลวงจิ๋วติ่ง สาวน้อยผู้งดงามล้ำเลิศอย่างเยว่ซือฉานกลับโดนพิษรุนแรงเกือบตาย!
จับจ้องดูเย่วซือฉานเงียบ ๆ สักครู่หนึ่ง ซูอี้ก็เอื้อมมือออกไปถลกผ้าห่มขึ้น เผยให้เห็นร่างอรชรได้สัดส่วนของเยว่ซือฉาน
จากนั้น ซูอี้คิดสักครู่ สุดท้ายยังคงตัดสินใจสั่งให้ชิงหว่านถอดเสื้อผ้าของเยว่ซือฉานออก
สวบ!
ชิงหว่านปรากฏตัวขึ้นมาในชุดกระโปรงสีแดงทั้งตัว ผิวพรรณขาวเนียนดุจหิมะ ดวงตากลมโตใสสว่างราวกับดวงจันทร์บนท้องนภา
สาวน้อยเคยผ่านพิบัติอันพิศดารเหนือธรรมดา บัดนี้กลายเป็นผู้ฝึกผีแล้ว เวลานี้เพียงแค่ยืนสงบนิ่งอยู่ตรงนั้นก็สามารถอธิบายได้ว่างดงามจนลืมหิวนั้นหมายความว่าอย่างไร
เพียงแต่ เมื่อรู้ว่าซูอี้ต้องการให้ตนเองช่วยปลดเสื้อผ้าของเยว่ซือฉานออก ไม่รู้เช่นกันว่าชิงหว่านนึกอะไรขึ้นได้ ใบหน้าสวยจึงขึ้นสีแดงระเรื่อ อายจนก้มหน้านิ่ง กล่าวด้วยความประหม่า “นายท่าน ท่าน… ท่านจะ… ฝึก… ฝึกบำเพ็ญคู่เช่นนั้นหรือ?”
ซูอี้ “…”
นิ่งเงียบไปสักครู่ใหญ่ ๆ เขาตอบด้วยความไม่พอใจ “วัน ๆ หนึ่งสมองน้อย ๆ ของเจ้ามัวแต่คิดเรื่องอะไรอยู่ ยิ่งไปกว่านั้น หากว่าข้าต้องการฝึกคู่ ต้องให้เจ้ามาช่วยปลดเสื้อผ้าด้วยหรือ?”
“เอ่อ…”
ชิงหว่านรู้สึกกระอักกระอ่วน เลิ่กลั่กทำหน้าไม่ถูก
“รีบหน่อย ข้าจะช่วยนางแก้พิษ”
ซูอี้สั่งกำชับ “อ้อ อย่าถอดจนหมด เหลือเสื้อผ้าชั้นในไว้”
พูดจบ เขาก็เบนสายตามองไปที่เยว่ซือซานซึ่งนอนหลับใหลอยู่บนเตียง ไม่ได้รู้สึกว่า ‘ไม่สมควรมอง’ เลยสักนิด
นี่เป็นห้องของเขา จึงไม่จำเป็นต้องหลบ
ยิ่งไปกว่านั้น อีกสักครู่เขายังต้องช่วยแก้พิษให้เยว่ซือฉาน สิ่งที่ควรจะมองและไม่ควรจะมอง สิ่งที่ควรจะแตะหรือไม่ควรจะแตะ ล้วนไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
ชิงหว่านไม่ชักช้า เริ่มลงมือปลด
เสื้อผ้าบนตัวเยว่ซือฉานมีไม่มาก
ชุดสีขาวหนึ่งชุด แถวรัดเอวสีทองหนึ่งเส้น น้ำเต้าหนักหนึ่งลูก ด้ายแดงที่ผูกบนข้อมือหนึ่งเส้น
เมื่อถอดสิ่งเหล่านี้ออกหมดแล้ว ก็เหลือแต่เพียงชุดชั้นในที่ปกปิดหน้าอกกับกางเกงชั้นในตัวหนึ่งเท่านั้น
ภายใต้แสงไฟ หัวไหล่ที่งดงามขาวเนียนกับขายาวขาวผ่องสวยดุจงาช้าง ปกคลุมไปด้วยประกายอันอ่อนละมุนและยั่วเย้า
ส่วนสัดของสาวน้อยเป็นเลิศ ผิวพรรณเปล่งปลั่ง ผอมมีน้ำมีนวล หัวไหล่กลมกลึง เอวดังคอแจกัน ถึงแม้หน้าอกจะถูกปกปิด ทว่ายังคงไม่อาจปิดบังเนินสูงไปได้
นางนอนสงบนิ่งอยู่ตรงนั้น ดุจดังนางฟ้าผู้หลับใหล งดงามไม่มีสิ่งใดเทียม
กระทั่งชิงหว่านก็ยังระงับใจไม่อยู่เอื้อมมือมาหยิกแก้มของเยว่ซือฉาน กล่าวด้วยความตื่นตะลึง “พี่สาวท่านนี้ไม่เพียงแต่สวยจนตะลึงเท่านั้น กระทั่งผิวพรรณก็ยังละเอียดอ่อนถึงเพียงนี้ สวยเสียเหลือเกิน”
ซูอี้เดินไปหา กล่าวกำชับ “เจ้าจงกดขาทั้งสองของนางไว้”
ชิงหว่านทำตาม รู้สึกเพียงแต่ว่าขาของพี่สาวคนนี้นุ่มละมุนและกระชับ จับสบาย
ซูอี้สูดหายใจลึก ๆ แววตาสดใสทว่าจริงจัง กดฝ่ามือลงบนส่วนท้องที่ขาวเนียนของเยว่ซือฉานเบา ๆ
พลังปราณระหว่างนิ้วซึ่งมีลักษณะคล้ายกับหนวดสัมผัสของสัตว์เคลื่อนเข้าสู่ร่างของเยว่ซือฉาน
กู่เป็นสิ่งมีชีวิตประเภทหนึ่ง ซึ่งเป็นภัยอย่างมหันต์ หากคิดจะกำจัดมัน มีเพียงแค่วิธีเดียวเท่านั้น คือใช้พลังปราณแรกกำเนิดเป็นสายผูกเป็นปม ‘ประกาศิตขับสิ่งชั่ว’ ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับบ่วงพันธนาการ จากนั้นมัดสิ่งชั่วนี้ให้แน่นแล้วค่อย ๆ บีบรัดจนตาย
เช่นนี้จึงจะสามารถขับสิ่งชั่วนี้ออกจากร่างของเยว่ซือฉานได้
ทว่า ด้วยระดับการฝึกตนในตอนนี้ของซูอี้ หากทำให้ได้ถึงขั้นนี้ ต้องใช้เวลาติดต่อกันเจ็ดวัน วันละครึ่งชั่วยาม จึงจะสามารถฆ่าสิ่งชั่วนี้ให้ตายได้
นี่ก็คือความชั่วร้ายของพิษกู่ หากผู้ฝึกตนทั่วไปเจอเข้า ไม่มีทางที่จะหลุดพ้นการควบคุมของสิ่งชั่วนี้ไปได้
ฉับพลัน ร่างของเยว่ซือฉานก็กระตุกอย่างแรง ชิงหว่านออกแรงบีบขาทั้งสองของนาง
เมื่อดูให้ละเอียดจะพบว่าบนใบหน้ามนงามของเยว่ซือฉานปรากฏสีหน้าเจ็บปวดออกมา ริมฝีปากอิ่มเอิบสีชมพูเผยอเล็กน้อย หอบหายใจเร็วและแรง ส่งเสียงครางออกมาโดยไม่รู้ตัว
ชิงหว่านได้ยินเสียงครางนี้แล้ว หน้าของนางก็แดงขึ้นมาอย่างประหลาด ในใจรู้สึกเขินอายยิ่งนัก เสียงนี้เบาบางราวกับเสียงสะอื้น เร็วแรงอ่อนโยน… ผู้ชายคนไหนจะสามารถทนได้
ชิงหว่านชายตามองดูซูอี้แวบหนึ่ง แต่เห็นซูอี้สีหน้าจดจ่อ แววตาสดใสราวกับไม่รู้สึกอะไรเลยแม้แต่น้อย
“สมาธิของนายท่านเหนือคนทั่วไปจริง ๆ”
ชิงหว่านลอบชื่นชมในใจ
แต่นางไม่รู้หรอกว่าเมื่อสักครู่นี้ ชั่วขณะที่เยว่ซือฉานครางออกมา หัวใจของซูอี้ก็สั่นสะท้านเช่นกัน สายใยพลังที่อยู่ระหว่างฝ่ามือเกือบจะผิดพลาดไป
ยังดีที่เขาผ่านประสบการณ์มามาก เห็นเรื่องวาบหวามบนเตียงจนเคยชิน สามารถระงับหักห้ามความคิดฟุ้งซ่านภายในใจออกไปได้ จิตวิญญาณมีแต่ความสว่างใส
เวลาผ่านไปทีละน้อย
ร่างแบบบางขาวเนียนของเยว่ซือฉานกระตุกรุนแรงขึ้นทุกที ลมหายใจรัวเร็ว เหงื่อไหลท่วมตัว ผิวพรรณเนียนละเอียดประดุจไข่มุกผุดประกายสีชมพูไปทั่วเรือนร่าง เสื้อผ้าน้อยนิดที่สวมใส่เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ ขับเน้นส่วนนูนส่วนเว้าอันยั่วยวน
เห็นได้ชัดว่านางเจ็บปวดทรมาน เสียงครางดังไม่หยุด
ชิงหว่านเห็นแล้วรู้สึกสงสาร ช่วยเช็ดเหงื่อให้นางเป็นระยะ ๆ อย่างเบามือ
หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วยาม
ซูอี้ชักมือขวาที่กดบริเวณท้องของเยว่ซือฉานกลับมา เป่าลมออกจากปากยาว ๆ ความเหนื่อยล้าปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา
ใช้พลังเป็นสายใย สกัดเป็น ‘ประกาศิตขับสิ่งชั่ว’ ในร่างของเยว่ซือฉาน ความเหนื่อยล้าเช่นนั้นไม่ต่างไปจากการสู้รบครั้งใหญ่เลย
ที่สำคัญคือจิตใจอยู่ในสภาพอ่อนล้ามาก
แต่ก็ยังดี ที่สุดท้ายสามารถใช้ประกาศิตขับสิ่งชั่วจับกู่ได้ ลำดับถัดมาก็เพียงแค่เดินพลังทุกวัน ไม่เกินเจ็ดวันก็สามารถฆ่ากู่ตนนี้ได้!